torsdag 6 december 2012

"ยกเลิกมาตรา ๑๑๒ ที่โหดร้ายป่าเถื่อนที่ทำร้ายประชาชนชาวไทยและเทศ และสำคัญที่สุดคือ...ทำลายสถาบันฯ....โดยตรง" เป็นข้อเขียนจากใจของผู้บริสุทธิอดีตผู้ต้องหาคดีหมิ่นที่ออกจากคุกมากับอิสระภาพพร้อมลมหายใจที่เขียนถึงกรณี "อากง" ผู้ออกจากคุกไปกับความตาย ซึ่งเป็นเรื่องที่สะเทือนใจคนทั้งในไทยและต่างประเทศทั่วโลก เราอยากถามอำมาตย์ว่าเมื่อรู้แล้วว่า ม.๑๑๒ ทำให้คนส่วนใหญ่ของประเทศเกลียดและเสื่อมศรัทธาสถาบันมากขึ้นเรื่อยๆ ......... เราสงสัยว่าแล้วท่านยังจะมี ม.๑๑๒ ไว้กดขี่ข่มเหงทำร้ายตัวท่านเองและประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศอีกหรือ?....

6 ธันวาคม 2555
โดยJoe Gordon




วันนี้คือวันที่ 5 ธันวาคม จะเป็นวันสำคัญอะไรในประเทศไทยก็แล้วแต่ ใครจะใส่เสื้อสีอะไรก็ช่างเขา ผมอยู่ที่อเมริกา ผมจะใส่เสื้อสีดำเพื่อไว้อาลัยแด่ "อากง" เพราะผมยังไม่มีโอกาสพูดถึงอากงเลยตั้งแต่ผมออกจากคุกมา

อากงโดนคดีหมิ่นฯ มาตรา 112 เช่นเดียวกับผม และถูกศาลไทยตัดสินจำคุก 20 ปี ส่วนผมโดนไป 5 ปี ผมไม่สู้คดี ศาลลดโทษให้เหลือ 2.5 ปี แต่ผมติดอยู่ในคุก 1 ปี 4 เดือน จนกระทั่งได้รับอิสรภาพก่อนเวลา โดยการข
อภัยโทษพิเศษฯ

ผมจำได้ว่า ผมพบกับอากงในช่วงเวลาเยี่ยมญาติในคุกเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เกือบทุกวัน ยกเว้นวันเสาร์อาทิตย์

อากงจะเดินออกมาจากแดน 8 ผ่านแดน 6 ที่ผมถูกกังขังอยู่ เราจะออกมาพร้อมๆกันในเวลาเกือบ 11 โมงเช้า ผมเคยชมอากงว่า อากงเดินเร็วและแข็งแรงดีนะ เพราะผมเห็นอากงเดินได้ดีกว่าผมในตอนนั้นเสียอีก ผมเดินตามอากงแทบไม่ทัน

เท่าที่ผมรู้จักกับอากงมา อากงไม่ใช่คนที่รู้เรื่องไฮเทคอะไร ผมจึงไม่เชื่อว่าอากงเป็นผู้ส่งข้อความหมิ่นฯจริง อากงเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา หาเช้ากินค่ำ มีอัธยาศัยดี ที่สำคัญอากงเป็นคนรักครอบครัว และอากงเป็น “พ่อคน” มีลูกหลานมากมาย ทุกครั้งที่ผมคุยกับอากงเมื่อเอ่ยถึงครอบครัว อากงจะมีน้ำเสียงสั่นเครือและน้ำตาไหลออกมา

ผมคิดว่ากรณีของอากงก็คงไม่ต่างจากผม คือเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู หรือเป็นแพะรับบาป ในขณะที่สังคมไทยในปัจจุบัน มีผู้บ้าคลั่งสถาบันอย่างมาก พวกเขาต่างมีความหวาดระแวงสูง และมองคนที่มีความคิดเห็นต่างหรือไม่เห็นพร้องด้วย ว่าเป็น “ศัตรู” ด้วยการสร้างมโนภาพหลอกหลอนตนเองไปว่า มีขบวนการล้มเจ้าเกิดขึ้นจริง และใช้ระบบการกล่าวหานำตัวชาวบ้านมาลงโทษเพื่อความสะใจ หรือระบายความใคร่ทางปัญญา โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องและความยุติธรรมที่แท้จริง แม้นกระทั่งเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เป็นสากลโลกด้วย เช่นการไม่ยอมให้ประกันตัวผู้ถูกกล่าวหา เพื่อต่อสู้คดีได้เลยเป็นต้น

เนื่องจากในเรือนจำ นักโทษถูกปิดบังเรื่องข่าวสารต่างๆ จนเกือบไม่รู้วันเวลาที่ผ่านพ้นไป ผมจึงจำได้เพียงอย่างคับคลายคับคลาว่า ครั้งหลังสุดที่ผมพบอากงคือเช้าวันศุกร์ เรานั่งคุยกันที่ม้านั่งบริเวณที่รอเยี่ยมญาติ เราคุยกันเรื่องทั่วไปรวมทั้งเรื่องคดีของอากงที่รอถอนคำอุทธรณ์ ส่วนผมกำลังจะขออภัยโทษพิเศษฯ และผมถามเรื่องการป่วยของอากง และการดูแลรักษาอาการเจ็บป่วยที่สถานพยาบาลในเรือนจำ ซึ่งไม่มีมาตรฐาน และมีหมอที่ไร้จรรยาบรรณทำงานอยู่ อากงไม่ตอบอะไรมากนัก บ่นว่าเจ็บท้องที่แข็ง และถ่ายไม่ได้ อยากจะได้ยาระบายท้อง

วันจันทร์ ผมออกไปเยี่ยมญาติตามปรกติ แต่ไม่เจออากง ผมจึงถามไถ่จากเพื่อนที่มาจากแดน 8 เขาบอกว่า อากงเสียชีวิตไปแล้ว ผมรู้สึกตกใจและไม่อยากจะเชื่อ แต่หลายคนก็ยืนยันเช่นเดียวกัน ผมรู้สึกใจหายวูบ และมันเป็นความรู้สึกที่พวกเรานักโทษคดีหมิ่นฯ มาตรา 112 สลดใจเป็นอย่างยิ่งต่อการจากไปของอากง

เรื่องของอากงที่เสียชีวิตในคุก ทำให้ผมนึกย้อนหลังไป เมื่อนานมาแล้วว่า ตอนที่ผมไปสอบเป็นพลเมืองอเมริกัน มีคำถามหนึ่งที่เจ้าหน้าที่สหรัฐเขาถามผมว่า ใครเป็นคนพูดคำว่า "Give me liberty, or give me death." ผมตอบคำถามได้ว่าเป็นคำพูดของ Patrick Henry แต่ในตอนนั้น ผมยังไม่เข้าใจความหมายนี้ถ่องแท้นัก แต่ในเวลานี้ ณ ที่ประเทศไทย อากง ได้ทำให้ผมเข้าใจความหมายนี้ได้อย่างลึกซึ้ง เพราะอากงได้ออกจากคุกไปกับความตาย”death” เพียงก่อนหน้าผมไม่นาน ส่วนผมได้ออกจากคุกมากับอิสรภาพหรือ "liberty" ในที่สุด

ณ ที่นี้ ผมใคร่ขอคารวะอากงผู้จากไป และขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของอากงอย่างสุดซึ้ง และผมขอรณรงค์ให้ยกเลิกมาตรา112 ที่โหดร้ายป่าเถื่อนนี้ที่ทำร้ายประชาชนชาวไทยและเทศ และสำคัญที่สุดคือทำลายสถาบันฯโดยตรง ผมขอเรียกร้องให้ปล่อยตัวนักโทษคดีหมิ่นฯออกจากคุกให้หมดทุกคน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือของประเทศไทยให้กลับมาอีกครั้ง ว่ายังมีความศิวิไลซ์และเป็นอารยประเทศต่อสายตาชาวโลก

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar