จังหวัดจัดการตนเอง:ความเพ้อฝันหรือซ่อนเร้นของเหล่า “ขุนนางเอ็นจีโอ” ?
โดย ประสาท ศรีเกิด
คำว่า “จังหวัดจัดการตนเอง” ผู้เขียนได้ยินกระแสนี้ดังขึ้น ในช่วงภายหลังจากรัฐอภิสิทธิ์ชน ปราบปรามสังหารประชาชนคนเสื้อแดง เมื่อเดือนเมษา-พฤษภาอำมาหิต 53
ผู้เขียนในฐานะที่เคยมีบทบาทในการผลักดันองค์การบริหารส่วนตำบลหลังหตุการณ์ พฤษภา35 ให้มีบทบาทในท้องถิ่นในการแก้ไขปัญหาของท้องถิ่น รู้สึกสนใจประเด็นนี้ พร้อมๆมึนงง กับ “จังหวัดจัดการตนเอง” ที่มีนายประเวศ วะสี สนับสนุน มีนายสวิง ตันอุด และนายชัชวาล์ ทองดีเลิศ เป็นกำลังสำคัญ
ว่ามีความหมายเช่นใด จึงพยายามที่จะถอดรหัส “จังหวัดจัดการตนเอง” ซึ่งกำลังขับเคลื่อนและคงใช้งบประมาณจำนวนไม่น้อยเช่นกัน และผู้อ่านควรดูเวปไซค์นี้ www.จังหวัดจัดการตนเอง.net ประกอบด้วย
ผู้เขียน ขออนุญาตชวนร่วมกันวิวาทะ และผู้เขียนมีข้อวิจารณ์ ตั้งข้อสังเกตบางประการกับ “จังหวัดจัดการตนเอง” ในบริบทการเมืองไทยปัจจุบัน
ประการที่หนึ่ง ผู้มีบทบาทนำการขับเคลื่อน“จังหวัดจัดการตนเอง” ล้วนเป็น”ขุนนางเอ็นจีโอ” ที่นิยมการรัฐประหาร สนับสนุนรัฐธรรมนูญ 50 ฉบับอำมาตย์ ส่งเสริมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ที่แต่งตั้งโดยคมช.
เป็นไปได้หรือไม่? พวกเขามีเจตนาแฝง ต้องการเบี่ยงเบนประเด็นทางสังคมที่สำคัญๆ ว่า ต้องลงโทษคนสั่งฆ่าประชาชน ต้องปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ต้องแก้ไขมาตรา 112 ต้องปฏิรูปกองทัพ เป็นต้น
ประการที่สอง บทวิเคราะห์ของพวกเขามองว่า ความขัดแย้งทางการเมือง ความเป็นเหลืองแดง รากเหง้ามาจากการรวมศูนย์อำนาจ จึงต้องมี “จังหวัดจัดการตนเอง” เป็นทางออกต่อปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองทั้งปวง
ผู้เขียนกลับเห็นว่าความขัดแย้งที่ผ่านมา เกิดจากการรัฐประหาร 49 เป็นการต่อสู้ระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยกับฝ่ายอำมาตยาธิปไตย เป็นการต่อสู้ระหว่างความคิดที่ว่าจะเอา “คนดีมีศีลธรรม” หรือ “นักการเมืองที่ประชาชนเลือกเอง” หรือความคิดที่ว่า “คนเราเท่ากัน” “หนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียง” มิใช่ “ชาติกำเหนิด” “ฐานะทางชนชั้น” ต่างหาก
เป็นความขัดแย้งระหว่างอุดมการอนุรักษ์นิยม-อำมาตย์-คลั่งชาติ กับอุดมการเสรีนิยม-ประชาธิปไตย-รักชาติ
และบทวิเคราะห์ของพวกเขาทำตัวเสมือน “เป็นกลางทางการเมือง” ไม่แดง ไม่เหลือง แต่แท้จริงแล้วพวกเขา “เหลือง” “เหลืองอ่อน” “เหลืองเข้ม” “เหลืองเนียน” “เหลืองซ่อนรูป” และก็คือ”เหลือง” นั่นเอง ที่ไม่ยอมรับกติกาประชาธิปไตยดั่งอารยชนที่พึงมี
ประการที่สาม การขับเคลื่อนเรื่อง การรวมศูนย์อำนาจจากส่วนกลาง เป็นปัญหาสำคัญ และต้องยกเลิกส่วนภูมิภาค ต้องให้ประชาชนในจังหวัดเลือกตั้งผู้บริหารเอง เป็นมาตั้งแต่ช่วงหลังพฤษภา 35 ซึ่งต่างกับข้อเสนอของพวกเขาที่ผ่านมา เช่น ต้องมีสภาประชาชน สภาปราชญ์ที่ไม่ต้องมีการเลือกตั้ง หรือสภาองค์กรชุมชนที่เลือกกันเองภายในกลุ่มคนแวดวงขุนนางเอ็นจีโอ ซ้อนกับองค์กรปกครองท้องถิ่นที่มาจากการเลือกตั้งของคนท้องถิ่นผู้มีสิทธิ์ เสียงเองทั้งหมด
ผู้เขียนรู้สึกมึนงงจึงมีคำถามว่า พวกเขาต้องการเมีการเลือกตั้ง หรือต้องการเลือกกันเอง อย่างไรกันแน่?
และทำไมปัจจุบันพวกเขาจึงเสนอ “จังหวัดจัดการตนเอง” หรือพวกเขาเพิ่งจะตกผลึก หรือพวกเขาสามารถเปลี่ยนประด็น เขียนโครงการ ได้เรื่อยๆตามแต่เงื่อนไขงบประมาณ และแหล่งทุน ?
ประการที่สี่ บทวิเคราะบทความหลายชิ้นในเวปไซต์ของพวกเขา ยังยึดติดโน้มเอียงกับ ความเป็นโรแมนติค ของคนชั้นกลางในการมองชนบท แบบหยุดนิ่ง ไม่เคลื่อนไหวไม่มีความขัดแย้ง ทั้งๆที่มีงานวิจัยจำนวนมากบอกว่า “ชนบทไม่เหมือนเดิม” อีกแล้ว แต่พวกเขายังจมปลักกับการมองปัญหาดิน น้ำ ป่า เกษตรอินทรีย์ เศรษฐกิจชุมชน ภูมิปัญญาท้องถิ่น แบบหยุดนิ่งตายตัวเช่นเดิม ทั้งๆที่พวกเขาล้วนมีชิวตอยู่ “ในเมือง” ที่ทันสมัย
ประการที่ ห้า ข้อเสนอให้มีการระดมหนึ่งหมื่นรายชื่อเพื่อออกพ.ร.บ. เชียงใหม่จัดการตนเอง เข้าสู่กระบวนการรัฐสภา นับว่าพวกเขายังไม่สรุปบทเรียนความผิดพลาดใหญ่หลวง จากกรณีพระราชบัญญัติป่าชุมชน ที่ขับเคลื่อนมาร่วม 20 กว่าปี และได้ออกพรบ.ป่าชุมชนอย่างรวดเร็วฉับไวสมัยสนช.ที่มีนางเตือนใจ ดีเทศน์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นสนช.ด้วย และสนช.ได้บิดเบือดสาระสำคัญ เช่น แทนที่จะให้อำนาจชุมชนท้องถิ่นกลับให้อำนาจรวมศูนย์ที่กรมป่าไม้เช่นเดิม
หรือแม้แต่กรณีการเลือกคณะกรรมการกสทก.ล่าสุดผู้ได้รับการเลือกมีทหารจำนวนถึง 5 คน
เนื่องเพราะ วุฒิสมาชิกที่มาจากการแต่งตั้งจำนวนมากจึงไม่ต่างจากสนช.ที่มาจากคมช. ซึ่งพวกเขาก็น่ารู้ดีว่า ข้าราชการวิธีคิดแบบรวมศูนย์อำนาจ ชอบสั่งการสูง ไม่ชอบการตรวจสอบ ไม่โปร่งใส และที่สำคัญไม่นิยมประชาธิปไตย
ฉะนั้นจึงควรแก้ไขรัฐธรรมนูญ 50 ก่อน เพื่อมิให้อำนาจวุฒิสมาชิกลากตั้งครอบงำ
แต่พวกเขาอาจเหมือนเดิม “อุดมการอำตยาธิปไตยไม่เปลี่ยนแปลง” จักเข้าร่วมมือกับพันธมิตร พรรคประชาธิปัตย์ และอำมาตย์ ทำนอง “รัฐธรรมนูญข้าใครอย่าแตะ” เนื่องเพราะที่ผ่านมาพวกเขาเป็นจักรกลสำคัญในการร่างรัฐธรรมนูญ 50 และผลักดันให้รับร่างรัฐธรรมนูญ 50
เพราะพวกเขาจำนวนหนึ่งเป็น “ขุนนางเอ็นจีโอ”
ประการที่ หก งบประมาณจำนวนเท่าไร กี่ล้านบาทในการขับเคลื่อน “จังหวัดจัดการตนเอง” ล้วนเป็นภาษีของประชาชน มาจากองค์กรไหน ? พอช. สสส. สภม.? พวกเขาควรทำให้โปร่งใส เปิดเผย และตรวจสอบได้ด้วย เนื่องเพราะ พวกเขา ล้วนเป็น”คนดีมีศีลธรรม” และเป็นแบบอย่างตาม”หลักการธรรมาภิบาล” ให้แก่สังคมไทย
ใช่หรือไม่ ?
คำว่า “จังหวัดจัดการตนเอง” ผู้เขียนได้ยินกระแสนี้ดังขึ้น ในช่วงภายหลังจากรัฐอภิสิทธิ์ชน ปราบปรามสังหารประชาชนคนเสื้อแดง เมื่อเดือนเมษา-พฤษภาอำมาหิต 53
ผู้เขียนในฐานะที่เคยมีบทบาทในการผลักดันองค์การบริหารส่วนตำบลหลังหตุการณ์ พฤษภา35 ให้มีบทบาทในท้องถิ่นในการแก้ไขปัญหาของท้องถิ่น รู้สึกสนใจประเด็นนี้ พร้อมๆมึนงง กับ “จังหวัดจัดการตนเอง” ที่มีนายประเวศ วะสี สนับสนุน มีนายสวิง ตันอุด และนายชัชวาล์ ทองดีเลิศ เป็นกำลังสำคัญ
ว่ามีความหมายเช่นใด จึงพยายามที่จะถอดรหัส “จังหวัดจัดการตนเอง” ซึ่งกำลังขับเคลื่อนและคงใช้งบประมาณจำนวนไม่น้อยเช่นกัน และผู้อ่านควรดูเวปไซค์นี้ www.จังหวัดจัดการตนเอง.net ประกอบด้วย
ผู้เขียน ขออนุญาตชวนร่วมกันวิวาทะ และผู้เขียนมีข้อวิจารณ์ ตั้งข้อสังเกตบางประการกับ “จังหวัดจัดการตนเอง” ในบริบทการเมืองไทยปัจจุบัน
ประการที่หนึ่ง ผู้มีบทบาทนำการขับเคลื่อน“จังหวัดจัดการตนเอง” ล้วนเป็น”ขุนนางเอ็นจีโอ” ที่นิยมการรัฐประหาร สนับสนุนรัฐธรรมนูญ 50 ฉบับอำมาตย์ ส่งเสริมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ที่แต่งตั้งโดยคมช.
เป็นไปได้หรือไม่? พวกเขามีเจตนาแฝง ต้องการเบี่ยงเบนประเด็นทางสังคมที่สำคัญๆ ว่า ต้องลงโทษคนสั่งฆ่าประชาชน ต้องปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ต้องแก้ไขมาตรา 112 ต้องปฏิรูปกองทัพ เป็นต้น
ประการที่สอง บทวิเคราะห์ของพวกเขามองว่า ความขัดแย้งทางการเมือง ความเป็นเหลืองแดง รากเหง้ามาจากการรวมศูนย์อำนาจ จึงต้องมี “จังหวัดจัดการตนเอง” เป็นทางออกต่อปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองทั้งปวง
ผู้เขียนกลับเห็นว่าความขัดแย้งที่ผ่านมา เกิดจากการรัฐประหาร 49 เป็นการต่อสู้ระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยกับฝ่ายอำมาตยาธิปไตย เป็นการต่อสู้ระหว่างความคิดที่ว่าจะเอา “คนดีมีศีลธรรม” หรือ “นักการเมืองที่ประชาชนเลือกเอง” หรือความคิดที่ว่า “คนเราเท่ากัน” “หนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียง” มิใช่ “ชาติกำเหนิด” “ฐานะทางชนชั้น” ต่างหาก
เป็นความขัดแย้งระหว่างอุดมการอนุรักษ์นิยม-อำมาตย์-คลั่งชาติ กับอุดมการเสรีนิยม-ประชาธิปไตย-รักชาติ
และบทวิเคราะห์ของพวกเขาทำตัวเสมือน “เป็นกลางทางการเมือง” ไม่แดง ไม่เหลือง แต่แท้จริงแล้วพวกเขา “เหลือง” “เหลืองอ่อน” “เหลืองเข้ม” “เหลืองเนียน” “เหลืองซ่อนรูป” และก็คือ”เหลือง” นั่นเอง ที่ไม่ยอมรับกติกาประชาธิปไตยดั่งอารยชนที่พึงมี
ประการที่สาม การขับเคลื่อนเรื่อง การรวมศูนย์อำนาจจากส่วนกลาง เป็นปัญหาสำคัญ และต้องยกเลิกส่วนภูมิภาค ต้องให้ประชาชนในจังหวัดเลือกตั้งผู้บริหารเอง เป็นมาตั้งแต่ช่วงหลังพฤษภา 35 ซึ่งต่างกับข้อเสนอของพวกเขาที่ผ่านมา เช่น ต้องมีสภาประชาชน สภาปราชญ์ที่ไม่ต้องมีการเลือกตั้ง หรือสภาองค์กรชุมชนที่เลือกกันเองภายในกลุ่มคนแวดวงขุนนางเอ็นจีโอ ซ้อนกับองค์กรปกครองท้องถิ่นที่มาจากการเลือกตั้งของคนท้องถิ่นผู้มีสิทธิ์ เสียงเองทั้งหมด
ผู้เขียนรู้สึกมึนงงจึงมีคำถามว่า พวกเขาต้องการเมีการเลือกตั้ง หรือต้องการเลือกกันเอง อย่างไรกันแน่?
และทำไมปัจจุบันพวกเขาจึงเสนอ “จังหวัดจัดการตนเอง” หรือพวกเขาเพิ่งจะตกผลึก หรือพวกเขาสามารถเปลี่ยนประด็น เขียนโครงการ ได้เรื่อยๆตามแต่เงื่อนไขงบประมาณ และแหล่งทุน ?
ประการที่สี่ บทวิเคราะบทความหลายชิ้นในเวปไซต์ของพวกเขา ยังยึดติดโน้มเอียงกับ ความเป็นโรแมนติค ของคนชั้นกลางในการมองชนบท แบบหยุดนิ่ง ไม่เคลื่อนไหวไม่มีความขัดแย้ง ทั้งๆที่มีงานวิจัยจำนวนมากบอกว่า “ชนบทไม่เหมือนเดิม” อีกแล้ว แต่พวกเขายังจมปลักกับการมองปัญหาดิน น้ำ ป่า เกษตรอินทรีย์ เศรษฐกิจชุมชน ภูมิปัญญาท้องถิ่น แบบหยุดนิ่งตายตัวเช่นเดิม ทั้งๆที่พวกเขาล้วนมีชิวตอยู่ “ในเมือง” ที่ทันสมัย
ประการที่ ห้า ข้อเสนอให้มีการระดมหนึ่งหมื่นรายชื่อเพื่อออกพ.ร.บ. เชียงใหม่จัดการตนเอง เข้าสู่กระบวนการรัฐสภา นับว่าพวกเขายังไม่สรุปบทเรียนความผิดพลาดใหญ่หลวง จากกรณีพระราชบัญญัติป่าชุมชน ที่ขับเคลื่อนมาร่วม 20 กว่าปี และได้ออกพรบ.ป่าชุมชนอย่างรวดเร็วฉับไวสมัยสนช.ที่มีนางเตือนใจ ดีเทศน์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นสนช.ด้วย และสนช.ได้บิดเบือดสาระสำคัญ เช่น แทนที่จะให้อำนาจชุมชนท้องถิ่นกลับให้อำนาจรวมศูนย์ที่กรมป่าไม้เช่นเดิม
หรือแม้แต่กรณีการเลือกคณะกรรมการกสทก.ล่าสุดผู้ได้รับการเลือกมีทหารจำนวนถึง 5 คน
เนื่องเพราะ วุฒิสมาชิกที่มาจากการแต่งตั้งจำนวนมากจึงไม่ต่างจากสนช.ที่มาจากคมช. ซึ่งพวกเขาก็น่ารู้ดีว่า ข้าราชการวิธีคิดแบบรวมศูนย์อำนาจ ชอบสั่งการสูง ไม่ชอบการตรวจสอบ ไม่โปร่งใส และที่สำคัญไม่นิยมประชาธิปไตย
ฉะนั้นจึงควรแก้ไขรัฐธรรมนูญ 50 ก่อน เพื่อมิให้อำนาจวุฒิสมาชิกลากตั้งครอบงำ
แต่พวกเขาอาจเหมือนเดิม “อุดมการอำตยาธิปไตยไม่เปลี่ยนแปลง” จักเข้าร่วมมือกับพันธมิตร พรรคประชาธิปัตย์ และอำมาตย์ ทำนอง “รัฐธรรมนูญข้าใครอย่าแตะ” เนื่องเพราะที่ผ่านมาพวกเขาเป็นจักรกลสำคัญในการร่างรัฐธรรมนูญ 50 และผลักดันให้รับร่างรัฐธรรมนูญ 50
เพราะพวกเขาจำนวนหนึ่งเป็น “ขุนนางเอ็นจีโอ”
ประการที่ หก งบประมาณจำนวนเท่าไร กี่ล้านบาทในการขับเคลื่อน “จังหวัดจัดการตนเอง” ล้วนเป็นภาษีของประชาชน มาจากองค์กรไหน ? พอช. สสส. สภม.? พวกเขาควรทำให้โปร่งใส เปิดเผย และตรวจสอบได้ด้วย เนื่องเพราะ พวกเขา ล้วนเป็น”คนดีมีศีลธรรม” และเป็นแบบอย่างตาม”หลักการธรรมาภิบาล” ให้แก่สังคมไทย
ใช่หรือไม่ ?
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar