การจัดพิธีถวายสัตย์ใหม่ของรัฐบาล คสช.๒
ต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระเจ้าอยู่หัว และพระราชดำรัสที่ทรงให้กำลังใจต่อนายกรัฐมนตรีและ
ครม. (๑๖ ก.ค.๖๒) เมื่อวันที่ ๒๗ สิงหา โดยไม่ปรากฏข่าว ภาพ และรายละเอียดใดๆ
ออกมาสู่สาธารณะเลยแม้แต่น้อย
ต่อการที่มีหนังสือเวียนในหมู่คณะรัฐมนตรีของรัฐบาลประยุทธ์
๒ ให้ไปร่วมพิธี ณ ห้องรับรองชั้น ๕ ตึกบัญชาการ ๑ ทำเนียบรัฐบาล เวลา ๙.๐๐ น.
เมื่อพร้อมกันแล้ว
“นายกรัฐมนตรีเปิดกรวยกระทงดอกไม้ธูปเทียนแพหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
โดยมีเจ้าหน้าที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเชิญพระราชดำรัสวางบนพานหน้าพระบรมฉายาลักษณ์”
“จากนั้น
นายกรัฐมนตรีเข้ารับพระราชดำรัสและกลับมายืน ณ จุดเดิม
คณะรัฐมนตรีเข้ารับพระราชดำรัสตามลำดับ และถวายความเคารพพร้อมกัน ก่อนจะเสร็จพิธี”
เพียงเท่านี้ก็จะอ้างว่าได้ทำการถวายสัตย์อย่างเหมาะสมแล้ว
เป็นการยืนยันว่ารัฐบาลชุดนี้ของ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่แยแสและใยดีต่อรัฐธรรมนูญฉบับปี ๒๕๖๐ ที่ใช้อยู่ โดยอ้างพระราชดำรัสด้วยถ้อยคำกำกวมให้เข้าใจไปว่า
คำปฏิญานจะต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญไม่มีความหมาย
ทั้งยังเป็นการกำหนดทางปฏิบัติแนวใหม่ของ
คสช. ที่ไม่เพียงจะทำอย่างไรกับพิธีกรรมตามรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจสูงสุดแก่กฎหมายก็ได้เท่านั้น
ยังแสดงว่ารัฐธรรมนูญที่พวกตนจัดการร่างขึ้นมาโดยผ่านกระบวนการประชามติ ที่บังคับไม่ให้มีการตำหนิและคัดค้าน
แม้จะมีเนื้อหาผิดเพี้ยนไปจากทำนองประชาธิปไตยในมาตรฐานสากล
ด้วยการกำหนดอำนาจพิเศษในการสืบทอดเจตนาของคณะรัฐประหาร ๒๕๕๗ เอาไว้เป็นเวลาอย่างน้อยๆ
อีก ๒๐ ปี ผ่านทางยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศแล้ว
ยังจงใจแสดงว่าต่อไปภายหน้าภายใต้รัฐบาลแบบ
‘กึ่งอาณัติเลือกตั้ง’ ชุด
คสช.๒ นี้ จะสามารถบิดพริ้วและดัดแปลงรัฐธรรมนูญให้เป็นไปตามความต้องการของพวกตนอย่างไรก็ได้
ในครั้งนี้ (การถวายสัตย์ขาดตก) ใช้การอิงแอบพระราชฐานันดรแห่งกษัตราธิราช
ครั้งหน้าเมื่อคณะทหารผู้ปกครองกระชับอำนาจอย่างแน่นแฟ้นมากขึ้นแล้ว
อาจจะอ้างบุญญาบารมีอื่นใดอีกก็ได้
จะเห็นได้ว่าการจัดถวายสัตย์ต่อหนังสือพระราชดำรัสและลายพระหัตถ์นี้
ทำขึ้นเพื่อเลี่ยงบาลีต่อการที่สภาผู้แทนราษฎรกำหนดอภิปรายทั่วไปให้นายกรัฐมนตรีตองข้อซักถาม
ว่าเหตุใดจึงกระทำดั่งจงใจละเมิดรัฐธรรมนูญเช่นนั้น
เป็นการบิดเบือนพิธีกรรม โดยนำเอาสถาบันประมุขมาบังหน้าการเหยียบย่ำรัฐธรรมนูญของพวกตน
เป็นที่น่าเสียใจว่าสถาบันประมุขของไทยจักต้องมัวหมองในสายตานานาประเทศที่ยึดถือหลักการประชาธิปไตย
ด้วยการลุแก่อำนาจของรัฐบาลที่สืบทอดมาจากคณะรัฐประหารนี้
ไม่เพียงเท่านั้น
การแสดงกิริยาวางอำนาจบาตรใหญ่ทางการเมืองของผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.อภิรัชต์
คงสมพงษ์ ซึ่งได้แสดงตนเป็นฐานอำนาจทางทหารให้กับรัฐบาลประยุทธ์เสมอมาตั้งแต่ชุด ๑
มายังชุด ๒ ดังที่ วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวคนสำคัญในเรื่องของฝ่ายทหารรายงานไว้
จากการที่ พล.อ.อภิรัชต์เปิดเผยว่าตนเขียนบทความทางการเมือง
(อ้างว่าใน ‘เชิงวิทยานิพนธ์’) เอาไว้ “เขียนเสร็จแล้ว เดี๋ยวเผยแพร่ เดี๋ยวจะมีคนเดือดร้อน” แม้นว่า ‘บิ๊กแดง’ จะไม่ยอมระบุว่าเจาะจงที่ ‘ฝ่ายการเมือง’ แต่การเขียนบทความการเมืองไม่น่าจะเป็นเรื่องธัมมะธัมโมอย่างแน่นอน
บิ๊กแดงผู้นี้ยังเพิ่งประกาศว่าจะใช้งบประมาณแผ่นดินซื้อรถถังแบบสไตร๊เกอร์จากสหรัฐเพิ่มอีก
๕๐ คันสำหนรับปีหน้า อันเนื่องมาจากเมื่อวันที่ ๒๙ ส.ค.ได้มีการส่งมอบยานเกราะ Stryker
M1126 สี่คันแรกให้แก่กองทัพไทย
ยานเกราะเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งที่กองทัพจัดซื้อด้วยเงินงบประมาณปี
๒๕๖๒ จำนวน ๓๗ คัน ราคาราวคันละ ๘๐ ล้านบาท
ซึ่งเท่ากับว่าเงินงบประมาณที่มาจากการเก็บภาษีอากรปีนี้ต้องจ่ายประดับบารมีกองทัพบกไปแล้ว
๒,๙๖๐ ล้านบาท
ไม่ว่าบิ๊กแดงจะเอ่ยอ้างเรื่องรถถังชนิดนี้แม้จะเป็นรุ่นเก่าแต่ก็ยังใช้ประจำการของสหรัฐ
(เรื่องซ่อมแซมและอะหลั่ยไม่ต้องห่วง) หรือว่าคราวนี้ซื้อ ๓๐ แถม ๒๐ คราวหน้าซื้อ
๕๐ แถม ๓๐ (ประเภท ‘ถูกและดี’) แต่ปีหน้าต้องจ่ายอีก ๔ พันล้านบาท ประชาชนได้อะไร
รถถังดังกล่าว “มีการติดเครื่องยิงลูกระเบิดขนาด
๑๒๐ ม.ม.” ไม่รู้ว่าจะเอาไปรบทัพจับศึกกับใครเมื่อไหร่ แต่แน่ๆ เข็นออกมาทำการรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือน
เมื่อใดที่บิ๊กแดงเห็นว่าถึงเวลา อย่างที่ประกาศไว้แล้ว