คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง บริษัทบริวาร
โดย กาหลิบ
เมืองไทยขณะนี้คงกำลังเข้าสู่ห้วงเวลาชดใช้กรรม
เหตุการณ์อย่างน้อยสองเรื่องที่ร้อนแรงอยู่ในนาทีนี้
ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น
หรือเกิดขึ้นแล้วก็เคยขายผ้าเอาหน้ารอดไปได้ตามวิสัยกะล่อนของชนชั้นนำไทย
แต่งานนี้กลับกลายเป็นวัวพันหลัก
เสมือนคนที่พลาดติดกับตัวเองจนพูดไม่ออกบอกไม่ได้
ถูกมัดไว้กลางเมืองให้สาธารณชนค่อยๆ
คิดตามและเข้าใจลึกซึ้งขึ้นทุกวันในความฉ้อฉล
เหตุการณ์ทั้งสองได้แก่กรณีอื้อฉาวเรื่องเครื่องบินพระที่นั่งในเยอรมนีและนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น
๓๐๐ บาทต่อวันของพรรคเพื่อไทย
ซึ่งเชื่อกันว่ากำลังจะผงาดขึ้นเป็นรัฐบาลใหม่
คนละเรื่อง
แต่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันอย่างไม่น่าเชื่อ
และความสัมพันธ์นั้นเองได้ฉายภาพแท้จริงของเมืองไทยอย่างแจ่มแจ้งราวกับดูภาพยนตร์
คงจะไม่พูดในที่นี้ว่า
ความเป็นเครื่องบินพระที่นั่ง ความเป็นเครื่องบินที่หลวง (กองทัพอากาศ)
จัดถวายเป็นพระราชพาหนะ หรือสถานะความเป็นเครื่องบินส่วนพระองค์นั้น
อธิบายความทั้งหมดนี้ อย่างไร
เพราะไม่ใช่ประเด็นที่จะพูดให้ใครเดือดร้อนเล่นและสาธุชนท่านก็มองเห็นเองได้
แต่ประเด็นร้อนของวันนี้คือ ความอัปยศครั้งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรและโดยใคร
เรารู้แล้วว่า
คำสั่งศาลเยอรมนีที่ให้ยึดทรัพย์ใดๆ ของรัฐบาลไทยได้
สืบเนื่องมาจากความเสียหายของ บริษัท วอลเตอร์ บาว
จำกัดในกรณีโครงการก่อสร้างและเก็บเกี่ยวประโยชน์จากดอนเมืองโทลล์เวย์
แต่คำอธิบายที่ละเอียดกว่านั้นรู้สึกจะยังกระมิดกระเมี้ยนกันอยู่
ก็เล่าตรงนี้เสียเลยก็แล้วกัน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมที่เกี่ยวข้องมากที่สุดในการอนุมัติโครงการนี้
คือนายมนตรี พงษ์พานิช
ผู้เสียชีวิตไปนานแล้วจากโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือเอดส์
ก่อนตายก็เที่ยวฝากเงินทีละมากๆ ไว้กับคนนั้นคนนี้รวมทั้ง พลตำรวจเอกสมยศ
พุ่มพันธุ์ม่วง (ยศในปัจจุบัน) ผู้เป็นนายตำรวจติดตามรัฐมนตรีฯ ในขณะนั้น
โครงการดอนเมืองโทลล์เวย์ทำในรูปสัญญา ในสัญญานั้นก็มีเงื่อนไขบังคับไว้ว่า
ในห้วงเวลาที่ต่างฝ่ายต่างถือสัญญาอยู่ รัฐบาลไทย ไม่ว่าจะชุดใดคณะใด
จะอนุมัติการก่อสร้างโครงการคมนาคมอื่นใดอันมีลักษณะทับเส้นทางหรือแย่งลูกค้าจากดอนเมืองโทลล์เวย์มิได้
หากขืนทำก็จะต้องถูกปรับจากคู่สัญญาตามความเสียหายที่เกิดขึ้นพร้อมดอกเบี้ยและค่าเสียโอกาส
เวลาผ่านไปจนกระทั่ง
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมสมัยรัฐบาลนายชวน
หลีกภัย ดอนเมืองโทลล์เวย์เปิดใช้มาแล้วก่อนหน้านั้นหลายปี
และยังอยู่ในสัญญานั้น
ปัญหามาเกิดขึ้นเมื่อรัฐบาลชวนฯ
อนุมัติให้มีการก่อสร้าง ขยายเส้นทาง
และเชื่อมต่อเส้นทางถนนรอบในที่คู่ขนานมากับถนนวิภาวดีรังสิตจนกลายเป็น
ถนนใน หรือ local road ขึ้นมาจนกระทั่งปัจจุบัน
ถนนใหม่รองรับผู้คนแถวนั้นมากมายและนับว่ามีประโยชน์
แต่ขณะเดียวกันก็เป็นการละเมิดสัญญาที่ทำไว้กับบริษัทเยอรมนีผู้ร่วมก่อสร้างดอนเมืองโทลล์เวย์อย่างฉกรรจ์
เมื่อละเมิดเขา เขาก็ฟ้อง และผลสุดท้ายก็กลายมาเป็นความน่าอับอายทั่วถึงกันตั้งแต่บนสุดของห่วงโซ่อาหารเมืองไทยจนถึงชั้นล่าง
เหตุการณ์ชี้ให้เราเห็นทีเดียวว่า
พรรคการเมือง นักการเมือง และบริษัทบริวารของชนชั้นนำไทย
ผู้อ้างตนเองว่ารักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ยิ่งกว่าใครๆ ในแผ่นดินนี้
เขานำอำนาจที่ได้จากการอ้างอย่างนั้นไปใช้ประโยชน์อย่างไรบ้าง
ความเห็นแก่ตัวอย่างโลภโมโทสันครั้งนี้น่าจะฉีกหน้ากากให้คนทั้งหลายได้เห็นว่า
ชนชั้นนำเมืองไทยเขาร่วมกัน รู้กัน
และเป็นทีมเดียวกันในการทำมาหากินแบบพวกปล้นปวงชนกันอย่างไร
เมื่อกรรมตามทันในวันนี้ จึงปิดก้นตัวเองไม่มิด มองเห็นทะลุทะลวงไปถึงไหนๆ ให้ขายหน้าเขา
กรณีค่าแรงขั้นต่ำเป็นอีกเรื่องที่กำลังสนุก
เพราะการถกเถียงกำลังลุกลามจากประเด็นทางวิชาการและนโยบายไปสู่ความเห็นแก่ตัวล้วนๆ
และชี้ให้เราเห็นทีเดียวว่าภาคธุรกิจของไทยที่ว่าแน่ว่าเก่งกันนักนั้น
สุดท้ายอยู่ในระบบอุปถัมภ์ของผู้ใด
อาศัยอำนาจและอิทธิพลของใครในการทำมาหากินกันเป็นโคตรตระกูล
เพราะขาดทั้งความรู้และความสามารถที่จะสร้างอะไรได้ด้วยตนเอง
ถ้าไม่มีอำนาจและอิทธิพลคุ้มหัวที่เจ้าตัวต้องคอยจ่ายค่าคุ้มครองอยู่ตลอดมา เจ้าสัวไทยหลายคนคงจะถือกะลาขอทานเขากินไปนานแล้ว
ความขัดแย้งเรื่องขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ
๓๐๐
บาทกำลังกลายเป็นการแบ่งข้างระหว่างพรรคเพื่อไทยที่ประกาศยืนกับผู้ที่เป็นคนจนกับภาคเอกชนที่ถือตัวเองว่าเป็นอยู่ในระบบอุปถัมภ์ของเจ้าของประเทศไทยและเป็นเด็กเส้น
ศึกครั้งนี้จึงมากกว่าค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ
แต่เป็นการแบ่งข้างว่าใครเป็นพวกใคร
และสำคัญกว่านั้นจะเป็นการแสดงว่าใครเป็นพวกเดียวกับประชาชน
พรรคเพื่อไทยเองก็อย่าทะนงตน หากทำไม่สำเร็จก็สูญเสียสถานะเช่นนั้นเอาง่ายๆ ได้เหมือนกัน
นิทานเรื่องนี้สอนว่าระบอบการเมืองใดๆ
อยู่ได้ด้วยการค้ำจุนของบริษัทบริวาร
การรักษาอำนาจของชนชั้นนำย่อมต้องอาศัยผู้คนเหล่านี้เป็นมือเป็นไม้
ประเด็นคือเมื่อคนเหล่านี้แสดงธาตุแท้ของความเป็นคนชั่วขึ้นมา มันสะท้อนอะไรกลับไปถึงผู้อุปถัมภ์บ้างเล่า.
(หมายเหตุ-"คดี"ยืดเยื้อเกี่ยวพันกันมานานผ่านหลายรัฐบาลจากอดีตจนถึงปัจจุบัน)
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar