***"ระบอบ ปชต.อันมีกษัตริย์รีโมทคอนโทรลเป็นประมุข"
9 เดือนครึ่งนี้ วชิราลงกรณ์ใช้เวลาอยู่ในเยอรมัน 4 เดือน 3 สัปดาห์ http://goo.gl/1NE4V9
"ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีกษัตริย์รีโมทคอนโทรลเป็นประมุข" *
9 เดือนครึ่งที่ผ่านมา กษัตริย์วชิราลงกรณ์ใช้เวลาอยู่ในเยอรมัน 4 เดือนกับ 3 สัปดาห์
(* รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 2 ควรจะกล่าวไว้)
ไหนๆ ไม่กี่วันนี้ ผมพูดถึงการ "โนโชว์" ของกษัตริย์วชิราลงกรณ์ แม้แต่ในวันเกิดตัวเอง (ที่ให้รัฐและสังคมทุ่มเงินมหาศาลจัด) เลยขอถือโอกาสอัพเดตข้อมูลเรื่องการไปอยู่ในเยอรมันของเขา
ตั้งแต่ในหลวงภูมิพลสวรรคตเมื่อ 9 เดือนครึ่งที่แล้ว (13 ตุลาคม 2559) วชิราลงกรณ์ไปอยู่เยอรมัน 5 ครั้ง ถึงวันนี้รวมเป็นเวลาประมาณ 4 เดือนกับ 3 สัปดาห์แล้ว ดังนี้
มาเยอรมันครั้งที่ 1 : วันที่ 28 ตุลาคม - 10 พฤศจิกายน 2559
มาเยอรมันครั้งที่ 2 : วันที่ 13 มีนาคม - 5 เมษายน 2560
มาเยอรมันครั้งที่ 3 : วันที่ 15 เมษายน - 8 พฤษภาคม 2560
มาเยอรมันครั้งที่ 4 : วันที่ 13 พฤษภาคม - 7 กรกฎาคม 2560**
มาเยอรมันครั้งที่ 5 : วันที่ 10 กรกฎาคม - ปัจจุบัน**
**(ถ้าไม่นับว่า เขากลับไทยแค่ 2 วัน งานเข้าพรรษากับอาสาฬหบูชา วันที่ 8-9 เดือนนี้ ต้องนับว่า เขากำลังไปนานกว่าทุกครั้ง คือถ้านับจาก 13 พฤษภา ก็ 2 เดือนกว่าแล้ว)
ล่าสุด ผมได้รับการบอกมาว่า เขามีกำหนดการกลับไทยครั้งต่อไป วันที่ 7 สิงหาคม แต่เรื่องนี้ ก็ไม่สามารถยืนยันได้ร้อยเปอร์เซนต์ (ทุกครั้งที่มีคนบอกเรื่องกำหนดการไป-กลับของเขา จะบอกสำทับด้วยว่า "He's unpredictable") ก็คอยดูกันต่อไปว่า จะใช่หรือไม่
(อันที่จริง ผมคุยเล่นๆกับบางคนว่า ถ้าเขาฉลาดหรือมีเซ้นซ์ของความรับผิดชอบหน่อย วันแรกที่มีเรื่องน้ำท่วมสกลนคร เขาควรรีบบินกลับมาทันที แต่อย่างว่านะ เขาขี้เกียจเกินไปน่ะ อยู่ขับเครื่องบินเล่นแถวยุโรปสบายกว่า)
อย่างที่ผมพูดไปหลายครั้ง ไม่มีประเทศใดในโลก (กรณีประเทศเครือจักรภพ ไม่นับ เพราะเป็นกรณีพิเศษ) ที่ยอมให้ประมุขของประเทศ ไปใช้ชีวิตในต่างประเทศมากขนาดนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าพิจารณาถึงการรวบอำนาจ รวบสมบัติสาธารณะ และใช้จ่ายเงินงบประมาณสาธารณะอันมหาศาลแบบนี้
ระดับที่สังคมไทยยอมให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ เป็นอะไรที่น่าอนาถ และเหลือเชื่อ เรียกว่าหาไม่ได้ในโลกแล้ว พูดแบบเปรียบเปรยได้ว่า เหมือนปล่อยให้กษัตริย์ตบหน้า ถ่มน้ำลายใส่ แล้วประชาชนยังก้มลงกราบ และเอาน้ำลายหรือรอยโดนตบไปบูชา
9 เดือนครึ่งที่ผ่านมา กษัตริย์วชิราลงกรณ์ใช้เวลาอยู่ในเยอรมัน 4 เดือนกับ 3 สัปดาห์
(* รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 2 ควรจะกล่าวไว้)
ไหนๆ ไม่กี่วันนี้ ผมพูดถึงการ "โนโชว์" ของกษัตริย์วชิราลงกรณ์ แม้แต่ในวันเกิดตัวเอง (ที่ให้รัฐและสังคมทุ่มเงินมหาศาลจัด) เลยขอถือโอกาสอัพเดตข้อมูลเรื่องการไปอยู่ในเยอรมันของเขา
ตั้งแต่ในหลวงภูมิพลสวรรคตเมื่อ 9 เดือนครึ่งที่แล้ว (13 ตุลาคม 2559) วชิราลงกรณ์ไปอยู่เยอรมัน 5 ครั้ง ถึงวันนี้รวมเป็นเวลาประมาณ 4 เดือนกับ 3 สัปดาห์แล้ว ดังนี้
มาเยอรมันครั้งที่ 1 : วันที่ 28 ตุลาคม - 10 พฤศจิกายน 2559
มาเยอรมันครั้งที่ 2 : วันที่ 13 มีนาคม - 5 เมษายน 2560
มาเยอรมันครั้งที่ 3 : วันที่ 15 เมษายน - 8 พฤษภาคม 2560
มาเยอรมันครั้งที่ 4 : วันที่ 13 พฤษภาคม - 7 กรกฎาคม 2560**
มาเยอรมันครั้งที่ 5 : วันที่ 10 กรกฎาคม - ปัจจุบัน**
**(ถ้าไม่นับว่า เขากลับไทยแค่ 2 วัน งานเข้าพรรษากับอาสาฬหบูชา วันที่ 8-9 เดือนนี้ ต้องนับว่า เขากำลังไปนานกว่าทุกครั้ง คือถ้านับจาก 13 พฤษภา ก็ 2 เดือนกว่าแล้ว)
ล่าสุด ผมได้รับการบอกมาว่า เขามีกำหนดการกลับไทยครั้งต่อไป วันที่ 7 สิงหาคม แต่เรื่องนี้ ก็ไม่สามารถยืนยันได้ร้อยเปอร์เซนต์ (ทุกครั้งที่มีคนบอกเรื่องกำหนดการไป-กลับของเขา จะบอกสำทับด้วยว่า "He's unpredictable") ก็คอยดูกันต่อไปว่า จะใช่หรือไม่
(อันที่จริง ผมคุยเล่นๆกับบางคนว่า ถ้าเขาฉลาดหรือมีเซ้นซ์ของความรับผิดชอบหน่อย วันแรกที่มีเรื่องน้ำท่วมสกลนคร เขาควรรีบบินกลับมาทันที แต่อย่างว่านะ เขาขี้เกียจเกินไปน่ะ อยู่ขับเครื่องบินเล่นแถวยุโรปสบายกว่า)
อย่างที่ผมพูดไปหลายครั้ง ไม่มีประเทศใดในโลก (กรณีประเทศเครือจักรภพ ไม่นับ เพราะเป็นกรณีพิเศษ) ที่ยอมให้ประมุขของประเทศ ไปใช้ชีวิตในต่างประเทศมากขนาดนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าพิจารณาถึงการรวบอำนาจ รวบสมบัติสาธารณะ และใช้จ่ายเงินงบประมาณสาธารณะอันมหาศาลแบบนี้
ระดับที่สังคมไทยยอมให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ เป็นอะไรที่น่าอนาถ และเหลือเชื่อ เรียกว่าหาไม่ได้ในโลกแล้ว พูดแบบเปรียบเปรยได้ว่า เหมือนปล่อยให้กษัตริย์ตบหน้า ถ่มน้ำลายใส่ แล้วประชาชนยังก้มลงกราบ และเอาน้ำลายหรือรอยโดนตบไปบูชา
***"สถานกงสุลพระราชทาน" ณ มิวนิก
https://goo.gl/4zBWQu
"สถานกงสุลพระราชทาน" ณ มิวนิก
นี่ครับ เอามติคณะรัฐมนตรี เมื่อเดือนสิงหาคม ที่อนุมัติการเปิดสถานกงสุลใหญ่ ณ มิวนิก มาให้ดู
(ใครยังไม่อ่านกระทู้ก่อน เรื่องการเปิดสถานกงสุลใหญ่ มิวนิก ดูที่นี่ https://t.co/LGKQ3Uf6Vh)
แน่นอน จะเปิดสถานกงกุลที ก็ต้องมีการตั้งงบประมาณเพิ่มเติม (และไม่ใช่เฉพาะตอนเปิด แต่ตลอดไปทุกปี) และตามหลักการทูต เมื่อเราจะขอเปิดสถานทูตหรือสถานกงสุลในประเทศใด เราก็ต้องให้สิทธิประเทศนั้น เปิดสถานทูตหรือสถานกงกุลในไทยตอบแทนกันด้วย (ดูข้อ ๑.๒ ของมติฯ)
ผมไม่แน่ใจว่า เยอรมันอยากจะเปิดหรือเปล่านะ ทุกวันนี้ นอกจากสถานทูตแล้ว เยอรมันไม่มีแม้แต่สถานกงสุลใหญ่ มีแต่กงสุลกิตติมศักดิ์ ที่เชียงใหม่ พัทยา และภูเก็ต (ย่านท่องเที่ยวนั่นแหละ) ในขณะที่ ของไทยมีสถานกงสุลใหญ่แล้วที่แฟรงเฟิร์ก และกงสุลกิตติมศักดิ์ 4 แห่ง (รวมมิวนิกที่เพิ่งปิด) เอาเข้าจริง ผมไม่คิดว่าเรามีความจำเป็นต้องมีสถานกงสุลใหญ่อีกแห่งหรอก ที่จะมาเปิดใหม่ที่มิวนิกนี้ ผมว่าไม่มีปัญหาเลยว่า มาจากวชิราลงกรณ์ (คำว่า "สถานกงสุลพระราชทาน" ที่จั่วหัว เอามาจากมิตรสหายท่านหนึ่ง ที่เม้นท์ในกระทู้ก่อน ความจริง อย่างที่รู้กันว่า "พระราชทาน" ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงวชิราลงกรณ์ "ให้มา" ในแง่ให้เงินให้อะไรมาตั้งหรอก ที่ถูกต้องบอกว่า "พระราช-สั่ง-มา" มากกว่า เงินค่าใช้จ่าย แน่นอน รัฐบาลไทยจ่าย)
..............
ไหนๆพูดถึงเรื่องนี้ ผมขอถือโอกาส พูดถึง "ข่าวกรอง-ข่าวลือ" ที่ผมได้ยินมาสักพัก (ปกติ ผมไม่พูดเรื่องข่าวกรอง-ข่าวลือ ถ้าไม่มีการยืนยัน ที่พูดนี้ เพราะมันเป็นประเด็นเกี่ยวข้องกันนี้พอดี) - และแน่นอน ต้องย้ำว่า ในเมื่อนี่เป็นเพียง "ข่าวกรอง-ข่าวลือ" ก็เล่าเพื่อให้รู้กันว่า มันมีเท่านั้น ไม่ต้องการให้เชื่อเป็นจริงจัง
คือ มีคนบอกผมมา 2 เรื่องสักระยะหนึ่งแล้ว เรื่องแรก มีการพูดกันว่า วชิราลงกรณ์อาจจะย้ายจากมิวนิก ไปซูริค แทน ตอนผมได้ยินเรื่องนี้ ก็ขมวดคิ้ว ไม่ค่อยเชื่อนัก เพราะเห็นเขาลงทุนซื้อบ้านอยู่มิวนิกและอยู่มานาน เรื่องซูริคนั้น หลังๆเห็นเขาบินไปบ้างจริง แต่เห็นว่าบินไปเพื่อส่งคุณสุทิดา "นุ้ย" ไปพักเสียมากกว่า (ตัวเขาเองไม่ได้อยู่พักด้วยซ้ำ บินกลับมิวนิกเลย) ดูจากข่าวการเปิดกงสุลใหญ่มิวนิกนี้ แสดงว่า เขาคงไม่ย้ายหรอก ยกเว้น - อันนี้จะตลกมากๆเลย - เขาคิดจะย้ายไปซูริคจริงๆ แต่รัฐบาลไทย ยัง "อัพเดต" ไม่ทัน เดินเรื่องเตรียมเปิดสถานกงกุลในมิวนิก ตามที่เขาเคยขอ-สั่งไว้ก่อนแล้ว หรือไม่งั้น ถ้าจะแย่กว่านั้นอีก เขาเตรียมจะไปสร้างบ้านที่ซูริคอีกแห่ง โดยรักษาที่มิวนิกไว้เป็นบ้านหลัก - พระเจ้าช่วย!(รักษาเงินงบประมาณ) ขอให้ข่าวลือเรื่องย้ายไปซูริคที่มีคนบอกผมมานี้ไม่จริงเถิด
อีกเรื่องคือ มีคนบอกผมมาเช่นกันว่า หลังงานศพ เขาจะมาอยู่ไทยเป็นหลัก ดูท่าจากการเปิดสถานกงสุลใหญ่ในมิวนิกนี้แล้ว ก็คงจะไม่จริง หรืออย่างน้อย เขาคงจะใช้เวลาแต่ละปีอยู่ในมิวนิกมากพอสมควรต่อไปแหละ อาจจะ "ลด" ลงบ้างมั้ง จาก 7 เดือน เหลือ 5 หรือ 6 เดือนอะไรแบบนั้นก็ได้ เหอๆๆ
(นึกอีกที สมมุติเขากลับมาใช้เวลาอยู่ในไทยเป็นหลัก - ก็เท่ากับที่อุตส่าห์ให้เปิดสถานกงสุลใหญ่มิวนิกนี่ เป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณไปเปล่าๆเกินจำเป็นน่ะสิ ฮี่ฮี่)
นี่ครับ เอามติคณะรัฐมนตรี เมื่อเดือนสิงหาคม ที่อนุมัติการเปิดสถานกงสุลใหญ่ ณ มิวนิก มาให้ดู
(ใครยังไม่อ่านกระทู้ก่อน เรื่องการเปิดสถานกงสุลใหญ่ มิวนิก ดูที่นี่ https://t.co/LGKQ3Uf6Vh)
แน่นอน จะเปิดสถานกงกุลที ก็ต้องมีการตั้งงบประมาณเพิ่มเติม (และไม่ใช่เฉพาะตอนเปิด แต่ตลอดไปทุกปี) และตามหลักการทูต เมื่อเราจะขอเปิดสถานทูตหรือสถานกงสุลในประเทศใด เราก็ต้องให้สิทธิประเทศนั้น เปิดสถานทูตหรือสถานกงกุลในไทยตอบแทนกันด้วย (ดูข้อ ๑.๒ ของมติฯ)
ผมไม่แน่ใจว่า เยอรมันอยากจะเปิดหรือเปล่านะ ทุกวันนี้ นอกจากสถานทูตแล้ว เยอรมันไม่มีแม้แต่สถานกงสุลใหญ่ มีแต่กงสุลกิตติมศักดิ์ ที่เชียงใหม่ พัทยา และภูเก็ต (ย่านท่องเที่ยวนั่นแหละ) ในขณะที่ ของไทยมีสถานกงสุลใหญ่แล้วที่แฟรงเฟิร์ก และกงสุลกิตติมศักดิ์ 4 แห่ง (รวมมิวนิกที่เพิ่งปิด) เอาเข้าจริง ผมไม่คิดว่าเรามีความจำเป็นต้องมีสถานกงสุลใหญ่อีกแห่งหรอก ที่จะมาเปิดใหม่ที่มิวนิกนี้ ผมว่าไม่มีปัญหาเลยว่า มาจากวชิราลงกรณ์ (คำว่า "สถานกงสุลพระราชทาน" ที่จั่วหัว เอามาจากมิตรสหายท่านหนึ่ง ที่เม้นท์ในกระทู้ก่อน ความจริง อย่างที่รู้กันว่า "พระราชทาน" ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงวชิราลงกรณ์ "ให้มา" ในแง่ให้เงินให้อะไรมาตั้งหรอก ที่ถูกต้องบอกว่า "พระราช-สั่ง-มา" มากกว่า เงินค่าใช้จ่าย แน่นอน รัฐบาลไทยจ่าย)
..............
ไหนๆพูดถึงเรื่องนี้ ผมขอถือโอกาส พูดถึง "ข่าวกรอง-ข่าวลือ" ที่ผมได้ยินมาสักพัก (ปกติ ผมไม่พูดเรื่องข่าวกรอง-ข่าวลือ ถ้าไม่มีการยืนยัน ที่พูดนี้ เพราะมันเป็นประเด็นเกี่ยวข้องกันนี้พอดี) - และแน่นอน ต้องย้ำว่า ในเมื่อนี่เป็นเพียง "ข่าวกรอง-ข่าวลือ" ก็เล่าเพื่อให้รู้กันว่า มันมีเท่านั้น ไม่ต้องการให้เชื่อเป็นจริงจัง
คือ มีคนบอกผมมา 2 เรื่องสักระยะหนึ่งแล้ว เรื่องแรก มีการพูดกันว่า วชิราลงกรณ์อาจจะย้ายจากมิวนิก ไปซูริค แทน ตอนผมได้ยินเรื่องนี้ ก็ขมวดคิ้ว ไม่ค่อยเชื่อนัก เพราะเห็นเขาลงทุนซื้อบ้านอยู่มิวนิกและอยู่มานาน เรื่องซูริคนั้น หลังๆเห็นเขาบินไปบ้างจริง แต่เห็นว่าบินไปเพื่อส่งคุณสุทิดา "นุ้ย" ไปพักเสียมากกว่า (ตัวเขาเองไม่ได้อยู่พักด้วยซ้ำ บินกลับมิวนิกเลย) ดูจากข่าวการเปิดกงสุลใหญ่มิวนิกนี้ แสดงว่า เขาคงไม่ย้ายหรอก ยกเว้น - อันนี้จะตลกมากๆเลย - เขาคิดจะย้ายไปซูริคจริงๆ แต่รัฐบาลไทย ยัง "อัพเดต" ไม่ทัน เดินเรื่องเตรียมเปิดสถานกงกุลในมิวนิก ตามที่เขาเคยขอ-สั่งไว้ก่อนแล้ว หรือไม่งั้น ถ้าจะแย่กว่านั้นอีก เขาเตรียมจะไปสร้างบ้านที่ซูริคอีกแห่ง โดยรักษาที่มิวนิกไว้เป็นบ้านหลัก - พระเจ้าช่วย!(รักษาเงินงบประมาณ) ขอให้ข่าวลือเรื่องย้ายไปซูริคที่มีคนบอกผมมานี้ไม่จริงเถิด
อีกเรื่องคือ มีคนบอกผมมาเช่นกันว่า หลังงานศพ เขาจะมาอยู่ไทยเป็นหลัก ดูท่าจากการเปิดสถานกงสุลใหญ่ในมิวนิกนี้แล้ว ก็คงจะไม่จริง หรืออย่างน้อย เขาคงจะใช้เวลาแต่ละปีอยู่ในมิวนิกมากพอสมควรต่อไปแหละ อาจจะ "ลด" ลงบ้างมั้ง จาก 7 เดือน เหลือ 5 หรือ 6 เดือนอะไรแบบนั้นก็ได้ เหอๆๆ
(นึกอีกที สมมุติเขากลับมาใช้เวลาอยู่ในไทยเป็นหลัก - ก็เท่ากับที่อุตส่าห์ให้เปิดสถานกงสุลใหญ่มิวนิกนี่ เป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณไปเปล่าๆเกินจำเป็นน่ะสิ ฮี่ฮี่)
***ไทยปิด"สถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์
นครมิวนิก" เตรียมเปิดเป็น "สถานกงสุลใหญ่" แทน - คือปิด เพื่อ"อัพเกรด"
น่าจะ"อัพเกรด"ให้มากกว่านี้ เช่นเปลี่ยนเป็น กท.ต่างปท.(สาขา2)
หรือทำเนียบ รบ.ไทย (สาขา2) หรือเจรจาเยอรมัน
ขอเอามิวนิคเป็นเมืองหลวงแห่งที่สองของไทย ฮี่ฮี่ https://goo.gl/6xAhB1
ไทยประกาศปิด "สถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ ณ นครมิวนิก" และเตรียมเปิด "สถานกงสุลใหญ่ ณ นครมิวนิก" แทน
พูดง่ายๆคือปิด เพื่อ "อัพเกรด" สำนักงานตัวแทนประเทศไทยในมิวนิก-รัฐบาวาเรียและรัฐบาเดิน-เวือร์ทเทมแบร์ก
"กงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์" ที่ปิดไป นี่คือระดับต่ำสุด มีไว้ออกวีซ่าเท่านั้น ไม่ใช่นักการทูตอาชีพ ไม่ใช่คนไทยด้วยซ้ำ ท่านสุดท้ายก่อนปิด คือ Mrs. Barbara Riepl (กงสุลกิตติมศักดิ์) โดยมี Mrs. Stephanie Reinhart เป็นเลขานุการ
ทุกวันนี้ ประเทศไทยมีสำนักงานตัวแทนประเทศในเยอรมัน คือ สถานเอกอัตรราชทูตไทย ณ กรุงเบอร์ลิน และมีสถานกงสุลใหญ่แห่งเดียวคือ "สถานกงสุลใหญ่ ณ นครแฟรงก์เฟิร์ต" ซึ่งเป็นที่เข้าใจได้ เพราะแฟรงก์เฟิร์ต เป็นเมืองศูนย์กลางธุรกิจ ส่วนที่เหลือเป็นเพียง "สถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์" ที่ มิวนิก (ที่ปิดนี้), ฮัมบูร์ก, ชตุทท์การ์ท, และ ดึสเซลดอร์ฟ
ทำไมต้อง "อัพเกรด" ที่มิวนิกเป็น "สถานกงสุลใหญ่"?
ผมว่า ความจริงที่ว่า ทุกวันนี้ ประมุขประเทศไทยอยู่ที่มิวนิก กว่าครึ่งของปี (ตัวเลขปีกลาย 7 เดือนใน 12 เดือน) คงเป็นปัจจัยสำคัญแหละ กฎหมายหลายฉบับของไทย ไป "ออกประกาศเป็นกฎหมาย" ในระหว่างกษัตริย์ไทยอยู่ในมิวนิกนี่แหละ เรียกว่า ทรง "เซ็นชื่อ" หรือ "เอ๊กเซอร์ไซส์อำนาจอธิปไตยของประเทศไทย" ณ นครมิวนิกหลายครั้งหลายหนแล้ว
จะว่าไป อันที่จริง น่าจะ "อัพเกรด" ให้มากกว่านี้ด้วยซ้ำนะ เช่น เปลี่ยนเป็นกระทรวงต่างประเทศไทย (สาขาสอง) หรือ ทำเนียบรัฐบาลไทย (สาขาสอง) - หรือให้สุดๆไปเลย เจรจากับเยอรมัน ขอเอามิวนิกเป็นเมืองหลวงแห่งที่สองของไทยเสียเลย ฮี่ฮี่
พูดง่ายๆคือปิด เพื่อ "อัพเกรด" สำนักงานตัวแทนประเทศไทยในมิวนิก-รัฐบาวาเรียและรัฐบาเดิน-เวือร์ทเทมแบร์ก
"กงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์" ที่ปิดไป นี่คือระดับต่ำสุด มีไว้ออกวีซ่าเท่านั้น ไม่ใช่นักการทูตอาชีพ ไม่ใช่คนไทยด้วยซ้ำ ท่านสุดท้ายก่อนปิด คือ Mrs. Barbara Riepl (กงสุลกิตติมศักดิ์) โดยมี Mrs. Stephanie Reinhart เป็นเลขานุการ
ทุกวันนี้ ประเทศไทยมีสำนักงานตัวแทนประเทศในเยอรมัน คือ สถานเอกอัตรราชทูตไทย ณ กรุงเบอร์ลิน และมีสถานกงสุลใหญ่แห่งเดียวคือ "สถานกงสุลใหญ่ ณ นครแฟรงก์เฟิร์ต" ซึ่งเป็นที่เข้าใจได้ เพราะแฟรงก์เฟิร์ต เป็นเมืองศูนย์กลางธุรกิจ ส่วนที่เหลือเป็นเพียง "สถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์" ที่ มิวนิก (ที่ปิดนี้), ฮัมบูร์ก, ชตุทท์การ์ท, และ ดึสเซลดอร์ฟ
ทำไมต้อง "อัพเกรด" ที่มิวนิกเป็น "สถานกงสุลใหญ่"?
ผมว่า ความจริงที่ว่า ทุกวันนี้ ประมุขประเทศไทยอยู่ที่มิวนิก กว่าครึ่งของปี (ตัวเลขปีกลาย 7 เดือนใน 12 เดือน) คงเป็นปัจจัยสำคัญแหละ กฎหมายหลายฉบับของไทย ไป "ออกประกาศเป็นกฎหมาย" ในระหว่างกษัตริย์ไทยอยู่ในมิวนิกนี่แหละ เรียกว่า ทรง "เซ็นชื่อ" หรือ "เอ๊กเซอร์ไซส์อำนาจอธิปไตยของประเทศไทย" ณ นครมิวนิกหลายครั้งหลายหนแล้ว
จะว่าไป อันที่จริง น่าจะ "อัพเกรด" ให้มากกว่านี้ด้วยซ้ำนะ เช่น เปลี่ยนเป็นกระทรวงต่างประเทศไทย (สาขาสอง) หรือ ทำเนียบรัฐบาลไทย (สาขาสอง) - หรือให้สุดๆไปเลย เจรจากับเยอรมัน ขอเอามิวนิกเป็นเมืองหลวงแห่งที่สองของไทยเสียเลย ฮี่ฮี่
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar