เปิดข้อกฎหมายคดียุบพรรคอนาคตใหม่: เงินกู้ไม่ใช่รายได้และกฎหมายไม่ได้ห้าม
เมื่อ 18 ก.พ. 2563 โดย iLaw
21 กุมภาพันธ์ 2563
ศาลรัฐธรรมนูญมีนัดอ่านคำวินิจฉัยคดียุบพรรคอนาคตใหม่
หลังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
ยื่นคำร้องจากกรณีพรรคอนาคตใหม่กระทำการฝ่าฝืน มาตรา 72
พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560
ที่ห้ามมิให้พรรคการเมืองและผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองรับบริจาคเงิน
ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด โดยรู้หรือควรจะรู้ว่าได้มาโดยไม่ชอบ
จากการกู้เงิน ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค เป็นเงินจำนวน
191,200,000 บาท
คดีดังกล่าวนับเป็นคดีที่สองที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยข้อร้องเรียนให้ยุบพรรคอนาคตใหม่
โดยก่อนหน้านี้ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัย 'ยกฟ้อง'
พรรคอนาคตใหม่ในข้อหาล้มล้างระบอบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมาแล้ว
ส่วนในคดีนี้ปมปัญหาที่สำคัญ คือ พรรคการเมืองสามารถกู้เงินได้หรือไม่
หรือเป็นนิติกรรมอำพรางเพื่อรับเงินบริจาค
ทั้งนี้
จากงานวิชาการและมุมมองของนักกฎหมายมีส่วนที่เห็นตรงกันว่า
พรรคการเมืองไม่ได้มีสถานะเป็นองค์กรของรัฐ
จึงต้องใช้หลักกฎหมายเอกชนกับพรรคการเมือง ซึ่งหมายความว่า ต้องใช้หลักการ
"ทำได้ทุกอย่าง ที่ไม่มีกฎหมายห้าม"
ในเมื่อไม่มีกฎหมายสั่งห้ามพรรคการเมืองกู้เงิน
การกู้เงินก็ต้องสามารถกระทำได้ อีกทั้งในทางการเงินการบัญชี
เงินกู้ไม่นับเป็นรายได้หรือเงินบริจาค แต่เป็นหนี้สินที่ต้องชำระคืน
กกต. ชี้ การกู้เงิน เท่ากับ มีรายได้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คดียุบพรรคอนาคตใหม่ในคดีที่สอง
สืบเนื่องมาจาก กกต. ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจาก กกต. เห็นว่า
พรรคอนาคตใหม่ฝ่าฝืน มาตรา 72 พ.ร.ป.พรรคการเมืองฯ
ที่ห้ามมิให้พรรคการเมืองและผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองรับบริจาคเงิน
ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด
โดยรู้หรือควรจะรู้ว่าได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
โดย
กกต. ตีความว่า การที่พรรคอนาคตใหม่กู้เงิน 'ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ'
หัวหน้าพรรค เป็นเงินจำนวน 191,200,000 บาท เป็นการทำ "นิติกรรมอำพราง"
หมายความว่า
การทำหนังสือกู้ยืมนั้นเป็นเพียงในแง่เอกสารแต่ไม่ได้มีเจตนาจะกู้ยืมจริง
กกต. เห็นว่า เจตนาที่แท้จริงของเงินจำนวนนี้ คือ ธนาธรจะบริจาคเงินให้พรรค
ในหลักกฎหมายนิติกรรมสัญญา
หากมีการทำนิติกรรมอำพราง คือ
เจตนาที่แท้จริงเป็นอย่างหนึ่งแต่เขียนในเอกสารเป็นอย่างหนึ่ง
กฎหมายให้บังคับใช้กันตามเจตนาที่แท้จริง
เนื่องจาก
พ.ร.ป.พรรคการเมืองฯ มาตรา 62
ซึ่งเป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับที่มารายได้ของพรรคการเมืองนั้นระบุว่า
รายได้ของพรรคการเมือง มีเจ็ดประเภทประกอบด้วย 1) เงินทุนประเดิม 2)
เงินค่าธรรมเนียม 3) เงินจากการจำหน่ายสินค้า 4) เงินจากกิจกรรมระดมทุน 5)
เงินจากการบริจาค 6) เงินจากกองทุน 7) ดอกผลของทรัพย์สิน
มาตรา
62 ไม่ได้ระบุให้ เงินกู้เป็นรายได้ที่พรรคการเมืองพึงจะได้รับ
และไม่มีบทบัญญัติใดใน พ.ร.ป.พรรคการเมืองฯ ที่ให้พรรคการเมืองกู้เงินได้
กกต.จึงตีความว่า
เงินกู้ของพรรคอนาคตใหม่เป็นการรับบริจาคทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดที่
"ไม่ชอบด้วยกฎหมาย" เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติให้กระทำได้
อย่างไรก็ดี
ในการรับเงินบริจาคของพรรคการเมือง ตามพ.ร.ป.พรรคการเมืองฯ มาตรา 66
ระบุว่า บุคคลใดจะบริจาคเงิน ทรัพย์สิน
หรือประโยชน์อื่นใดให้แก่พรรคการเมืองมีมูลค่าเกินสิบล้านบาทต่อพรรคการเมืองต่อปีมิได้
และในกรณีที่บุคคลนั้นเป็นนิติบุคคล การบริจาคเงิน ทรัพย์สิน
หรือประโยชน์อื่นใดให้แก่พรรคการเมืองไม่ว่าพรรคเดียวหรือหลายพรรคเกินปีละห้าล้านบาท
ต้องแจ้งให้ที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นทราบในการประชุมใหญ่คราวต่อไปหลังจากบริจาคแล้ว
และพรรคการเมืองจะรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน
หรือประโยชน์อื่นใดซึ่งมีมูลค่าเกินสิบล้านบาทต่อปีไม่ได้
สำหรับผู้ที่บริจาคเกินที่กฎหมายกำหนด
พ.ร.ป.พรรคการเมืองฯ มาตรา 124 กำหนดให้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี
หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกำหนดห้าปี
และในกรณีที่ผู้กระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าวเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของบุคคลซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคล
ให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของบุคคล
ซึ่งสั่งการหรือรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้นด้วย
ส่วนพรรคการเมืองที่รับเงินบริจาคเกินที่กฎหมายกำหนด
พ.ร.ป.พรรคการเมืองฯ มาตรา 125
กำหนดให้ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งล้านบาท
และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรคการเมืองมีกำหนดห้าปี
และให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด
ส่วนที่เกินมูลค่าที่กำหนดไว้ให้ตกเป็นของกองทุนสนับสนุนพรรคการเมือง
"เงินกู้เป็นหนี้สิน" ไม่ใช่รายได้ เงินบริจาค หรือผลประโยชน์อื่นใด
ในคดียุบพรรคอนาคตใหม่มีปมปัญหาแรกที่ต้องทำความเข้าใจก่อนคือ
สถานะของเงินกู้ว่า ถือเป็นรายได้ ทรัพย์สิน เงินบริจาค
หรือผลประโยชน์อื่นใด หรือไม่ เพราะหากไม่นับเป็นรายได้ก็ไม่ต้องนำมาตรา 62
มาพิจารณาตั้งแต่แรก
ในประเด็นนี้ ดร.พีรภัทร ฝอยทอง
หรือ ดร.พีท นักวางแผนการเงินส่วนบุคคล เคยให้ความเห็นว่า
การกู้ยืมเป็นการก่อหนี้สินที่ต้องใช้คืน
ถ้าจะเป็นรายรับหรือรายได้หมายความว่ามันต้องโอนมาแล้วมาเป็นของผู้ได้รับหรือมีความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์
ด้าน สฤณี อาชวานันทกุล
นักวิชาการอิสระด้านการเงินและธุรกิจที่ยั่งยืน ก็มองว่า
เงินกู้ไม่ใช่รายได้หากเป็น ‘หนี้สิน’ ที่ต้องใช้คืน ดังนั้น
สถานะเงินกู้ของพรรคอนาคตใหม่จึงไม่เข้าข่ายเป็นรายได้เพราะพรรคอนาคตใหม่มีภาระที่ต้องชดใช้คืน
และได้มีการดำเนินการชดใช้คืนไปบางส่วนแล้ว
อีกทั้ง ในความเห็นของคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนของ กกต.
ก็มีมติเอกฉันท์ว่า การที่พรรคอนาคตใหม่ทำสัญญากู้ยืมไม่ใช่รายได้
แต่เป็นหนี้สิน และพรรคการเมืองเป็นนิติบุคคลตาม พ.ร.ป.พรรคการเมืองฯ
จึงสามารถกู้เงินเพื่อใช้ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้
นอกจากนี้
ใน พ.ร.ป.พรรคการเมืองฯ ไม่ได้ระบุว่า "เงินกู้"
มีสถานะเป็นเงินบริจาคหรือผลประโยชน์อื่นใด
และพรรคการเมืองจะได้รับผลประโยชน์อื่นใดจากเงินกู้ได้
ก็ต่อเมื่อผู้ให้กู้ยืมเงินได้ลดหนี้หรือระงับหนี้ให้พรรคการเมือง
แต่ถ้าหากยังมีสถานะเป็นลูกหนี้เงินกู้แและมีการลงบัญชีว่าเป็นหนี้สิน
เงินดังกล่าวจะต้องไม่ถือว่าเป็นรายได้ เงินบริจาค หรือผลประโยชน์อื่นใดได้
พรรคการเมืองไม่ใช่องค์กรของรัฐ กู้ได้เพราะกฎหมายไม่ได้ห้าม
ปมปัญหาข้อที่สองของคดียุบพรรคอนาคตใหม่ คือ เมื่อไม่มีบทบัญญัติให้พรรคการเมืองกู้เงินได้ พรรคการเมืองสามารถกู้เงินได้หรือไม่
สำหรับประเด็นนี้ จำเป็นจะต้องพิจารณาจากสถานะทางกฎหมายของพรรคการเมืองเสียก่อน โดย เจษฎ์ โทณวณิก
อดีตที่ปรึกษาคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) เคยกล่าวว่า
ต้องวางหลักการให้ชัดก่อนว่า
พรรคการเมืองไทยมีสถานะเป็นองค์กรเอกชนหรือองค์กรมหาชน
ถ้าพรรคการเมืองมีสถานะเป็นองค์กรมหาชน
การจะทำอะไรในสิ่งที่แม้กฎหมายไม่ได้ห้าม ก็ทำไม่ได้
คือจะทำได้เฉพาะสิ่งที่กฎหมายอนุญาตเท่านั้น
เมื่อพิจารณาตามบทความ
"สถานะทางกฎหมายของพรรคการเมืองในการปกครองระบอบประชาธิปไตยทางผู้แทน:
ศึกษาเชิงประวัติศาสตร์และเชิงกฎหมายเปรียบเทียบ" ของ วันรัฐ งามนิยม
ซึ่งเผยแพร่ในวารสารบัณฑิตศึกษานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จะพบว่า
พรรคการเมืองมีสถานะทางกฎหมายเป็นองค์การเอกชน และมีสภาพบุคคลเป็นนิติบุคคล
เพราะองค์ประกอบที่เป็นรากฐานสำคัญของพรรคการเมือง คือ
"การรวมกลุ่มของบุคคล"
ด้วยลักษณะสำคัญนี้ทำให้พรรคการเมืองเป็นนิติบุคคลเอกชน ในหลักการเดียวกับ
ห้างหุ้นส่วน บริษัท หรือมูลนิธิ
หมายความว่า พรรคการเมืองสามารถกู้เงินได้ เพราะไม่มีบทบัญญัติใดห้าม สอดคล้องกับความเห็นของ ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล
อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งมองว่า
พรรคการเมืองเป็นนิติบุคคล เป็นการรวมตัวกันของพลเมือง
ตามหลักกฎหมายแพ่งการไม่ห้ามแปลว่าทำได้
นอกจากนี้ยัง
รัฐธรรรมนูญ 2560 มาตรา 25 บัญญัติไว้ว่า "สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย
นอกจากที่บัญญัติคุ้มครองไว้เป็นการเฉพาะในรัฐธรรมนูญแล้ว
การใดที่มิได้ห้ามหรือจํากัดไว้ในรัฐธรรมนูญหรือในกฎหมายอื่น
บุคคลย่อมมีสิทธิและเสรีภาพที่จะทําการนั้นได้และได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ
..."
ถ้าศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าผิด พรรคถูกยุบ-กรรมการบริหารถูกตัดสิทธิ
ในวันที่
21 กุมภาพันธ์ 2563 ศาลรัฐธรรมนูญมีนัดอ่านคำวินิจฉัยคดียุบพรรคอนาคตใหม่
ซึ่งถ้าหากศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยแล้ว มีคำตัดสินว่า “ผิด”
จะส่งผลตามมาก็คือ พรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ กรรมการบริหารพรรค 15 คน
จะถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ตาม พ.ร.ป.พรรคการเมืองฯ มาตรา 92
และกรรมการบริหารพรรคที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะต้องพ้นจากตำแหน่งเนื่องจากขาดคุณสมบัติ
ส่วน
ส.ส. ที่เหลือของพรรคการเมืองอนาคตใหม่ ยังไม่สิ้นสภาพ ส.ส.
และต้องเข้าเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองอื่นภายใน 60 วัน
มิเช่นนั้นสมาชิกภาพของส.ส. สิ้นสุดลง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (10)
อีกทั้ง
พ.ร.ป.พรรคการเมืองฯ มาตรา 94 ยังกำหนดให้
กรรมการบริหารพรรคที่ถูกยุบไม่สามารถมีส่วนร่วมในการจดทะเบียนพรรคการเมืองขึ้นใหม่
ไม่สามารถเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองได้ เป็นเวลา 10 ปี
ถ้าฝ่าฝืนจะต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่เจ็ดปีถึงสิบห้าปี
หรือปรับตั้งแต่หนึ่งแสนสี่หมื่นบาทถึงสามแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
แต่ผลกระทบสำคัญ
คือ จำนวนที่นั่ง ส.ส. ในสภา
เพราะอาจจะทำให้เสียงของผู้แทนในสภาหายไปอย่างถาวร ขึ้นอยู่กับการตีความของ
กกต. ว่า บัญชีรายชื่อของพรรคอนาคตใหม่จะสามารถใช้ได้อยู่หรือไม่
เนื่องจาก รัฐธรรมนูญ มาตรา 105 (2) ระบุว่า
ในกรณีที่ไม่มีรายชื่อเหลืออยู่ในบัญชีที่จะเลื่อนขึ้นมาแทนตําแหน่งที่ว่าง
ให้ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อประกอบด้วยสมาชิกเท่าที่มีอยู่ ดังนั้น
ถ้าสามารถเลื่อนลำดับ ส.ส.บัญชีรายชื่อในลำดับถัดไปมาแทน
ส.ส.ที่เป็นกรรมการบริหารพรรค เสียงของผู้แทนก็จะยังอยู่
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar