กรณี “ยุบพรรคไทยรักษาชาติ” กับปัญหาทางกฎหมายและการใช้อำนาจหน้าที่ขององค์กรรัฐ
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
เหตุการณ์ “ยุบพรรคพรรคไทยรักษาชาติ” เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 7 มีนาคม พ.ศ.2562 กำลังเป็นกระแสอย่างมากในโลกออนไลน์ จะเห็นได้จากการเกิด Hashtag ต่าง ๆ ใน Twitter เช่น #ยุบให้ตายก็ไม่เลือกลุง #ยุบให้ตายก็ไม่เลือกมึง อีกทั้งยังเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เรื่องดังกล่าวใน Facebook ซึ่งเรื่องนี้มีข้อควรสังเกตทางกฎหมายบางประการทั้งในส่วนคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและการทำหน้าที่ขององค์กรที่ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ ดังต่อไปนี้
ในส่วนคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนั้น เมื่อลองอ่านดูจะพบถึงจุดที่น่าสงสัยในการตีความและการใช้หลักกฎหมายอยู่หลายประการ เช่น
“คำว่า "ปฏิปักษ์" แม้กฎหมายจะไม่ได้บัญญัตินิยามศัพท์ไว้ แต่ก็เป็นคำในภาษาไทยธรรมดาที่มีความหมายตามที่ใช้และรู้กันอยู่ทั่วไป ซึ่งศาลย่อมรู้ได้เองว่า "ปฏิปักษ์" นั้นไม่จำเป็นต้องรุนแรงถึงขนาดมีเจตนาจะล้มล้างทำลายให้สิ้นไป ทั้งยังไม่จำเป็นต้องถึงขนาดตั้งตนเป็นศัตรูหรือเป็นฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น เพียงแค่เป็นการกระทำที่มีลักษณะเป็นการขัดขวางหรือสกัดกั้นมิให้เจริญก้าวหน้า หรือเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดผลเป็นการเซาะกร่อน บ่อนทำลายจนเกิดความชํารุดทรุดโทรมเสื่อมทรามหรืออ่อนแอลงก็เข้าลักษณะของการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ได้แล้ว”
---> การวินิจฉัยเช่นนี้ทำให้เกิดปัญหา เพราะแม้ว่าศาลจะอ้างว่า ไม่มีนิยามทางกฎหมายสำหรับศัพท์ดังกล่าว จึงต้องใช้นิยามตามธรรมดาทั่วไปที่ศาลย่อมรู้เอง แต่นิยามธรรมดาแท้จริงของคำว่า “ปฏิปักษ์” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช 2554 นั้นมีความหมายว่า ฝ่ายตรงกันข้าม, ข้าศึก, ศัตรู เท่านั้น ดังนั้นการกระทำเช่นนี้ อาจถือได้ว่า ศาลกำลังใช้ดุลยพินิจส่วนตนในการ “ตีความขยายขอบเขตนิยามคำศัพท์อย่างธรรมดา” นี้ ให้กว้างไปมาก เพื่อเป็นการหลบเลี่ยงนิยามโดยแท้จริง และใช้นิยามตามที่ศาลกล่าวอ้างว่ารู้เอง เพื่อการวินิจฉัยให้เข้าเงื่อนไขการยุบพรรคไทยรักษาชาติ
ซึ่งทั้ง 2 เรื่องนี้มีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากหากกรณีปรากฏว่า ไม่เข้าความหมายอย่างธรรมดาจริง ๆ ของคำว่า “ปฏิปักษ์” เสียแล้ว ก็จะไม่สามารถใช้มาตรา 92 วรรค 1 (2) ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 เพื่อการยุบพรรคไทยรักษาชาติได้เลย อีกทั้งหากศาลประสงค์จะใช้การตีความคำว่า “ปฏิปักษ์” ในทางกฎหมายแท้จริง ศาลจะต้องไม่กล่าวอ้างประโยคที่ว่า “เป็นคำในภาษาไทยธรรมดาที่มีความหมายตามที่ใช้และรู้กันอยู่ทั่วไป”
เราน่าจะเคยได้เห็นปัญหาของการที่ศาลรัฐธรรมนูญใช้ “การตีความความหมายของคำศัพท์” เพื่อเป็นเหตุในการวินิจฉัยกันมาแล้ว อย่างเช่น กรณีของคุณสมัคร สุนทรเวช ที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ให้ขาดจากสภาพการเป็นนายกรัฐมนตรีเนื่องจากไปเป็น “ลูกจ้าง” ของบริษัทแห่งหนึ่ง โดยที่ศาลเลือกใช้ความหมายของคำว่าลูกจ้าง ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานฯ “ทั้ง ๆ ที่มีนิยามของคำว่าลูกจ้างชัดเจนเพียงพออยู่ในกฎหมายต่าง ๆ แล้ว ไม่ว่าจะเป็น ป.พ.พ. หรือกฎหมายแรงงาน ฯลฯ” แต่ศาลกลับนำความหมายในพจนานุกรม “ที่กว้างไปมาก” มาใช้ในการตีความเพื่อวินิจฉัย ซึ่งขัดต่อหลัก “บทบัญญัติกฎหมายต้องตีความอย่างแคบหากมีวัตถุประสงค์เพื่อการลงโทษหรือละเมิดสิทธิเสรีภาพ”
“สำหรับประเด็นเรื่องเจตนานั้น
เมื่อมาตรา 92 วรรคหนึ่ง (2) บัญญัติชัดเจน
เพียงแค่อาจเป็นปฏิปักษ์ก็ต้องห้ามแล้ว
หาจำต้องมีเจตนาประสงค์ต่อผลหรือต้องรอให้ผลเสียหายร้ายแรงเกิดขึ้นจริงเสียก่อนไม่”
“บทบัญญัติในมาตรา 92 วรรคหนึ่ง (2)
ที่ว่าอาจเป็นปฏิปักษ์นั้น ในทางกฎหมายเป็นเงื่อนไขทางภาวะวิสัย กล่าวคือ
ไม่ขึ้นกับเจตนาหรือความรู้สึกส่วนตัวของผู้กระทำว่าจะเกิดผลเป็นปฏิปักษ์จริงหรือไม่
หากแต่ต้องดูตามพฤติการณ์และการกระทำนั้น ๆ
ว่าในความคิดของวิญญูชนหรือคนทั่ว ๆ ไป จะเห็นว่าการกระทำดังกล่าว
อาจส่งผลให้เกิดการเป็นปฏิปักษ์หรือไม่
เทียบได้กับกรณีหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326 ที่ว่า
"น่าจะทำให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง" นั้น
ศาลฎีกาได้วางบรรทัดฐานมั่นคงไว้ว่า
การพิจารณาว่าถ้อยคำหรือข้อความใดจะเป็นการใส่ความผู้อื่น
จนทำให้เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังหรือไม่
ต้องพิจารณาจากการรับรู้ถึงอารมณ์ความรู้สึกและความเข้าใจในถ้อยคำหรือข้อความนั้นของวิญญูชนโดยทั่วไปเป็นเกณฑ์
คำพิพากษาฎีกาที่ 3167/2545”---> การวินิจฉัยเช่นนี้ทำให้เกิดปัญหา เนื่องจากโดยหลักแล้ว ความผิดทางอาญาจะต้องพิจารณาที่ “เจตนา” อันเป็นองค์ประกอบความผิดภายในของผู้กระทำผิดเป็นสำคัญ อีกทั้งหลัก “มาตรฐานวิญญูชน” ดังกล่าว จะไม่ใช้กับกรณีบทบัญญัติซึ่ง “มีผลกระทบทางสิทธิและเสรีภาพของประชาชนอย่างร้ายแรง” ซึ่งบทบัญญัติตาม มาตรา 236 ประมวลกฎหมายอาญาที่ศาลรัฐธรรมนูญยกมานั้น มีบทบัญญัติที่มีลักษณะจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน “คนละระดับ” กับบทบัญญัติในมาตรา 92 วรรค 1 (2) ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 กล่าวคือ มาตรา 326 เป็นความผิดที่มีทั้งเหตุยกเว้นความผิด เหตุยกเว้นโทษ และสามารถยอมความได้ แต่มาตรา 92 วรรค 1 (2) เป็นความผิดที่ไม่มีอะไรมาลดหย่อนหรือยกเว้นได้เลย ดังนั้นจึงไม่ควรเอามาใช้เทียบเคียงกัน เพื่อวินิจฉัยตัดสินยุบพรรคไทยรักษาชาติ
อีกทั้งก่อนที่จะมีการอ่านคำวินิจฉัยดังกล่าว
ศาลรัฐธรรมนูญ “ไม่อนุญาตให้มีการสืบพยาน” โดยอ้างเหตุผลว่า
ทุกอย่างชัดเจนเพียงพออยู่แล้ว
การกระทำเช่นว่านี้เป็นการขัดต่อหลักสิทธิขั้นพื้นฐานในเรื่องการต่อสู้ในระบบกระบวนการยุติธรรมของประชาชน
ที่ประชาชนควรมีสิทธิการต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรมอย่างเต็มที่
และการวินิจฉัยดังกล่าว ก็เป็นการบอกเป็นนัยว่า ผู้ถูกร้องกระทำความผิดจริง
ซึ่งขัดต่อหลักการดำเนินคดีทางอาญาพื้นฐานที่ว่า “ให้สันนิษฐานไว้เสมอว่า
ผู้ต้องหายังคงเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าจะมีคำพิพากษาตัดสินถึงที่สุดจากศาล”
ในส่วนของการทำหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง
(กกต.) ที่เป็นองค์กรที่ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะ
มีข้อที่น่าสังเกตคือ ในตอนแรก กกต. “ยืนยันชัดเจน” ว่า ทูลกระหม่อมหญิงฯ
สามารถที่จะเป็น Candidate ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้
และไม่ถือว่ามีความบกพร่องทางคุณสมบัติ
แต่ภายหลังกลับส่งเรื่องดังกล่าวให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความวินิจฉัยว่าการกระทำของพรรคไทยรักษาชาติที่เสนอชื่อทูลกระหม่อมหญิงฯ
เป็น Candidate ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เข้าลักษณะความผิดตามมาตรา 92 วรรค 1
(2) ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560
อันเป็นเหตุให้ต้องยุบพรรคตามมาตรา 92 วรรค 2 หรือไม่
ซึ่งการกระทำเช่นว่านี้ถือได้ว่าเป็นการที่ กกต. ซึ่งเป็น
“องค์กรที่ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะ”
(อยู่ในข้อยกเว้นที่ไม่ต้องใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการปกครอง
พ.ศ.2539 ตามมาตรา 4 วรรค 1 (2)) “บกพร่องในหน้าที่ของตนเอง”
กล่าวคือมีหน้าที่ต้องตรวจสอบและยืนยันคุณสมบัติของผู้เป็น Candidate
ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จนเป็นเหตุให้ประชาชนต้องได้รับความเสียหาย
ทั้งยังเป็นที่น่ากังวลใจว่า ในอนาคตต่อไป
องค์กรนี้จะสามารถเป็นผู้คุมกฎเกณฑ์การเลือกตั้งได้อย่างมีประสิทธิภาพจริงหรือ?
สำหรับแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน
ผมขอเสนอให้ กกต. จัดให้มีการเลือกตั้งล่วงหน้านอกราชอาณาจักรขึ้นใหม่
ในพื้นที่ที่ได้มีการลงคะแนนเสียงไปแล้ว
เนื่องจากผลของคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าว
ทำให้บัตรเลือกตั้งที่กาพรรคไทยรักษาชาติจะกลายเป็น “บัตรเสีย” ในทันที
เพื่อให้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นไปอย่างมีมาตรฐาน
และสะท้อนเจตจำนงของประชาชนได้อย่างชัดเจนและเที่ยงตรงที่สุด
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar