คณะทำงานมารประเทศ โดย กาหลิบ
คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง คณะทำงานมารประเทศ
โดย กาหลิบ
การจับกุม นายกิตติชัย เชิงชาญศิลปกุล กระทำอย่างเงียบกริบ คนที่สังคมทั่วไปรู้จักในนามของ “พี่ชาย ดา ตอปิโด” หายตัวไปจากการติดต่อสื่อสารกับญาติมิตรเพื่อนฝูงหลายวัน ก่อนที่จะรู้กันว่าเขาถูกจับกุมตัวโดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI เสียแล้ว
หนึ่ง ในคนที่ไม่รู้ว่าเขาถูกจับคือทนายความของเขาเอง นั่นแปลว่านายกิตติชัยฯ ไม่ได้รับสิทธิ์ในการปรึกษาหารือกับตัวแทนทางกฎหมายของตนเอง ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างชัดแจ้ง จนแทบไม่ต้องถามต่อเลยว่าเขามีความผิดตามที่ถูกกล่าวหาจริงหรือไม่ หากกระบวนการฉ้อฉลตั้งแต่ต้น เราจะสนใจใยดีต่อผลในขั้นสุดท้ายไปทำไมกัน?
ตั้งสติและมองภาพรวมสักนิด เราจะรู้ได้เองว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นในบ้านเมืองนี้
นาย กิตติชัยฯ เป็นญาติคนเดียวที่เทียวขึ้นลงระหว่างกรุงเทพฯ และภูเก็ต เพื่อดูแลน้องสาวที่ถูกตราหน้าว่าเป็นนักโทษในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จากการแสดงทัศนะกลางสนามหลวงว่าการยึดอำนาจเมื่อวันอังคารที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๙ เกิดจากใคร และเพราะอะไรแน่ โดยลำดับพฤติกรรมโดยละเอียดของคนที่ผู้พูดเชื่อว่าเป็นศูนย์กลางอันแท้จริง ของฝ่ายที่ต้องการทำลายประชาธิปไตยและอำนาจสูงสุดของประชาชน
ภาพ ของพี่ชายที่มาช่วยดูแลน้องสาวที่ป่วยและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ จึงเป็นภาพที่ชัดเจนต่อผู้ที่อยู่ในฝ่ายประชาธิปไตยและฝ่ายเผด็จการตรงกัน ข้าม
บัดนี้คนๆ นั้นถูกจับกุมดำเนินคดีในเรื่องอะไรก็ไม่แน่ชัด และถูกปฏิเสธสิทธิที่จะมีทนายความอยู่ข้างกาย
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องของคดีความธรรมดา แต่เป็นการสื่อสารทางการเมืองจากฝ่ายตรงข้าม
ข้อ ความที่เขาต้องการสื่อสารนั่นคือ ใครก็ตามที่ช่วยเหลือดูแล หรือแม้กระทั่งแสดงน้ำใจต่อผู้ที่เขาตราหน้าว่าหมิ่นเบื้องสูง ย่อมอยู่ในข่ายที่จะถูกลากเข้าสู่ขุมนรกในกระบวนการ “ยุติธรรม” โดยไม่ต้องมีความผิดในฐานเดียวกันแต่อย่างใดเลย การติดคุกหรือรับโทษทัณฑ์ใดๆ จากรัฐในยุคนี้เป็นของง่าย “เขา” ช่วยหาความผิดฐานใหม่ให้ได้เสมอ
ต่อ ไปความผิดว่าเลี่ยงภาษี ทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ แม้กระทั่งเมาแล้วขับ ก็อาจถูกนำมาใช้สงเคราะห์ผู้คนที่เขาเห็นว่ามีน้ำใจไมตรี หรือยอมรับอุดมการณ์ของคนที่ถูกกล่าวหาในความผิดอันเกี่ยวกับกษัตริย์และพระ ราชวงศ์ได้
การลงทัณฑ์กับตัวคนที่ถูกตราหน้าว่ากระทำผิดในเรื่องนี้ ดูจะไม่เพียงพออีกแล้ว บัดนี้ “เขา” ส่ง สัญญาณลงมาตามสายแล้วว่า อำนาจราชศักดิ์นี้ต้องขยายไปกระทำชำเราเพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง ผู้ร่วมงาน ผู้เป็นแนวร่วมทางอุดมการณ์และการเมือง และหน้าไหนที่มันบังอาจ “ท้าทาย” อำนาจอันล้นพ้นนี้ของผู้ถูกกล่าวหาและลงโทษทั้งหมดด้วย
จุด ประสงค์ก็อันเก่าที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมาหลายสิบปีแล้ว นั่นคือเพื่อข่มขู่ให้หวาดกลัว ไม่กล้าแม้กระทั่งจะคิดถึงความถูกผิด และสอนให้คนไทยทอดทิ้งกันและกันเพื่อเอาตัวรอดก่อน
ความ จงรักภักดีบางอย่างนั้น ต่อให้แลกมาด้วยการอกตัญญูต่อพ่อแม่ ทรยศหักหลังครอบครัวและเพื่อนฝูง หรือขายชาติเพื่อเอาประโยชน์เข้าตัว “เขา” ก็ชอบและหิวโหยต่อพฤติกรรมเยี่ยงนั้น
สิ่งที่ “เขา” ต้องการไม่ใช่ความรักนับถืออย่างจริงใจหรือความศรัทธาโดยบริสุทธิ์ แต่เป็นความกลัวจากขั้วหัวใจจนไม่กล้าเอ่ยปากว่าไม่รัก
จนสุดท้าย ความจงรักภักดีที่ใช้กฎหมายเถื่อนๆ บังคับเอา “เขา” ก็ยังชอบ
ความ สอพลอตอแหลที่ปรากฏตามสื่อกระแสหลักต่างๆ จนทุกคนต้องวิ่งแข่งแสดงความรักใคร่อย่างชนิดหาที่ไหนไม่ได้ในโลกของคนหรือ สัตว์ ถึงจะพบว่าเสแสร้งขนาดไหนก็ยังพอใจและเรียกหา
แนวคิดข่มขู่คนรอบข้างของผู้ต้องหา “คดีหมิ่นฯ” ใน ลักษณะนี้ ไม่มีวันออกมาจากข้าราชการคนใดคนหนึ่งหรือหน่วยใดหน่วยหนึ่งเป็นแน่ เราจึงสืบค้นลงไปจนรู้ว่า บัดนี้ได้เกิดคณะทำงานที่ถูกตั้งขึ้นมาแล้วอย่างลับๆ ภายในระบอบศักดินา-อำมาตย์ โดยรัฐบาลยิ่งลักษณ์อาจจะไม่รู้และไม่ได้มอง คณะมีหน้าที่กำหนดยุทธศาสตร์ วางกลยุทธ์ และสร้างกิจกรรมภาคสนามที่หลากหลาย เพื่อทำลายมวลชน “ตาสว่าง” โดยตรงและอย่างเบ็ดเสร็จ
งานลักษณะนี้ไหลออกมาจากมันสมองที่เฉียบแหลม แต่ด้วยทัศนะอันโบร่ำโบราณนี่เอง
คดี หมิ่นเบื้องสูงคดีที่สองภายใต้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้เกิดขึ้นมาก่อนกรณีนาย กิตติชัยฯ แล้วเพียงไม่กี่วัน และคดีนายกิตติชัยฯ อาจเป็นกรณีแรกๆ ของกลยุทธ์ใหม่ที่คณะทำงานชุดนี้กำหนดขึ้น
ขยันขันแข็งกันไม่น้อยทีเดียว
ต้องขอแรงท่านสาธุคุณทั้งหลาย ช่วยฉายไฟไปที่คณะทำงานมารประเทศชุดนี้กันสักหน่อยเถิด.
--------------------------------------------------------------------------------
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar