สุรชัย แซ่ด่าน เตรียมอดข้าวประท้วง จี้ทำไมนักโทษคดีหมิ่นไม่ได้ย้าย
23 ม.ค.55 มีรายงานข่าวจากผู้เข้าเยี่ยมผู้ต้องขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ระบุว่า นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ หรือแซ่ด่าน ผู้ต้องขังคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือความผิดตามมาตรา 112 ได้เตรียมยื่นหนังสือร้องเรียนต่ออธิบดีกรมราชทัณฑ์กรณีที่ผู้ต้องขังคดี หมิ่นฯ ไม่ได้รับการพิจารณาให้ย้ายไปยังเรือนจำชั่วคราว และจากนั้นหากไม่มีความคืบหน้าสุรชัยเตรียมจะอดอาหารประท้วง
นายสุรชัยระบุว่า การจะพิจารณาว่าผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดตามมาตรา 112 เป็นผู้ต้องหาทางการเมืองหรือไม่ ต้องพิจารณาถึง1.กระบวนการทางความคิด 2.พฤติการณ์การกระทำผิด และ 3.สถานการณ์การเมืองในขณะนั้น สำหรับกระบวนทางความคิดนั้นเป็นที่ชัดเจนว่าตนเองมีกระบวนทางความคิดทางการ เมืองมาตลอด 40 ปี คดีนี้ถือเป็นการกระทำผิดทางมโนธรรม ซึ่งเป็นความผิดขั้นสูงกว่าการร่วมชุมนุมเสียอีก ส่วนพฤติการณ์การกระทำความผิด ก็เกิดจากการเปิดเวทีอภิปรายซึ่งเป็นการกล่าวอย่างเป็นเหตุเป็นผล เป็นระบบ ไม่ได้ดูหมิ่น อาฆาตมาดร้ายต่อผู้ใด ส่วนสถานการณ์การเมืองหรือบริบทในเวลานั้นก็เห็นได้ชัดว่ามีการนำสถาบันมา เป็นคู่ขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งเป็นต้นเหตุทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์
สุรชัยระบุว่า เมื่อรวมทั้งสามอย่างนี้แล้วสามารถสรุปได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด ตามมาตรา 112 นั้นมีสถานภาพเป็นนักโทษการเมืองอย่างไม่มีทางปฏิเสธได้ ควรได้รับการควบคุมตัวในสถานที่ควบคุมตัวพิเศษ ไม่ว่าระหว่างการพิจารณาคดีหรือแม้แต่ส่วนที่ได้รับโทษเด็ดขาดแล้ว เพราะคดีนี้มีความอ่อนไหว มีแรงเสียดทานสูง ไม่มีความปลอดภัยเมื่ออยู่รวมกับผู้ต้องขังทั่วไป ที่ผ่านมาจะเห็นว่ามีผู้ต้องขังคดีนี้หลายคนถูกทำร้าย แม้แต่ตนเองซึ่งนับว่าเป็นผู้มีชื่อเสียงและมีประสบการณ์การติดคุกมานานก็ ยังถูกดูหมิ่นเหยียดหยามจากเจ้าหน้าที่ที่มีความคิดตรงข้าม ทำให้ที่ผ่านมาตนประกาศจะอดข้าวไปแล้วครั้งหนึ่ง กรณีที่มีเจ้าหน้าที่โยนอาหารของตนลงกับพื้น จนผู้บังคับบัญชาระดับสูงต้องมาไกล่เกลี่ย
สุรชัยระบุอีกว่าไม่เห็นด้วยที่คณะกรรมการ ที่พิจารณาเงื่อนไขของผู้จะได้รับการย้ายไปเรือนจำใหม่เป็นข้าราชการประจำ จากราชทัณฑ์ เพราะย่อมมีความเกรงกลัวต่อแรงเสียดทาน เห็นพรรคประชาธิปัตย์ออกมาค้านก็กลัว ทั้งที่คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดอง (คอป.) ก็เสนอให้ครอบคลุมถึงผู้ต้องโทษคดีหมิ่นฯด้วยแล้วก็ตาม ดังนั้น ผู้พิจารณาเรื่องนี้ควรเป็นรัฐบาลและฝ่ายการเมือง
“ถูกคดีหมิ่นเป็นการเมืองขั้นสูงกว่า ส.ส.กระทำผิดเสียอีก ถ้าไม่นับเท่ากับดูถูกเรา เราสู้มาตั้ง 40 ปี ถ้าอาทิตย์นี้ผ่านไปยังไม่มีคำตอบ สิ่งที่จะทำต่อไปคืออดอาหารประท้วง” สุรชัยกล่าว
หวังตั้ง “เครือข่ายผู้ต้องขัง” เดินเรื่องประกันเอง
ธันย์ฐวุฒิ (ของสงวนนามสกุล) ระบุว่า อย่างไรนักโทษคดีหมิ่นฯ ก็ควรจะต้องได้รับการย้ายไปเรือนจำชั่วคราวด้วย เพราะผู้ต้องโทษคดีนี้ซึ่งเป็นคดีทางความคิดแต่เมื่ออยู่ในเรือนจำจะลำบาก กว่าปกติ ถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม ช่วงแรกหลายคนถูกกลั่นแกล้งด้วย นอกจากนี้ในสายตาของเขาคดีนี้ถือเป็นการเมืองมากที่สุด เพราะข้อหานี้ถูกนำมาใช้กลั่นแกล้งทางการเมืองได้ง่าย
“เราไม่ได้หวังว่าที่นั่นจะสุขสบายกว่านี้ มันไม่สำคัญเท่ากับการได้อยู่เป็นกลุ่มก้อน มีคนมาเยี่ยม แบบที่ไม่ใช่เยี่ยมนักโทษอาญา แต่มาเยี่ยมในฐานะสหายร่วมรบ และอย่างน้อยที่สุดข่าวสารต่างๆ จะได้รับรู้กันอย่างรวดเร็ว” ธันย์ฐวุฒิกล่าว
เขาระบุด้วยว่า อยากให้มีกลุ่ม “เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากการถูกคุมขังจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการ เมืองตั้งแต่รัฐประหาร 2549” โดยให้ทนายหรือตัวแทนของผู้ต้องขังจัดแถลงข่าวข้อเรียกร้อง ความคืบหน้าต่างๆ เป็นระยะ โดยเฉพาะเรื่องประกันตัวโดยประสานกับรัฐบาลโดยตรง ไม่ขึ้นต่อ นปช.
สมยศตระเวรคุกหลายจังหวัด ระบุแออัดขั้นวิกฤต
สมยศ พฤกษาเกษมสุข ผู้ต้องขังคดีหมิ่นอีกรายที่เพิ่งถูกย้ายกลับมายังเรือนจำพิเศษกรุงเทพ หลังต้องย้ายที่คุมขังไปยังจังหวัดสระแก้ว เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ เพื่อสืบพยานโจทก์และมีกำหนดต้องไปจังหวัดสงขลาอีก ระบุว่า สภาพความเป็นอยู่ในเรือนจำต่างจังหวัดค่อนข้างแย่ เนื่องจากมีนักโทษล้นเกิน
“มันแออัดทุกตารางนิ้ว เคยเห็นหมาโดนยัดขังกรงในรถแบบที่ออกข่าวไหม นั่นแหละ คุกเมืองไทยวิกฤตแล้ว”
สำหรับประเด็นการย้ายผู้ต้องขังคดีการเมือง ไปยังเรือนจำแห่งใหม่นั้น สมยศระบุว่าตนเองเฉยๆ กับเรื่องนี้ แม้มันอาจจะดีในแง่จำแนกแยกแยะคนได้ แต่บางทีการเอานักโทษการเมืองไปอยู่รวมกันอาจเป็นประโยชน์กับรัฐในแง่การควบ คุมได้สะดวกยิ่งขึ้นด้วยซ้ำไป นอกจากนี้ที่คุมขังใหม่ยังมีสภาพเป็นตึกที่ไม่มีสนามหรือพื้นที่โล่ง
“คุกการเมืองมันควรจะดีกว่านี้ เพราะมันเป็นคดีทางความคิด และเป็นเรื่องสิทธิเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย” สมยศกล่าว
23 ม.ค.55 มีรายงานข่าวจากผู้เข้าเยี่ยมผู้ต้องขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ระบุว่า นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ หรือแซ่ด่าน ผู้ต้องขังคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือความผิดตามมาตรา 112 ได้เตรียมยื่นหนังสือร้องเรียนต่ออธิบดีกรมราชทัณฑ์กรณีที่ผู้ต้องขังคดี หมิ่นฯ ไม่ได้รับการพิจารณาให้ย้ายไปยังเรือนจำชั่วคราว และจากนั้นหากไม่มีความคืบหน้าสุรชัยเตรียมจะอดอาหารประท้วง
นายสุรชัยระบุว่า การจะพิจารณาว่าผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดตามมาตรา 112 เป็นผู้ต้องหาทางการเมืองหรือไม่ ต้องพิจารณาถึง1.กระบวนการทางความคิด 2.พฤติการณ์การกระทำผิด และ 3.สถานการณ์การเมืองในขณะนั้น สำหรับกระบวนทางความคิดนั้นเป็นที่ชัดเจนว่าตนเองมีกระบวนทางความคิดทางการ เมืองมาตลอด 40 ปี คดีนี้ถือเป็นการกระทำผิดทางมโนธรรม ซึ่งเป็นความผิดขั้นสูงกว่าการร่วมชุมนุมเสียอีก ส่วนพฤติการณ์การกระทำความผิด ก็เกิดจากการเปิดเวทีอภิปรายซึ่งเป็นการกล่าวอย่างเป็นเหตุเป็นผล เป็นระบบ ไม่ได้ดูหมิ่น อาฆาตมาดร้ายต่อผู้ใด ส่วนสถานการณ์การเมืองหรือบริบทในเวลานั้นก็เห็นได้ชัดว่ามีการนำสถาบันมา เป็นคู่ขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งเป็นต้นเหตุทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์
สุรชัยระบุว่า เมื่อรวมทั้งสามอย่างนี้แล้วสามารถสรุปได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด ตามมาตรา 112 นั้นมีสถานภาพเป็นนักโทษการเมืองอย่างไม่มีทางปฏิเสธได้ ควรได้รับการควบคุมตัวในสถานที่ควบคุมตัวพิเศษ ไม่ว่าระหว่างการพิจารณาคดีหรือแม้แต่ส่วนที่ได้รับโทษเด็ดขาดแล้ว เพราะคดีนี้มีความอ่อนไหว มีแรงเสียดทานสูง ไม่มีความปลอดภัยเมื่ออยู่รวมกับผู้ต้องขังทั่วไป ที่ผ่านมาจะเห็นว่ามีผู้ต้องขังคดีนี้หลายคนถูกทำร้าย แม้แต่ตนเองซึ่งนับว่าเป็นผู้มีชื่อเสียงและมีประสบการณ์การติดคุกมานานก็ ยังถูกดูหมิ่นเหยียดหยามจากเจ้าหน้าที่ที่มีความคิดตรงข้าม ทำให้ที่ผ่านมาตนประกาศจะอดข้าวไปแล้วครั้งหนึ่ง กรณีที่มีเจ้าหน้าที่โยนอาหารของตนลงกับพื้น จนผู้บังคับบัญชาระดับสูงต้องมาไกล่เกลี่ย
สุรชัยระบุอีกว่าไม่เห็นด้วยที่คณะกรรมการ ที่พิจารณาเงื่อนไขของผู้จะได้รับการย้ายไปเรือนจำใหม่เป็นข้าราชการประจำ จากราชทัณฑ์ เพราะย่อมมีความเกรงกลัวต่อแรงเสียดทาน เห็นพรรคประชาธิปัตย์ออกมาค้านก็กลัว ทั้งที่คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดอง (คอป.) ก็เสนอให้ครอบคลุมถึงผู้ต้องโทษคดีหมิ่นฯด้วยแล้วก็ตาม ดังนั้น ผู้พิจารณาเรื่องนี้ควรเป็นรัฐบาลและฝ่ายการเมือง
“ถูกคดีหมิ่นเป็นการเมืองขั้นสูงกว่า ส.ส.กระทำผิดเสียอีก ถ้าไม่นับเท่ากับดูถูกเรา เราสู้มาตั้ง 40 ปี ถ้าอาทิตย์นี้ผ่านไปยังไม่มีคำตอบ สิ่งที่จะทำต่อไปคืออดอาหารประท้วง” สุรชัยกล่าว
หวังตั้ง “เครือข่ายผู้ต้องขัง” เดินเรื่องประกันเอง
ธันย์ฐวุฒิ (ของสงวนนามสกุล) ระบุว่า อย่างไรนักโทษคดีหมิ่นฯ ก็ควรจะต้องได้รับการย้ายไปเรือนจำชั่วคราวด้วย เพราะผู้ต้องโทษคดีนี้ซึ่งเป็นคดีทางความคิดแต่เมื่ออยู่ในเรือนจำจะลำบาก กว่าปกติ ถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม ช่วงแรกหลายคนถูกกลั่นแกล้งด้วย นอกจากนี้ในสายตาของเขาคดีนี้ถือเป็นการเมืองมากที่สุด เพราะข้อหานี้ถูกนำมาใช้กลั่นแกล้งทางการเมืองได้ง่าย
“เราไม่ได้หวังว่าที่นั่นจะสุขสบายกว่านี้ มันไม่สำคัญเท่ากับการได้อยู่เป็นกลุ่มก้อน มีคนมาเยี่ยม แบบที่ไม่ใช่เยี่ยมนักโทษอาญา แต่มาเยี่ยมในฐานะสหายร่วมรบ และอย่างน้อยที่สุดข่าวสารต่างๆ จะได้รับรู้กันอย่างรวดเร็ว” ธันย์ฐวุฒิกล่าว
เขาระบุด้วยว่า อยากให้มีกลุ่ม “เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากการถูกคุมขังจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการ เมืองตั้งแต่รัฐประหาร 2549” โดยให้ทนายหรือตัวแทนของผู้ต้องขังจัดแถลงข่าวข้อเรียกร้อง ความคืบหน้าต่างๆ เป็นระยะ โดยเฉพาะเรื่องประกันตัวโดยประสานกับรัฐบาลโดยตรง ไม่ขึ้นต่อ นปช.
สมยศตระเวรคุกหลายจังหวัด ระบุแออัดขั้นวิกฤต
สมยศ พฤกษาเกษมสุข ผู้ต้องขังคดีหมิ่นอีกรายที่เพิ่งถูกย้ายกลับมายังเรือนจำพิเศษกรุงเทพ หลังต้องย้ายที่คุมขังไปยังจังหวัดสระแก้ว เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ เพื่อสืบพยานโจทก์และมีกำหนดต้องไปจังหวัดสงขลาอีก ระบุว่า สภาพความเป็นอยู่ในเรือนจำต่างจังหวัดค่อนข้างแย่ เนื่องจากมีนักโทษล้นเกิน
“มันแออัดทุกตารางนิ้ว เคยเห็นหมาโดนยัดขังกรงในรถแบบที่ออกข่าวไหม นั่นแหละ คุกเมืองไทยวิกฤตแล้ว”
สำหรับประเด็นการย้ายผู้ต้องขังคดีการเมือง ไปยังเรือนจำแห่งใหม่นั้น สมยศระบุว่าตนเองเฉยๆ กับเรื่องนี้ แม้มันอาจจะดีในแง่จำแนกแยกแยะคนได้ แต่บางทีการเอานักโทษการเมืองไปอยู่รวมกันอาจเป็นประโยชน์กับรัฐในแง่การควบ คุมได้สะดวกยิ่งขึ้นด้วยซ้ำไป นอกจากนี้ที่คุมขังใหม่ยังมีสภาพเป็นตึกที่ไม่มีสนามหรือพื้นที่โล่ง
“คุกการเมืองมันควรจะดีกว่านี้ เพราะมันเป็นคดีทางความคิด และเป็นเรื่องสิทธิเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย” สมยศกล่าว
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar