tisdag 22 juni 2021

กว่าจะ ‘หมดศรัทธาฯ’: เรื่องราวของ ‘ทิวากร วิถีตน’ กับวิถีการต่อสู้ที่ตนเลือกเอง

Thai E-News

บทสัมภาษณ์ ทิวากร วิถีตน ผู้มาสานต่อจากปรีดีและคณะราษฎร 2475 ที่ทำค้างคาไว้ยังไม่สำเร็จ



Tiwagorn Withiton
18h ·

ผมจนมากและกระจอกมาก แต่ก็ฝันอยากจะเป็นประชาชนคนธรรมดานักอภิวัฒน์ ที่อาสามาสานงานต่อจากปรีดีและคณะราษฎร'2475 ที่ทำค้างคาไว้ยังไม่สำเร็จ เพื่อให้มันเสร็จสมบูรณ์ ในแนวทางสันติปราศจากการนองเลือด
.....
กว่าจะ ‘หมดศรัทธาฯ’: เรื่องราวของ ‘ทิวากร วิถีตน’ กับวิถีการต่อสู้ที่ตนเลือกเอง
 

โดย TLHR
21/06/2564
สมานฉันท์ พุทธจักร

การหายตัวไปจากหน้าคอนโดมิเนียมในกรุงพนมเปญของวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ผู้ลี้ภัยทางการเมือง เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2563 ทำให้มีหลายคนลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับเขา จนเป็นกระแสการเคลื่อนไหวหนึ่งที่ก่อตัวรวมเป็นคลื่นการชุมนุมเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยและปฏิรูปสถาบันกษัตริย์อย่างต่อเนื่องตั้งแต่กลางปี 2563 ที่ผ่านมา

ทิวากร วิถีตน เกษตรกรจากจังหวัดขอนแก่น คือหนึ่งคนอยู่ในกระแสธารดังกล่าว การหายตัวของวันเฉลิม ฉุดให้ทิวากรคิดว่า ต้องลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างกับสถานการณ์ที่ชวนอึดอัดของประเทศนี้ แต่สิ่งที่เขาเลือกทำต่างออกไปจากคนอื่นๆ ด้วยการใส่เสื้อยืดสกรีนประโยคที่ว่า “เราหมดศรัทธาสถาบันกษัตริย์แล้ว” โพสต์ลงในโซเชียลมีเดีย จนเกิดเป็นประเด็นใหญ่ในโลกออนไลน์

แม้จะยืนยันว่าตัวเองไม่ได้มีอาการป่วยทางจิตใดๆ แต่วิธีที่รัฐเลือกใช้จัดการกับคนที่วิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ ในกรณีของทิวากรนั้นแตกต่างออกไปจากกรณีของคนอื่น ในวันที่ 9 กรกฎาคม 2563 มีแพทย์และเจ้าหน้าที่ตำรวจรวมกว่า 10 คน เข้ามาถึงบ้านของทิวากร บังคับคุมตัวเขาไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์

ทิวากร ถือเป็นคนแรกๆ ที่ออกมาแสดงออกต่อสถาบันกษัตริย์อย่างตรงไปตรงมา ก่อนจะมีปรากฏการณ์ซึ่งเรียกว่า “ทะลุเพดาน” ที่ผู้คนต่างแสดงออกในประเด็นสถาบันกษัตริย์อย่างเปิดเผยในการชุมนุม หากนับตั้งแต่การรัฐประหารปี 2549 ที่เป็นเหมือนหมุดหมายของความขัดแย้งทางการเมืองระลอกปัจจุบัน

กว่าประเด็นสถาบันกษัตริย์จะถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุยในพื้นที่สาธารณะได้อย่างทุกวันนี้ ต้องผ่านการต่อสู้ทางการเมืองมาอย่างมากมาย เช่นเดียวกับทิวากร ชีวิตเขาต้องเดินผ่านจุดตัดทางการเมืองมาอย่างมากมายในความขัดแย้งทางการเมืองระลอกนี้ กว่าที่เขาจะกล้าลุกขึ้นพูดความในใจว่าเขาหมดศรัทธาต่อสถาบันกษัตริย์แล้ว



นักรบไซเบอร์ ประชาธิปไตยบนสายอินเทอร์เน็ต

“ตอนนั้นผมยังไม่ได้ประสีประสาอะไร ไม่ได้อยู่ข้างไหน” ชีวิตของทิวากรไม่ได้แตกต่างกับชนชั้นกลางคนอื่นๆ จบจากโรงเรียนชั้นนำในขอนแก่น สอบเข้าเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ จบออกมาทำงานในบริษัทด้านไอทีในกรุงเทพฯ

จนช่วงเวลาที่วิกฤตการณ์ทางการเมืองระลอกใหม่เริ่มตั้งเค้า “พอปี 48 ตอนนั้นมีรายการ ‘เมืองไทยรายสัปดาห์’ ของสนธิ ลิ้มทองกุล เห็นเพื่อนสมัยมัธยมหลายคนไม่พอใจที่รายการดีๆ ที่ทำเพื่อประเทศ ที่เอาความจริงมาเปิดเผย ถูกปิด” เขาเองแม้จะเป็นผู้ที่เข้าคูหากาบัตรเลือกให้พรรคไทยรักไทยของทักษิณ ชินวัตร เพราะเห็นถึงผลงานต่างๆ ของไทยรักไทยในการเป็นรัฐบาลสมัยแรก แต่ก็ยังติดตามฟังสิ่งที่สนธิ ลิ้มทองกุล พูดในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ จนมาถึงการเกิดขึ้น “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย”

ก่อนถึงจุดที่เริ่มไม่เห็นด้วยกับหลายสิ่งที่กลุ่มพันธมิตรฯ นำเสนอ อย่างการพยายามนำสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาพูด การให้ข้อมูลที่ดูจะไม่น่าเชื่อถือ การอ้างถึงสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่บ่อยครั้ง “สุดท้ายไปๆ มาๆ ผมก็ไม่เห็นด้วยกับสนธิ ลิ้มทองกุล เพราะหลายเรื่อง อย่างมันมีการขอมาตรา 7 ขออะไรต่างๆ ซึ่ง อ้าว นี่หมายความว่าประชาชนไม่สามารถที่จะมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งใช่ไหม” แม้จะเห็นข้อเสียหลายอย่างของทักษิณ แต่ยังเห็นว่าเสียงของประชาชนที่เลือกไทยรักไทยเข้ามามีความสำคัญ

จนเกิดการรัฐประหารปี 2549 จุดเริ่มต้นของคลื่นความขัดแย้งทางการเมืองที่ส่งต่อมาถึงปัจจุบัน “กลายเป็นว่าผมสนับสนุน เอ้าก็ลองดู ถ้าคิดว่ารัฐประหารแล้วมันจะดี ก็ลองดู ถ้าทำให้ประเทศเจริญกว่าทักษิณได้ก็โอเค ก็ทำไปเลย” ด้วยความคิดที่ว่าการรัฐประหารอาจนำมาสู่การแก้ปัญหาความขัดแย้งในสังคม ช่วงนั้นทิวากรยอมรับว่ายังสับสนกับตัวเอง เรื่องจุดยืนทางการเมือง

เข้าสู่ปี 2550 หลายสิ่งในใจก็ชัดเจนขึ้นมาว่า การรัฐประหารไม่ได้ทำให้อะไรต่ออะไรในประเทศดีขึ้น ยังทำให้เห็นถึงสิ่งต่างๆ ที่อยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร เป็นจุดเริ่มของการออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง ด้วยการร่วมกิจกรรมเล็กๆ ของกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐประหาร

“ตอนนั้นมันไม่มีเสื้อแดง ผมไปปล่อยลูกโป่งประชาธิปไตยที่สนามหลวง คนจัดคือสุชาติ นาคบางไทร” ทำให้เริ่มรู้จักกับหลายคนที่ออกมาเคลื่อนไหว อย่างกลุ่ม “คนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ”

เป็นช่วงเวลาที่ฟากฝั่งของคนที่คัดค้านรัฐประหารเริ่มก่อตัว และขยับพื้นที่เข้าไปยังโลกไซเบอร์ เว็บบอร์ดพูดคุยการเมืองเกิดขึ้นมากมาย ทิวากรเข้าไปจับจองพื้นที่ของโปรแกรม Camfrog ที่ใช้สนทนาโต้ตอบโดยมีทั้งภาพและเสียง ซึ่งเป็นที่นิยมในเวลานั้น “แคมฟรอกราชดำเนิน อันนี้เป็นแหล่งที่คอการเมืองเลยเขาอยู่ในนั้น”

เนื่องจากการถกเถียงเรื่องการเมืองผ่านตัวอักษรตามเว็บบอร์ด สำหรับหลายคนเริ่มไม่เพียงพอ “ตอนนั้นเริ่มจะมีสามเกลอ จตุพร ณัฐวุฒิ เค้าก็จะเอาคลิปพวกนี้มาเปิด แล้วก็จะเอาคลิปทางฝั่งสนธิมาเปิดเปรียบเทียบกันด้วย เค้าก็ฟังแล้วก็พิมพ์วิจารณ์กัน บางทีก็จับไมค์คุยกัน” เป็นบรรยากาศที่ทิวากรชื่นชอบมาก จนใช้ชีวิตการเคลื่อนไหวส่วนใหญ่อยู่บนหน้าจอ

ลงทุนใช้เงินส่วนตัวเปิดห้องแคมฟรอก เป็นพื้นที่ให้คนเห็นต่างเข้าพูดคุยถกเกียงกัน จังหวะที่กลุ่มคนเสื้อแดงเริ่มก่อขบวน มีการชุมนุมเกิดขึ้นหลายครั้ง ทิวากรได้เข้าร่วมชุมนุมต่างๆ และวางตัวเองเป็น “นักรบไซเบอร์” คอยสนับสนุนการเคลื่อนไหว “ผมก็จะไรท์ซีดีแจกคนในซอยที่ผมอยู่ เข้าไปคุยในห้องตัวเองที่เป็นเสื้อแดง แล้วก็ไปคุยในห้องที่เค้าเป็นพันธมิตรฯ มันก็คล้ายๆ คลับเฮ้าส์สมัยนี้ คือเวลาจับไมค์ดีเบตกันเนี่ยมันไม่มีเวลาที่จะไปเตรียมคำอะไรมากไง” ทิวากรแจกแจงหน้าที่ในฐานะนักรบไซเบอร์ของเขา ที่ขนานกันไปกับการเคลื่อนไหวบนท้องถนน

ผ่านเดือนเมษายน – พฤษภาคม 2553 เหตุการณ์ล้อมปราบคนเสื้อแดงกลางเมือง ซึ่งทิวากรเข้าไปอยู่ในหลายเหตุการณ์ แม้ไม่ใช่แนวหน้า แต่ก็ถูกแก๊สน้ำตาเข้าไปหลายครั้ง จากนั้นยังคงทำกิจกรรมทางการเมืองมาอย่างต่อเนื่อง “นัดทางอินเตอร์เน็ต ไปกับกลุ่มวันอาทิตย์สีแดงที่มี บก. ลายจุด ไปแบบไม่มีแกนนำ เอานกพิราบไปปล่อย ไปผูกผ้าแดงตรงราชประสงค์ แล้วการแสดงออกวันนั้นเป็นไงรู้มั้ย โอ้โห มีชูป้ายเยอะ ป้ายแบบ ‘กูตาสว่างมึงเสื่อม’ พอเข้าใจใช่ไหมว่าคนเขาตื่นขนาดนั้น”

คลิกอ่านต่อทั้งหมด -บทสัมภาษณ์ ทิวากร วิถีตน ผู้มาสานต่อจากปรีดีและคณะราษฎร 2475 ที่ทำค้างคาไว้ยังไม่สำเร็จ

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar