torsdag 26 januari 2012

พวกนักวิชาการสุนัขขี้เรื้อนที่เป็นทาสไม่ยอมปลดปล่อยตัวเองยอมเป็นสมุนรับใช้ระบอบเผด็จการ คิดว่าตัวเองเก่งกว่าคนอื่นได้โกหกหลอกลวงสังคมมาเป็นเวลานาน เมื่อเจอนักวิชาการที่มีความรู้ความสามารถที่แท้จริงก็ออกมาต่อต้านเห่าหอนเหมือนหมาบ้า

เหตุใดนิติราษฎร์จึงต้องพูดถึงสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ในสังคมมากขึ้น
วันนี้ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปเยอะ แล้วการพูดเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ค่อนข้างเสี่ยงใน สังคมไทย แต่ว่าวันนี้ไม่ว่ามองไปทางไหนก็ไม่เห็นพอมีใครที่จะหยิบจับเรื่องนี้มาทำ ได้อย่างเป็นวิชาการ เป็นเหตุเป็นผล ผมจึงตัดสินใจทำ และทำทุกอย่างด้วยความปรารถนาดีต่อสังคมไทย ด้วยความหวังดีอย่างที่สุดต่อสถาบันฯ ไม่มีความมุ่งหมายต่อการที่จะล้มล้างสถาบันฯ แต่อย่างใด อีกอย่างหนึ่งคือคนที่กล่าวหาว่าล้มเจ้าหรือล้มล้างสถาบันฯ นั้น ส่วนใหญ่ก็จะไม่ให้เหตุผลในการโต้แย้งสักเท่าไหร่ เรายืนยันตลอดมารวมถึงในร่างแก้ไขก็ชัดเจนว่าเราอยู่ในรัฐที่เป็นราช อาณาจักร เพียงแต่ต้องทำให้สถาบันฯ สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตย พอมีคนที่ไม่สามารถใช้เหตุผลถกเถียงได้ ก็เบี่ยงประเด็นไปถามว่า นิติราษฎร์ต้องการปกครองแบบไหน ตอนไปรายการ “ตอบโจทย์” คุณภิญโญก็ถาม ผมว่าผมก็ตอบชัดว่า นิติราษฎร์ยึดถือการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในรัฐที่อยู่เป็นราชอาณาจักร ผมก็สงสัยว่าคนที่ถามผมต้องการการปกครองในระบอบไหนครับ ต้องการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างงั้นหรือ ซึ่งถ้าเป็นระบอบนี้ เราจะไม่มีการยอมรับ เราจะสู้ไม่ยอมย้อนกลับไปในระบอบนั้นแล้ว เพราะสุดท้ายแล้วเมื่อสังคมเข้าสู่จุดแตกหักทางความคิด สถาบันฯ ก็จะดำรงอยู่อย่างยากลำบาก ดังเช่น ช่วงก่อนและหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 สุดท้ายการกลับไปในระบอบนั้นสถาบันพระมหากษัตริย์จะทำการใดๆ พระมหากษัตริย์จะทำการใดต่างๆ ในทางกฎหมาย พระองค์ก็ต้องรับผิดชอบในทางกฎหมายนั้นด้วย ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในทางการเมือง เราอยากให้เป็นแบบนั้นหรือ ระบอบที่เรารณรงค์อยู่ในตอนนี้เป็นระบอบที่สอดคล้องกับสากลที่สุด
อาจารย์รู้สึกอย่างไรที่มักโดนฝ่ายตรงข้ามถามว่า “ล้มเจ้ารึเปล่า” เพราะอาจารย์เองก็เป็นคนไทย อีกทั้งยังพูดและคิดตามกรอบของกฎหมาย
ก็รู้สึกว่าบางทีคนก็ไม่เข้าใจ และก็ต้องอดทนในการอธิบาย ซึ่งผมก็ใช้ความอดทนตลอดมาในระยะเวลาหลายปี พยายามอธิบายให้สังคมได้รับฟัง เราต้องเข้าใจว่าสังคมมันเปลี่ยนไปมากแล้ว มันไม่เหมือนเดิมแล้ว คนที่ไม่เข้าใจในข้อเสนอของนิติราษฎร์คือไม่เข้าใจสภาพการเปลี่ยนแปลงของ สังคม จะยึดจะเอาสังคมให้อยู่ในรูปแบบเดิมซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ แล้วผมห่วงเหลือเกินว่าหากไม่มีการเปลี่ยนอะไรให้มันรับกับสภาพการณ์ มันจะเกิดการแตกหักแล้วสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาหลังจากนั้นเป็นสิ่งที่เราทุก คนไม่พึงปรารถนาแล้วเราคาดไม่ถึงว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นมา
มีประวัติศาสตร์อยู่แล้วใช่ไหมที่เหตุการณ์แบบนี้ไม่มีความประนีประนอมกัน
ในประวัติศาสตร์โลกก็เป็นบทเรียนให้เราอยู่แล้ว ทำไมเราต้องไปซ้ำรอยในที่อื่น ทำไมเราไม่หาทางออกแล้วเปลี่ยนผ่านสังคมไปอย่างสันติ สถาบันฯ ไหนต้องอยู่กับกฎหมายแบบไหน องค์กรไหนต้องอยู่กับกฎหมายแบบไหน ผมเรียนแบบนี้ว่าคนที่พูดเรื่องนี้ต้องลดละประโยชน์ส่วนตัวไว้เสียก่อน คนที่เคยได้ประโยชน์หลังการรัฐประหารครั้งที่ผ่านมา กรุณาคิดและก็วางประโยชน์ส่วนตัวหน่อย หลายคนก็ได้รับประโยชน์ไปมากแล้ว เป็นประธานกรรมการ ดำรงตำแหน่ง ได้รับเงินมากมายแล้ว นิติราษฎร์ไม่เคยได้รับประโยชน์อะไรจากสิ่งที่ได้นำเสนอออกไปแม้แต่บาทเดียว เราทำด้วยใจ หลายคนในกลุ่มนิติราฎร์ก็ไม่ได้เป็นคนมีฐานะสูง แต่ว่าเวลาจะทำอะไรเราก็ลงขันกันครับ อาจจะครั้งละหนึ่งพันเพื่อทำกิจกรรม แผ่นพับและอื่น ๆ ในการจัดเวทีเสวนา มีหลายคนจะบริจาคเงินให้กิจกรรมที่นิติราษฎร์ทำ ผมไม่ต้องการเงินของใครทั้งสิ้น ไม่ใช่เพราะนิติราษฎร์มีเงินแต่เราต้องการให้เรื่องที่รณรงค์อยู่นั้นเป็น เรื่องที่บริสุทธิ์และเป็นเรื่องทางวิชาการจริงๆ
เมื่อต้องการจะให้สถาบันมีสถานะที่สอดคล้องกับการปกครองระบอบประชาธิปไตย เหตุใดจึงเริ่มที่การขอยื่นแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 เป็นเรื่องแรก
เป็นเพราะว่ากฎหมายอาญามาตรา 112 เป็นกฎหมายที่กระทบสิทธิเสรีภาพของประชาชนมากกว่าเรื่องอื่น ๆ ที่จะต้องพูดกันต่อไป เวลานำออกมาบังคับใช้มันมีคนถูกจับ ถูกลิดรอนเสรีภาพ ปัญหาสำคัญของมาตรานี้คือ ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง ปี 2475 กฎหมายหมิ่นฯ เขียนว่า “กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้วจึงเขียนว่า “หมิ่นประมาทองค์พระมหากษัตริย์” แม้ถ้อยคำจะเขียนแบบเดียวกันเลย แต่เวลาจะมาบังคับใช้นั้นจะตีความแบบเดียวกันไม่ได้เพราะว่าอุดมการณ์ที่ กำกับตัวบทกฎหมายนั้นอยู่คนละประเภทกัน แต่ปัจจุบันการตีความกฎหมายหมิ่นฯ ดูจะขัดแย้งกับระบอบการปกครองระบอบประธิปไตย ซึ่งแบบนี้มันจะเกิดผลเสียเพราะมันไม่รับกับตัวระบอบ
กระแสสังคมส่วนหนึ่งบอกว่าการที่นิติราษฎร์แยกกฎหมายอาญามาตรา 112 ออกจากหมวดความมั่นคง เท่ากับกำลังทำให้สถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่มั่นคงหรือไม่
ตัวบทกฎหมายเขียนชัดเจนว่า คนที่กระทำความผิดก็ต้องได้รับโทษตามข้อกฎหมาย ยังมีการคุ้มครองพระเกียรติของพระมหากษัตริย์อยู่ แล้วก็คุ้มครองเป็นพิเศษมากกว่าประชาชนทั่วไป เพียงแต่เราทำให้สถานะของสถาบันฯ มีความเป็นสากลมากขึ้นตามประเทศที่มีประมุขของรัฐคือพระมหากษัตริย์ เวลาเราพูดว่าต้องรักษาความมั่นคงของสถาบันฯ ไว้ เราต้องหมายถึงการรักษาให้สง่างามตามมาตรฐานสากล ไมใช่ว่าประเทศไทยพูดอย่าง แต่ต่างประเทศพูดอีกอย่าง
พูดถึงกลุ่มคนที่ต้องการให้บทลงโทษเกี่ยวกับกฎหมายอาญามาตรา 112 มีโทษมากขึ้น
นักวิชาการด้านกฎหมายอีกฝ่ายบอกว่าถ้าต้องแก้ให้กฎหมายอาญามาตรา 112 ออกจากกฎหมายความมั่นคง หรือยกเลิกไปเลยนั้น ก็จะต้องยกเลิกมาตรา 8 ของรธน.ด้วย
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องมาถกเถียงกัน สังคมเข้าใจเรื่องมาตรา 8 ตาม รธน. ต่างกัน เวลาเราทำความเข้าใจตัวบทกฎหมายไม่ใช่เพียงแค่ตีความไปตามลายลักษณ์อักษรที่ เขียนขึ้นมาเพราะถ้าเป็นแบบนั้นใคร ๆ ก็ตีความตามความเข้าใจของตัวเองทั้งนั้น ดังนั้นรธน.เป็นส่วนหนึ่งของระบอบการปกครอง เราจึงต้องตีความระบอบการปกครองของเราด้วย ด้วยเหตุนี้การแก้ไขม.112 จึงไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับมาตรา 8 ในแง่ที่ว่า ความมุ่งหมายของมาตรานี้ก็เพื่อเทิดองค์พระมหากษัตริย์ให้ทรงพ้นไปจากการ เมือง เพราะการเมืองเป็นเรื่องผลประโยชน์และความขัดแย้ง จะดึงพระมหากษัตริย์ลงมาไม่ได้
อีกกระแสหนึ่งบอกว่าเสนอให้ยกเลิกม.112 ไปเลย อาจารย์ทำไมจึงไม่เสนอไปถึงขั้นนั้น
เราศึกษาเปรียบกฎหมายในหลายประเทศก็ยังมีกฎหมายคุ้มครองประมุขของรัฐอยู่ แม้ประเทศญี่ปุ่นจะไม่มีกฎหมายคุ้มครอง แต่หลายประเทศยังมี เราจึงอนุโลมไปตามนั้น
หลายครั้งเวลามีข้อเสนอจากนิติราษฎร์ปรากฎออกมาในหน้าสื่อสารมวลชนก็จะ ถูกเรียกว่า “นิติเรด” “แก๊งค์ลิงหลอกเจ้า” ซึ่งทำให้คนที่ฟังข้อเสนอของเรามีภาพลบต่อสิ่งที่เราจะพูด ในแง่นี้จะแก้ไขหรือโต้ตอบกลุ่มคนที่ให้ค่ากับนิติราษฎร์ไปในทางลบอย่างไร
มีนักวิชาการบอกว่านิติราษฎร์กำลังทำอะไรอยู่ แก้กฎหมายกลับไปกลับมา ไม่รู้หรือว่า “เมื่อเสียงปืนดังขึ้น กฎหมายจะต้องเงียบ”
ปืนไม่ได้ดังตลอดเวลามันแค่ดังอยู่ช่วงหนึ่งเท่านั้น สังคมที่ถูกกดทับเอาไว้ เนียนบ้างไม่เนียนบ้าง สักวันหนึ่งคนก็จะรู้ แล้วเขาก็จะค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน แน่นอนว่าการลุกขึ้นยืนมันต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดเพราะฝ่ายที่ไม่อยากให้ ลุกขึ้นยืนจะกดทับแล้ว แต่เชื่อเถอะว่าไม่มีพลังไหนที่จะแข็งแกร่งไปกว่าพลังหรืออำนาจของประชาชน แม้เสียงปืนจะดัง พลังของปืนจะรุนแรง แต่สุดท้ายแม้ในประวัติศาสตร์โลกก็จารึกไว้ว่า พลังของประชาชนนั้นแข็งแกร่งที่สุด ไม่มีใครต้านทานกระแสความเปลี่ยนแปลงได้หรอก
สิ่งที่นิติราษฎร์กำลังทำอยู่หวังผลประโยชน์จากพรรคการเมืองบางพรรคหรือไม่
สิ่งที่เราทำอยู่นั้นมาจากมโนสำนึกของเรา ถ้าเราไม่ทำในสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ เรามองหน้าในกระจกไม่ได้ เท่ากับว่าเราเลือกไปในอีกข้างแล้วหากเราอยู่เฉยกับความอยุติธรรมในสังคมนี้ หลายคนที่เวลาเลือกแล้วมันมีความแตกต่างอย่างชัดเจนก็คือ เวลาที่อีกฝ่ายเลือกเข้าได้ประโยชน์ เงิน ตำแหน่งต่าง ๆ หลังจากที่เขาเลือกข้างไปแล้ว แต่นิติราษฎร์เลือกไปยืนฝั่งตรงข้ามซึ่งเราไม่ได้อะไรเลย เงินก็ไม่ได้รับ ตำแหน่งทางการเมืองหรือวิชาการก็ยังอยู่กับที่ นอกจากไม่ได้อะไรแล้วเรายังต้องเสียเงินเพื่อต้องการบรรลุในสิ่งที่เราทำ ผมพูดตรง ๆ เปิดใจเลยนะ ถ้าผมไปเชียร์รัฐประหาร ไปเป็นคนร่างรธน.หลังจากรัฐประหาร ผมว่าผมคงได้อะไรมากกว่าที่เป็นอยู่แน่นอน อาจจะได้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือวิชาการมากมาย แต่ที่ผมเลือกอยู่ข้างนี้ ผมไม่ได้อะไรเลยนอกจากว่าความรู้สึกที่ว่าเราได้ทำตามหลักการในสิ่งที่เรา เรียนมาในเรื่องกฎหมายมหาชน รู้สึกได้ทำในสิ่งที่มันถูกต้อง ซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพและประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจ ผมรู้สึกสลดใจกับสังคมนะ ในขณะที่ข้างหนึ่งได้ประโยชน์เห็นจากการทำรัฐประหาร ไม่มีสื่อไหนมาตรวจสอบ กลุ่มปัญญาชน นักวิชาการเงียบสนิท ฝ่ายผมที่ไม่เคยได้อะไรเลย ทำไปจากอุดมการณ์กลับถูกกล่าวหา ป้ายสีอยู่ตลอดเวลา ว่าทำเพื่อทักษิณ ทั้งชีวิตผมจนถึงตอนนี้ยังไม่เคยคุยกับทักษิณเลย
จะเล่นการเมืองไหม
ผมยังไม่อยากพูดอะไรที่มันต้องมัดตัวเองในอนาคต แต่ใจผมจริง ๆ ไม่อยากเล่นการเมือง คุณพ่อผมก็เตือนเสมอว่า ถ้าเป็นไปได้อย่าไปเล่นการเมืองเลย
เวลาเดินสวนกับอาจารย์ร่วมคณะที่มีความคิดเห็นขัดแย้งกับนิติราษฎร์ อาจารย์มีปฏิกิริยาอย่างไร
ถ้าคนที่คุยกันได้ก็คุยเรื่องดิน ฟ้า อากาศ ไม่ได้คุยกันเรื่องกฎหมายเพราะเรารู้ว่าแต่ละคนต่างมีความคิดเป็นของตัวเอง ผมเชื่อว่าทางเดินผมถูก เขาก็คงเชื่อว่าทางเดินของเขาก็ถูก แต่ผมเชื่อว่าอาจารย์หลายคนในคณะนี้ที่รู้จักผมดี แม้จะยืนฝั่งตรงข้ามกันแต่เขาก็จะยืนยันแทนผมได้ว่า ผมเป็นคนธรรมดา ไม่ได้มีอะไร ไม่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองคนไหนเลย เพราะกลุ่มอาจารย์ในคณะนี้ก็เห็นกันมาตลอดตั้งแต่ยังไม่มีกลุ่มนิติราษฎร์ ด้วยซ้ำ รู้จักกันดี แน่นอนว่าหลังจากมีกลุ่มนิติราษฎร์เกิดขึ้นมา ความสัมพันธ์กับอาจารย์ที่คิดต่างจากเราก็จะลดน้อยลงไป ส่วนอาจารย์อีกกลุ่มหนึ่งที่ยืนตรงข้ามกับเราในลักษณะที่ชวนหาเรื่องมากกว่า คุยกันด้วยเหตุผลก็จะบอกว่า ไม่ควรใช้คำว่านิติหรืออ้างความเป็นอาจารย์นิติศาสตร์ มธ. ผมอยากตอบว่า ผมมาเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ถูกต้องตามกฎบังคับของมหาวิทยาลัยทุก ข้อ
ในฐานะที่เป็นอาจารย์สอนลูกศิษย์ ถ้าลูกศิษย์มีจุดยืนทางการเมืองแบบหนึ่งที่ทั้งตรงกับเราและไม่ตรงกับเรา ในฐานะอาจารย์ก็เป็นที่รู้จักในทางการเมือง อาจารย์จะสอนลูกศิษย์อย่างไร
ผมบอกลูกศิษย์เสมอว่า เวลาจะเชื่อผมหรือเคารพคล้อยตามในเหตุผลของผมนั้นให้เชื่อเพราะเหตุผลของผม นั้นดี ไม่ใช่ว่าเพราะเป็นผมบอกจึงเชื่อ เราต้องเคารพในเหตุผลมากกว่าตัวบุคคล ไม่ใช่ใครบอกอะไรมาก็เชื่อไปหมดเพราะเห็นว่าเป็นฝ่ายเดียวกัน อีกทั้งถ้าจะแย้งผมว่าผมพูดผิดตรงไหนก็สามารถทำได้แต่ต้องมีเหตุผลรองรับ ด้วยนะ ไม่ใช่กล่าวหาลอย ๆ สำหรับนักศึกษาที่อาจจะมีความคิดไม่ค่อยตรงกับผมนั้น โดยปกติวิชาที่ผมสอนบางครั้งในเทอมหนึ่งอาจจะมีอาจารย์ผู้สอน 2 คน ใครไม่ชอบหลักการของผมก็สามารถไปเรียนกับอีกคนหนึ่งได้ หรือถ้าปีไหนไม่มีอาจารย์ผู้สอนอีกคน ผมก็จะเปิดวิชานี้ไว้แค่เทอมหนึ่ง แล้วเทอมสองก็ให้คนที่ไม่อยากเรียนกับผมไปเรียนช่วงเทอมสอง คือผมพยายามที่จะไม่ผูกขาดวิชาใดวิชาหนึ่งเป็นผู้สอนคนเดียว ผมจะพยายามให้มีผู้สอนที่หลากหลายในวิชาที่ผมสอนอยู่ ให้นักศึกษามีสิทธิเลือกอาจารย์ที่อยากเรียน
ในอีกแง่หนึ่งที่เรานำเสนอสิ่งที่ขัดแย้งกับผลประโยชน์จากฝ่ายตรงข้าม เคยโดนขู่ไหมครับ แล้วถ้าเคยรู้สึกกลัวไหม
ก็มีเขียนจดหมายมาด่า มีมาขู่บ้าง ในความเป็นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อก็ต้องกลัวเป็นธรรมดา ผมเป็นนักวิชาการตัวเล็ก ๆ คงไม่สามารถจ้างบอดี้การ์ดมาคุ้มครองได้ แต่เหล่านี้ก็ไม่ได้ทำให้ผมไม่ทำอะไรเลย คนเราเกิดมาตายครั้งเดียว เพียงแต่ชีวิตหนึ่งผมอยากทำสิ่งที่ถูกต้อง ดีงาม ให้ผลประโยชน์แก่เพื่อนร่วมชาติ
สุดท้ายอาจารย์เป็นนักกฎหมายที่จบจากเยอรมันด้วยทุนอานันทมหิดล หลายคนบอกว่าสิ่งที่อาจารย์ทำอยู่นั้นขัดแย้งกับทุนที่อาจารย์เคยได้รับ เพื่อไปศึกษาต่อในต่างประเทศรึเปล่า
เพราะผมเป็นนักเรียนทุนอานันทมหิดลนี่แหละครับ ผมจึงต้องออกมาเคลื่อนไหว สิ่งที่ผมทำอยู่คือการตอบแทน กตัญญูต่อผู้ที่ให้ทุนอานันทมหิดลแก่ผม ที่ผมทำทุกอย่างก็เพื่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ผมไม่รู้ว่านักเรียนคนอื่น ๆ ที่ได้ทุนนี้มีจินตนาการเรื่องนี้อย่างไร แต่สำหรับผมแล้ว สิ่งที่ผมทำก็เพื่อความดำรงอยู่ของสถาบันพระมหากษัตริย์สืบไป ผมชัดเจนเสมอว่าผมต้องการรัฐธรรมนูญในประเทศที่เป็นราชอาณาจักร

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar