onsdag 24 april 2019

อัพเดท..ข่าวการ "ตั้ง-ปลด-ถอด" ข้าราชการในพระองค์


ว่าด้วยข่าวการ "ตั้ง-ปลด-ถอด" ข้าราชการในพระองค์เมื่อวานนี้

(ปลด รองราชเลขาธิการ 3 คน ผู้ช่วยราชเลขาธิการ 1 คน พร้อมให้เหตุผลประหลาดๆในการถอดยศ 2 คน)
เมื่อวาน หลังจากผมตั้งกระทู้เกี่ยวกับการตั้งคุณอภิญญา ชุมสาย ณ อยุธยา เป็น "พลตรี" แล้ว (ผมจะพูดเพิ่มเติมเรื่องนี้นิดหน่อยข้างล่าง) ผมก็ออกจากบ้าน
ความจริง ก่อนออก ผมก็เห็นแล้วว่า มีข่าวการปลดข้าราชการในพระองค์ ด้วยเหตุผล "แปลกๆ" แต่ผมไม่มีเวลาเขียน
ต้องขอบคุณ ประชาไท Prachatai.com ที่สรุปข่าวการ "ตั้ง-ถอด" ข้าราชการมาไว้ในที่เดียวกัน (ภาพประกอบแรก ดูรายงานได้ที่นี่ https://goo.gl/kIBpfB)
เดี๋ยวผมจะพูดถึงการปลดข้าราชการด้วยเหตุผล "แปลกๆ" แต่ก่อนอื่น ผมมาพบทีหลังว่า "ประชาไท" สรุปเรื่องนี้ ก่อนที่ข่าวการปลดที่สำคัญอีกชุดหนึ่งจะออกมา คือการปลดข้าราชการในสำนักราชเลขาธิการและข้าราชการในพระองค์อื่นๆพร้อมกันถึง 19 คน (ภาพประกอบที่สอง ดูรายงานใน "ไทยรัฐ" ที่นี่ https://goo.gl/UI4zDK)
การปลดครั้งนี้ นับว่าสำคัญเหมือนกัน เพราะรวม "รองราชเลขาธิการ" ถึง 3 คน (ในจำนวนทั้งหมด 8 คน) และผู้ช่วยราชเลขาธิการอีก 1 คน (ใครอยากเห็นหน้า "รองราชเลขาธิการ" ทั้ง 3 คนที่ถูกปลด ดูรูปประกอบที่สาม หรือดูเว็บไซต์ "สำนักราชเลขาธิการ" ซึ่งขณะเขียน ยังไม่เปลี่ยน ที่นี่ https://goo.gl/JASMpt)
ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไม จู่ๆกษัตริย์ใหม่จึงสั่งปลดข้าราชการระดับสูงในสำนักราชเลขาธิการ และข้าราชการในพระองค์อื่นๆ (ที่เหลืออาจจะอยู่ในสำนักฯก็ได้) พร้อมกันหลายคนขนาดนี้
...............
โอเค ทีนี้ มาเรื่องการถอดยศทหารที่เป็นข้าราชการในพระองค์ด้วยเหตุผล "แปลกๆ"
กรณี พ.ต.ธนพนธ์ อยู่มั่น ให้เหตุผลว่า
"เนื่องจากใช้กิริยาวาจา ไม่สมควรหรือประพฤติไม่สมควร โต้แย้งพระราชกระแส อวดรู้ อวดดี และกระด้างกระเดื่อง ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ประมาทเลินเล่อในหน้าที่ราชการ เกียจคร้าน ละทิ้งหรือเลินเล่อต่อหน้าที่ราชการ เป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง"
คำว่า "โต้พระราชกระแส อวดรู้ อวดดี และกระด้างกระเดื่อง" ผมว่าชอบกลมาก เพิ่งเคยเห็นการให้เหตุผลแบบนี้ ภาษาชวนให้นึกถึงพวกพงศาวดารสมัยก่อนมากกว่า (เอาเข้าจริง ผมก็มองว่า โดยวิธีคิดของกษัตริย์ใหม่หลายอย่าง ไม่ค่อยต่างจากกษัตริย์สมัยโบราณนัก) และนึกไม่ออกว่า ความจริงเป็นอย่างไร มีข้าราชการในพระองค์คนไหนจะกล้า "โต้แย้งพระราชกระแส" หรือ? แล้วต้องเป็นการ "โต้แย้ง" ที่รุนแรงขนาดสมควรถูกถอดยศ? (ซึ่งยิ่งยากจะจินตนาการได้ว่า จะมีใครกล้าทำขนาดนั้น) แล้ว "อวดรู้ อวดดี" นี่คืออะไร?
ส่วนกรณี นาวาโทหญิง จารุวรรณ ช้างมูล ให้เหตุผลว่า
"เนื่องจากได้กระทําผิดวินัยฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เกิดผลดีหรือความก้าวหน้า แก่ราชการด้วยความตั้งใจ อุตสาหะ เอาใจใส่ และรักษาประโยชน์ของทางราชการ อันเป็นเหตุให้เสียหาย แก่ราชการอย่างร้ายแรง กล่าวคือ บกพร่องในหน้าที่ ไม่พัฒนาตนเอง ขาดความกระตือรือร้น เฉื่อยชา ขาดดุลพินิจที่ถูกต้อง ทําให้เกิดผลเสียแก่ราชการในพระองค์ จึงไม่สมควรดํารงอยู่ในยศทหารต่อไป"
ฟังดูเหมือนจะบอก(ตามภาษาบ้านๆ)ว่า คนนี้ "ขี้เกียจ" แต่ก็อีกนั่นแหละ ภาษาที่ใช้ ฟังดูเหมือนภาษาโบราณสมัยพงศาวดารมาก ไม่เหมือนการให้เหตุผลลงโทษข้าราชการสมัยใหม่เลย แล้วเธอผู้นี้ "ขี้เกียจ" ระดับที่ต้อง "ถอดยศ" เลยหรือ? แค่ไม่ขึ้นขั้นเงินเดือนเหมือนกรณีข้าราชการทั่วไปที่ "ไม่มีผลงานดีเด่น" อะไรไม่ได้หรือ? หรืออย่างมาก แค่ "ให้ลาออก" หรือ "ให้ออกจากราชการ" หรือกระทั่ง "ไล่ออก" (แต่ไม่ถอดยศ) ไม่ได้หรือ? แล้วถ้าคน "ขี้เกียจ" ขนาดนี้ มียศมาถึง "นาวาโท" ได้อย่างไร?
ผมคิดว่าปัญหาอย่างหนึ่งของกษัตริย์ใหม่ (ตั้งแต่ยังเป็นพระบรมฯ) คือการพยายามสร้าง "อาณาจักร" ของตัวเอง มี "กองกำลัง" ของตัวเอง แล้วก็เที่ยว "พระราชทาน" ยศทหารให้คนใกล้ชิด (แม้แต่เมียตัวเอง) ที่เป็นพลเรือนมาก่อนแบบง่ายๆ ถึงเวลา ไม่ถูกใจใคร ("ทรงพระยั้ว") ก็เลยถอดยศกันง่ายๆเหมือนกัน
..............
เรื่องนี้ ก็นำไปสู่ประเด็นสุดท้าย คือกรณีคุณอภิญญา ชุมสาย ณ อยุธยา ที่ผมโพสต์เรื่องการตั้งยศ "พลตรี" ให้ ทั้งๆที่เธอยังเป็นเพียงพลเรือน เมื่อก่อนหน้านั้น ไม่ถึง 4 เดือน (เผื่อใครยังไม่เห็นกระทู้ก่อนหน้านี้ ดูที่นี่ https://goo.gl/O8y1kP)
หลังตั้งกระทู้ มีบางท่านมาเขียนในช่องคอมเม้นท์ว่า เป็นไปได้ ที่คุณอภิญญาอาจจะเคยเป็นข้าราชพลเรือนระดับสูงมาก่อน (เช่นระดับ C8) แล้ว "โอน" มาเป็นทหาร ซึ่งก็จะเทียบเท่าประมาณยศ "ว่าที่พันเอก" (ยศแรกสุดที่เห็นของเธอ ซึ่งเห็นครั้งแรกในเดือนมกราคม 2560 นี้เอง ปลายเดือนเธอก็ได้เป็น "พลตรี")
ผมมองแบบนี้นะครับ ตัดเรื่องที่ว่า (ตามที่ผมเข้าใจ) การโอนข้าราชการจากพลเรือนมาเป็นทหาร(หรือตำรวจ) ปกติไม่ใช่ทำกันได้ง่ายๆ ผมก็ยังมองว่า การที่พลเรือนคนหนึ่ง ย้ายมาเป็น "ว่าที่พันเอก" แล้วได้รับยศเป็น "พลตรี" ภายในเวลาเพียง 3 เดือนเศษ เป็นอะไรที่แปลกอยู่นั่นเอง (ความจริง อาจจะน้อยกว่านี้ เพราะอย่างที่เล่าไปในกระทู้ก่อน ครั้งสุดท้ายที่เราเห็นเธอเป็นพลเรือน "นางสาว" คือ 30 กันยายน แล้วมกราคม ก็มาเห็นเป็นยศ "ว่าที่พันเอก" เธออาจจะเพิ่งได้ยศดังกล่าวในเดือนพฤศจิกา หรือ ธันวา หรือ มกราคม ก็ได้) แน่นอน ผมรู้ว่า ยศนายพลในกองทัพไทยปกติ เป็นอะไรที่เกร่อเกินเหตุ แต่นั่นเป็นอีกประเด็นหนึ่ง และเอาเข้าจริง จากการตั้ง-เลื่อนยศตำแหน่งของกษัตริย์ใหม่ กับคนใกล้ชิดในเวลาที่ผ่านมา ก็ยังมีลักษณะไม่เป็นไปตามมาตรฐานแม้แต่กรณีกองทัพปกติ
ผมมองว่า ปัญหาอยู่ที่ว่า ที่ผ่านมา กษัตริย์ใหม่(ตั้งแต่สมัยเป็นพระบรมฯ) มีการ "ตั้ง-เลื่อนยศตำแหน่ง" (หรือ "ไล่ออก-ถอดยศ") ในลักษณะที่ชวนให้มองได้อย่างมากว่า ไม่ได้มีมาตรฐานอะไร เป็นเรื่องประเภทชอบใครก็ให้ ไม่ชอบใครก็ถอด อย่างง่ายๆ - ตามวิธีคิดที่ผมกล่าวข้างต้น คือ คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าของอาณาจักร-กองทัพส่วนตัวเล็กๆที่ตัวเองสร้างขึ้น ที่ตัวเองอยากจะทำอะไรก็ได้มากกว่า
Image may contain: text
Image may contain: text
Image may contain: 9 people, people smiling, text


Jakrapob, nicknamed “Nai Kok” by the king, was responsible for carrying out a lot of the killings and torture ordered by Vajiralongkorn.
BREAKING—Jakrapob Bhuridej, the most notorious henchman of Thailand’s King Vajiralongkorn, has just been fired. Jakrapob, nicknamed “Nai Kok” by the king, was responsible for carrying out a lot of the killings and torture ordered by Vajiralongkorn.
พลเอกจักรภพ ภูริเดช เจ้าพ่อชื่อเล่นว่า“ นาย ค๊อก”ที่กษัตริย์เป็นผู้ตั้งให้ เป็นผู้รับผิดชอบในการฆ่าและทรมานคนตามคำสั่งของวชิราลงกรณ์เอง พลเอกจักรภพ ภูริเดช เป็นลูกน้องคนสนิทของกษัตริย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดของประเทศไทยในการฆ่าและช้อมทรมานทหารตำรวจและคนที่กษัตริย์ไม่พอใจซึ่งเวลานี้เขาเพิ่งถูกปลดออกจากหน้าที่โดยกษัตริย์วชิราลงกรณ์ผูเป็นนายโดยตรงของเขา.. 
 

  1. Andrew MacGregor Marshall
  2. Meanwhile the king is in Germany, going up a mountain in a crop top. 

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar