ข่าววิเคราะห์
— “นี่ไม่ใช่จุดจบ แต่คือจุดเริ่มต้น” รองหัวหน้าพรรค ปิยบุตร แสงกนกกุล
บอกกับผู้สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ หลังจากที่ผู้พิพากษายุบพรรค
และแบนแกนนำพรรค ออกจากการเมืองเป็นเวลาหนึ่งทศวรรษ
“มันจะลุกไปเหมือนไฟลามทุ่ง”
คำตัดสินโดยศาลรัฐธรรมนูญ อันเป็นที่รู้กันดีถึงความลำเอียงอันน่าอดสู ได้ฉีกกระชากรากเลือด ให้อาณาจักรที่ถูกแบ่งแยกอยู่แล้ว ให้ร้าวแตกแหกห่างออกไปมากขึ้น ชาวไทยนับล้านๆ ซึ่งต้องการ ประชาธิปไตย เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และต้องการกวาดล้างคอรัปชั่นให้หมดไปจากแผ่นดิน ได้เห็นชัดแจ้งรู้แท้แก่ใจขึ้นไปกว่าเดิมแล้วว่า พวกชนชั้นสูงนิยมเจ้า และเหล่าทหาร มุ่งมั่นที่จะยึดกุมอำนาจ ยื้อยุดทั้งประเทศให้ตกปลักอยู่กับอดีตตลอดไป
ชตากรรมของคดีนี้ ตกอยู่ที่ ข้อกล่าวหาว่า เงินกู้จำนวน ๑๙๑ ล้านบาท ที่หัวหน้าพรรค ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ออกให้ยืม เป็นความจำเป็นเพื่อความอยู่รอดของพรรค เนื่องจาก คณะกรรมการการเลือกตั้ง กกต สั่งห้ามพรรคมิให้หาทุน หรือรับบริจาค นั้น เป็นการผิดกฎหมาย
ไม่ปรากฏว่ามีกฎหมายใด ห้ามพรรคการเมืองมิให้รับเงินกู้ ถึงแม้ว่ากฎหมายที่ใช้ในปัจจุบัน กำหนดจำนวนจำกัดของเงินบริจาคที่พรรคการเมืองสามารถรับได้ มาตรฐานการบัญชีในสากลโลก ชี้ชัดลงไปว่า เงินกู้ ไม่ใช่ รายรับ หรือ เงินบริจาค มันเป็นเงินกู้ยืมเพื่อใช้คืน
ดังนั้น เพื่อหาเรื่องยัดความผิดให้ อนค ถูกบดขยี้ลง ผู้พิพากษาต้องหาเหตุมาประกอบ ในคำพิพากษา จึงได้ว่า ดอกเบี้ยที่ธนาธรคิดกับพรรคมันต่ำเกินไป และแถลงแจงต่อไปอีกว่า นี่เป็นการแสดงว่า ธนาธร พยายามหาทางควบคุมพรรคเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว นี่มันคำตัดสินตลกร้ายอะไรกัน
แต่แม้ว่า คำพิพากษา จะน่าหัวเราะเพียงใด มันก็เป็นที่คาดเดากันอยู่แล้ว ผมได้ทายไว้ใน ข่าววิเคราะห์ ที่คุณจะอ่านได้ที่นี่ https://www.facebook.com/zenjournalist/posts/10157559056721154
คำพิพากษานี้ เป็นความอยุติธรรมอีกครั้ง ในประวัติการริดรอนประชาธิปไตย มานานแสนนานของพวกชนชั้นสูงนิยมเจ้า ที่ได้ขัดขืนต่อต้านระบอบประชาธิปไตยมาตั้งแต่การปฏิวัติปี พศ ๒๔๗๕ ซึ่งได้ล้มเลิกระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชในสยามประเทศ ชนชั้นสูงชิงชังระบอบประชาธิปไตย เพราะมันมีพื้นฐานอยู่ที่ ทุกคนมีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน คนพวกนี้มุ่งมั่นที่จะประกันว่า สังคมไทยยังดำรงการแบ่งชั้นวรรณะ ที่จะอำนวยให้พวกเขาได้นั่งเชิดเหนือหัวชาวบ้านด้วยฐานันดรสูงสุด
กกต และศาลรัฐธรรมนูญ มีบทบาทต่อต้านฝ่ายประชาธิปไตย เป็นประจำ เช่น พรรคอนาคตใหม่ เพื่อไทย และ ไทยรักษาชาติที่ถูกยุบไปก่อนที่จะได้ลงเลือกตั้งปีที่แล้วเสียอีก ครั้งแล้วครั้งเล่าที่พวกนั้นให้คำตัดสินที่ประกันว่า ฝ่ายปกครองนิยมเจ้าชาวอีลีต จะได้รักษาอำนาจการควบคุมไว้ในกำมือ บ่อยครั้งที่ศาลได้แปลความกฎหมายอย่างกับเรื่องตลก เพียงเพื่อตัดสินให้เป็นไปเข้าทางความต้องการของในวังและฝ่ายทหาร
กษัตริย์วชิราลงกรณ์ และผู้นำกองทัพบกคลั่งเจ้า อภิรัชต์ คงสมพงศ์ ได้มุ่งมั่นที่จะบดขยี้ พรรคอนาคตใหม่ มาแต่แรกตั้ง และยิ่งหนักขึ้นไปอีก เมื่อ อนค ได้รับชัยชนะอย่างงดงาม โดยมี สส ของพรรคได้รับเลือกถึง ๘๑ ที่นั่งในการเลือกตั้งทั่วไปใน พศ ๒๕๖๒
ตัวกษัตริย์มีความหวั่นระแวงว่า อนค และคนไทยรุ่นใหม่วัยเยาว์ จะเพิ่มความโน้มเอียง ที่จะยืนหยัดต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชน จนถึงขั้นวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ และพวกทหารในอำนาจอย่างเปิดเผย โดยเฉพาะบนโซเชียลมีเดีย
พรรคอนาคตใหม่ ต้องการสร้างรากฐานทางประชาธิปไตยในประเทศไทย ในขณะที่ วชิราลงกรณ์ ต้องการลากประเทศย้อนยุคถอยหลังกลับสู่วันวานของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช ฝ่ายวังหลวงจึงแสดงความประสงค์อันชัดเจน ที่จะบดขยี้พรรคนี้ และจำคุกคุมขังสมาชิกระดับหัวหน้า หรือไม่ก็ขับออกจากวงการการเมืองไปเสียเลย
อภิรัชต์ ผู้ที่ตัวกษัตริย์กะจะตั้งให้เป็นนายกฯ เมื่อเขามีคุณสมบัติพร้อมในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ก็เกลียดพรรคอนาคตใหม่ เพราะเป็นพรรคที่ได้ประกาศเรียกร้องให้ทหารอย่าได้มายุ่งกับการเมือง และต้องการให้ล้มเลิกระบบการเกณฑ์ทหาร
เมื่อเดือนตุลาคมที่แล้ว อภิรัชต์ ออกมาพูดเหมือนคนสติแตกอัดธนาธร กับ พรรค อนค โดยตรง เขาได้อ้างว่า พวกปัญญาชนฝ่ายซ้าย คอมมิวนิสต์ พวกนักการเมืองฉ้อโกง และ ชาวต่างประเทศที่ชั่วร้าย กำลังสมคบส้องสุมกันที่จะทำลายล้างประเทศไทย ด้วยการใช้เทคนิคแบบ “สงครามลูกผสม” โดยอาศัยการโฆษณาชวนเชื่อ การปลุกปั่นปลุกระดม การประท้วง รวมทั้งการให้ข้อมูลบิดเบือนอย่าง ข่าวปลอม เฟคนิวส์
การที่ อภิรัชต์ ยังหมกมุ่นอยู่กับเรื่องผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์อยู่อีกนี้ แสดงว่าเขายังติดแหง็กอยู่กับทั้งอดีต และทั้งทฤษฏีเกี่ยวกับผู้ก่อการร้าย อย่างน่าสมเพชที่สุด - มันชี้ชัดเลยว่า ในวัง กับผู้ปกครองไทย ยังยึดการใช้โฆษณาชวนเชื่อ การล้างสมอง และข่าวปลอมๆ มาช่วยเกาะยึดกับการครองอำนาจ และบั่นทอนความเป็นประชาธิปไตย
วชิราลงกรณ์ปกครองประเทศด้วยความหวาดกลัว จะมีก็แต่คนที่ถูกล้างสมอง หรือหลอกตัวเอง ถึงจะก้มหัวให้เขาได้ แต่ทุกคนก็หวาดกลัวตัวกษัตริย์ ด้วยเหตุที่ต้องจำยอมเพราะ ร ๑๐ ได้แสดงตัวอย่างครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าเขาเป็นกษัตริย์ที่ใช้ความรุนแรง เป็นคนสติมิคงที่ และมีความจงชังระบอบประชาธิปไตยเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับพยายามลบล้างร่องรอยของการปฏิวัติ ใน พศ ๒๔๗๕ ออกจากสถานที่ทางประวัติศาสตร์ทุกแห่งของไทย ไม่ให้หลงเหลือเป็นที่บาดตาบาดใจ
คนสนิทวงในของเขาหลายต่อหลายคน ได้ถูกฆ่าทิ้งไป เพียงเพราะไปทำอะไรให้ทรงกริ้ว และยังมีอีกมากมายที่ถูกคุมขัง ทนทัณฑ์ทรมาน บ่อยไปเรื่องจุกจิกด้วยเรื่องจุกจิกหยุมหยิม ภรรยาเดิมของวชิราลงกรณ์สามคน รวมทั้ง “เจ้าคุณพระ” สินีนาฏ “ก้อย” วงศ์วชิรภักดิ์ ล้วนเคยต้องทัณฑ์อันสุดโหด หลังจากที่เขาหน่ายแหนงไปแล้ว
ขณะที่ศาลให้คำพิพากษา วชิราลงกรณ์ เองไม่ได้อยู่ในประเทศเสียด้วยซ้ำ พระมหากษัตริย์ แห่งประเทศไทย แทบจะไม่ได้ใช้ชีวิตในประเทศของตัวเอง แต่พอใจที่จะไปใช้ชีวิตหรูฟู่ฟ่าในยุโรป ผลาญภาษีประชาราษฎร์ เขากลับมาเมืองไทยได้วันเดียว แล้วก็กลับไปพำนักในโรงแรมห้าดาว ในเมืองท่องสกีเทือกเขา เองเกิลเบิร์ก ในสวิส กับภรรยา ราชินีสุทิดา และขบวนผู้ติดตามกองใหญ่เต็มไปด้วยข้าสนองพระบรมราชโองการ และคนรับใช้อีกหลายโหล
ก่อนหน้านี้ เขาใช้เวลาส่วนใหญ่พำนักอยู่ที่ โรงแรม แกรนด์ โฮเตล ซอนเนนบิคล์ ในเยอรมนี ที่เมือง การ์มิช-พาเทนเกอเช่น กับ สนมหลวง ก้อย พร้อมทั้งเหล่านางบำเรอในฮาเร็มที่นั้น แต่หลังจากที่ก้อยถูกกำจัดออกไปในเดือน ตุลาคม ที่แล้ว เขาก็กลับมาอยู่กับภรรยาซึ่งพักอยู่ที่สวิสเซอร์แลนด์ มากขึ้น
วชิราลงกรณ์ รู้ตัวดีว่าเป็นที่ชิงชังในวงกว้างเพียงใด เขาจึงวางมาตรการสุดขั้วเพื่อป้องการการถูกโค่นลง ถึงขนาดก่อตั้ง กรมทหารชั้นอีลีตใหม่ คือ กรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ ๙๐๔ ให้อยู่ใต้บังคับบัญชาโดยตรงส่วนพระองค์ รวมไปทั้งการรวบ กองกำลังทหารสำคัญๆหลายกรมกอง ให้มาขึ้นอยู่ใต้การบัญชาการของบรรดานายพลคลั่งเจ้า แล้วย้ายทหารกรมกองอื่นๆออกนอกกรุงเทพฯไปหมด ร ๑๐ จึงกุมกำลังทหารในพระนครโดยเด็ดขาดแต่ผู้เดียว
สถาบันกษัตริย์ และทหารผู้กุมอำนาจใช้ข้ออ้างว่าตนเป็น สถาบันศักดิ์สิทธิ์ ที่ได้ตรากตรำทำงานเหนื่อยยากแสนสาหัสสากรรจ์ เพื่อการพัฒนาประเทศมาตลอด แต่โดยความเป็นจริงแล้ว สถาบันกษัตริย์ ได้กดหัวประชาชนมาตลอดทั่วทั้งประวัติศาสตร์ของชาติไทย และทหารกล้าของชาติ หาได้เคยสู้รบตบมือในสงครามที่แท้จริงไม่ มีแต่ทหารไทยได้เข่นฆ่าสังหารชีวิตประชาชนพลเรือนมือเปล่าไร้ทางสู้ มามากหลายต่อหลายเท่า เมื่อเทียบกับชีวิตชาวไทยที่สูญเสียไป จากการรุกรานโดยศัตรูภายนอกตลอดชั่วยุคสมัยที่ไทยอยู่ใต้ราชวงศ์จักรีรวมกันทั้งหมด สองสถาบันทั้งวังทั้งทหารมาวุ่นวายจุ้นจ้านกับการเมือง แล้วยัดกระเป๋าตัวเอง ไปด้วยภาษีอากรจากประชาชนผู้หาเช้ากินค่ำ
ฝ่ายตุลาการอ้างตัวว่ามีความบริสุทธิ์ยุติธรรม แต่ผู้พิพากษาไทยส่วนใหญ่ไร้ความสามารถ ปราศจากความซื่อสัตย์สุจริต กินสินบาทคาดสินบน และตลอดมาก็ยืนข้างพวกอีลีตไฮโซ ฝ่ายตรงข้ามจากประชาชน โดยไร้การคำนึงถึงกฎหมาย หรือความผิดถูกชั่วดี
ชาวไทยในขบวนการเสื้อแดง ที่เริ่มก่อตัวเคลื่อนไหวขึ้นหลังจากการรัฐประหารในปี พศ ๒๕๔๙ ซึ่งได้โค่นล้ม ทักษิน ชินวัตร นายกรัฐมนตรีผู้เป็นที่นิยมชมชอบ และประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย ก็ได้รู้เห็นความเป็นจริงเหล่านี้มากว่าทศวรรษแล้ว พวกเขานิยามการประจักษ์ถึงความจริงแท้ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยว่า เป็นการ “ตาสว่าง” ซึ่งแปลได้คร่าวๆในภาษาอังกฤษว่า เป็นการตื่นตัว ลืมตาขึ้นเห็นความเป็นจริง
การเคลื่อนไหวของชาวเสื้อแดง มีฐานในวงกว้าง แต่ผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่ มาจากถิ่นยากจนในภาคเหนือ และอีสาน พร้อมกับคนไทยชั้นล่างที่มีเชื้อสายลาวในกรุงเทพฯ พรรคอนาคตใหม่ ได้ฐานสนับสนุนจากคนในวงกว้างกว่ามากจากทั่วทั้งประเทศ รวมไปถึงชนชั้นกลางหรือชั้นสูงที่มีความคิดก้าวหน้าในกรุงเทพฯ และยังได้รับการสนับสนุนจากคนทั่วทุกวัย โดยเฉพาะความชมชอบจากคนวัยหนุ่มสาว
การบดขยี้พรรคอนาคตใหม่ อย่างงุ่มง่ามไร้ความเป็นธรรมนั้น เป็นหลักประกันว่า จะเกื้อให้เกิดการ “ตาสว่าง” ระหว่างชาวไทย ให้เห็นทะลุปรุโปร่างกับการตลบแตลงของทหารและสถาบันกษัตริย์
ในวันก่อนหน้าการตัดสินยุบพรรคยอดนิยม และกุดหัวทางการเมืองของแกนนำพรรคอันเป็นที่นิยมชมชอบ เพียงวันเดียว ก็มีข่าวออกมาว่า ชายวัน ๒๐ ปีชาวชลบุรี ถูกจับเข้าห้องขังแบบไม่ให้ประกันตัว ด้วยข้อกล่าวหาว่า เขาทวีตวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์
จากเวลาอันใกล้ชิดกันของการจับกุมคุมขัง บอกให้เห็นว่า ฝ่ายปกครองกำลังผวากับการตอบกลับในทางลบบนโซเชียลมีเดีย อันเป็นที่แน่นอนว่าพวกเขาจะโดนทวีตถล่ม นี่เป็นเหตุผลที่สถาบันกษัตริย์ ใช้การบังคับหุบปากการวิพากษ์วิจารณ์มาตลอด ด้วยการจับคนโชคร้ายไม่กี่คนมาลงโทษลงทัณฑ์อันสาหัส เป็นเยี่ยงอย่าง เหมือนการเชือดไก่ให้ลิงดู
หากนี่เป็นแผนรับมือของพวกนั้น มันไม่เวิร์คเลย โซเชียลมีเดียไทย ลุกเป็นไฟไปแล้ววันก่อนนี้ ต่อการเอาเรื่องเอาราวกับเด็กหนุ่มที่จะต้องโทษจำขังไปหลายปี จนแฮชแท็ก #saveนิรนาม ขึ้นมาเป็นท็อบเทร็นด์อันดับหนึ่งบนทวิตเต้อร์
แล้ววันวานนี้ โซเชียลมีเดีย ระเบิดเปิดเปิงปะทุขึ้นด้วยความโกรธแค้น และสิ้นหวัง แฮชแท็กท้อปเทร็นด์มาแรงด้วยคำว่า #Saveอนาคตใหม่ ประยุทธ จันทร์โอชา นายกฯหุ่นเชิดซึ่งคงจะถูกเขี่ยลง ให้แทนที่ด้วยสมุนคนโปรดของกษัตริย์ อภิรัชต์ คงสมพงศ์ ในอีกไม่กี่ปี ได้โพสต์ข้อความทั้งบนเฟซบุ๊คและทวิตเต้อร์หลังจากการประกาศคำตัดสิน ออกมาเรียกร้องให้ฝ่ายค้านทำตัวมีเหตุมีผล และรู้จักทำความสร้างสรรค์ ความเห็นของเขา ไปจี้ใจจนให้คนก่นด่าทะลักไหลท่วมสังคมออนไลน์ จนแทบลบกันไม่ทันไปทั้งสองสถาน แสดงเห็นไส้เห็นพุงในความขี้ขลาดตาขาว ของนายกฯทหารหาญของไทย ที่ยกตัวว่าเป็นทหารผ่านศึกเก่งกล้าจากสนามรบ แต่มาวิ่งหางจุกหนีหัวซุกหัวซุน เพราะเขาไม่มีปัญญาตอบรับคำวิพากษ์วิจารณ์บนสนามออนไลน์
เมื่อแกนนำ อนค ๑๐ คน ถูกห้ามลงสนามการเมืองเป็นเวลาถึง ๑๐ ปี ตัดจำนวน สส ของพรรค ให้ลดลงเหลือ ๖๔ คน ที่จำต้องหาพรรคการเมืองใหม่ไปสังกัดภายในเวลา ๖๐ วัน ซึ่งทางฝ่ายนำของ อนค กล่าวว่า ได้ฟอร์มพรรคใหม่เพื่อรองรับไว้แล้ว
สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ธนาธร ได้บอกอย่างชัดเจนมาหลายครั้งแล้วว่า เขากะไว้แล้วว่าพรรคจะถูกยุบ จึงได้เตรียมแผนรับมือไว้แล้ว ซึ่งรวมไปทั้งตั้งพรรคใหม่ไว้รองรับ สส ของ อนค ธนาธร และปิยบุตร จะเดินหน้าสร้างการเคลื่อนไหวในวงกว้างกว่านี้ เพื่อผลักดันให้สังคมก้าวไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ในเมื่อวงในทางการเมืองคือรัฐสภา เต็มไปด้วยคอรัปชั่น และความไร้ประสิทธิภาพ ธนาธรและปิยบุตร จะทำอะไรได้เห็นผลมากกว่า เมื่อออกมาเคลื่อนไหวในวงนอก เพื่อให้ได้มาซึ่งการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกของสังคม แทนที่จะสู้วงในที่พวกเขาเสียเปรียบขนานหนัก อย่างแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะขัดขืนอิทธพลของการเมืองในระบบ
และนี่ก็เป็นการแสดงว่า การที่ อนค ถูกบดขยี้อย่างงุ่มง่าม เป็นทางเลือกสุดโง่งมของฝ่ายปกครองไทย ที่ทำให้สังคมที่ร้าวอยู่แล้วแตกเป็นเสี่ยงๆ สร้างความแปลกแยกให้คนไทยหลายล้าน โดยเฉพาะคนหนุ่มคนสาวที่เป็นอนาคตของชาติ ทำให้เห็นชัดต่อทุกคนแล้วว่า มันไม่มีความยุติธรรม หรือ ประชาธิปไตย ในประเทศไทย ที่ผ่านมาทุกอย่างที่เคยถูกบอกมา ก็มีแต่คำโกหกหลอกลวงทั้งนั้น
ฝ่ายปกครองพากันเคลิ้มไปว่า มันยังเป็นไปเช่นวันวาน ที่เคยเป็นเรื่องง่ายในการบดขยี้ขบวนการประชาธิปไตย พวกเขาเขลาเกินไปที่จะแจ้งใจได้ว่า กำลังต่อสู่ขัดขืน อนาคต พวกเขาหาได้ตระหนักว่า อนาคตใหม่ ไม่ได้เป็นเพียงแค่พรรคการเมือง ที่จะถูกยุบหรือกุดหัวได้ง่ายๆ แต่มันเป็นการเคลื่อนไหวของมวลชน การเคลื่อนไปที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ มีแต่จะแกร่งขึ้นไปตามกาลเวลา
ธนาธร รู้ตลอดมาแล้วว่า อนค จะโดนยุบ เขารู้ว่าอาจจะต้องติดคุก – เป็นสิ่งที่เขาคาดไว้แล้ว ตั้งแต่ตั้งพรรค เขาไม่ได้เล็งแค่การเมืองในระบบรัฐสภา เขามองเกมส์ใหญ่ไปกว่านั้น – คือการ เปิดหูเปิดตา ชาวไทย ให้เห็นถึงความอยุติธรรม ถึงการปฏิบัติลำเอียงสองมาตรฐานที่กำลังทำลายบ้านเมือง คำพิพากษาในวันวาน แสดงแล้วว่า ฝ่ายชนชั้นปกครอง วิ่งเข้าเป้า ช่วยให้ชาวไทยทั้งหมดได้เห็นแท้แน่ชัดไปแล้วว่า มันไม่มีความเป็นประชาธิปไตยที่แท้ทรู หรือแม้กระทั่งซากของขื่อแปในสังคม
ปิยบุตร พูดถึงไฟไหม้ป่า แต่การลุกขึ้นมาตาสว่างคงจะเป็นไปอย่างไฟคุกรุ่นช้าๆ ด้วยความหวาดกลัวต่อ วชิราลงกรณ์ ทุกคนรู้ดีว่า กษัตริย์ กับ อภิรัชต์ จะไม่มีความลังเลที่จะสั่งการสังหารหมู่ผู้ประท้วงเดินถนนแม้แต่น้อยนิด
แต่ไม่ช้าก็เร็ว ประชาชนจะลุกขึ้นมาเขี่ยสถาบันกษัตริย์ และสมุนทหาร ให้ออกจากการยุ่งเกี่ยวทางการเมือง ต่อให้พวกฝู้ปกครองจะพยายามเท่าไร ก็ไม่มีทางที่จะยึดรั้งทั้งประเทศอยู่กับอดีตตลอดกาลไปได้ สักวันหนึ่ง เมื่อประวัติศาสตร์ที่แท้จริงของสถาบันกษัตริย์จะได้ถูกบันทึกอย่างไม่มีการบิดเบือน เมื่อประเทศมีเสรีแล้ว เหตุการณ์เมื่อวานนี้ เป็นวันสำคัญที่จะถูกจารึกไว้ว่า มันเป็นวันเริ่มต้นของการไปสู่จุดจบของระบอบเก่า
คำตัดสินโดยศาลรัฐธรรมนูญ อันเป็นที่รู้กันดีถึงความลำเอียงอันน่าอดสู ได้ฉีกกระชากรากเลือด ให้อาณาจักรที่ถูกแบ่งแยกอยู่แล้ว ให้ร้าวแตกแหกห่างออกไปมากขึ้น ชาวไทยนับล้านๆ ซึ่งต้องการ ประชาธิปไตย เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และต้องการกวาดล้างคอรัปชั่นให้หมดไปจากแผ่นดิน ได้เห็นชัดแจ้งรู้แท้แก่ใจขึ้นไปกว่าเดิมแล้วว่า พวกชนชั้นสูงนิยมเจ้า และเหล่าทหาร มุ่งมั่นที่จะยึดกุมอำนาจ ยื้อยุดทั้งประเทศให้ตกปลักอยู่กับอดีตตลอดไป
ชตากรรมของคดีนี้ ตกอยู่ที่ ข้อกล่าวหาว่า เงินกู้จำนวน ๑๙๑ ล้านบาท ที่หัวหน้าพรรค ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ออกให้ยืม เป็นความจำเป็นเพื่อความอยู่รอดของพรรค เนื่องจาก คณะกรรมการการเลือกตั้ง กกต สั่งห้ามพรรคมิให้หาทุน หรือรับบริจาค นั้น เป็นการผิดกฎหมาย
ไม่ปรากฏว่ามีกฎหมายใด ห้ามพรรคการเมืองมิให้รับเงินกู้ ถึงแม้ว่ากฎหมายที่ใช้ในปัจจุบัน กำหนดจำนวนจำกัดของเงินบริจาคที่พรรคการเมืองสามารถรับได้ มาตรฐานการบัญชีในสากลโลก ชี้ชัดลงไปว่า เงินกู้ ไม่ใช่ รายรับ หรือ เงินบริจาค มันเป็นเงินกู้ยืมเพื่อใช้คืน
ดังนั้น เพื่อหาเรื่องยัดความผิดให้ อนค ถูกบดขยี้ลง ผู้พิพากษาต้องหาเหตุมาประกอบ ในคำพิพากษา จึงได้ว่า ดอกเบี้ยที่ธนาธรคิดกับพรรคมันต่ำเกินไป และแถลงแจงต่อไปอีกว่า นี่เป็นการแสดงว่า ธนาธร พยายามหาทางควบคุมพรรคเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว นี่มันคำตัดสินตลกร้ายอะไรกัน
แต่แม้ว่า คำพิพากษา จะน่าหัวเราะเพียงใด มันก็เป็นที่คาดเดากันอยู่แล้ว ผมได้ทายไว้ใน ข่าววิเคราะห์ ที่คุณจะอ่านได้ที่นี่ https://www.facebook.com/zenjournalist/posts/10157559056721154
คำพิพากษานี้ เป็นความอยุติธรรมอีกครั้ง ในประวัติการริดรอนประชาธิปไตย มานานแสนนานของพวกชนชั้นสูงนิยมเจ้า ที่ได้ขัดขืนต่อต้านระบอบประชาธิปไตยมาตั้งแต่การปฏิวัติปี พศ ๒๔๗๕ ซึ่งได้ล้มเลิกระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชในสยามประเทศ ชนชั้นสูงชิงชังระบอบประชาธิปไตย เพราะมันมีพื้นฐานอยู่ที่ ทุกคนมีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน คนพวกนี้มุ่งมั่นที่จะประกันว่า สังคมไทยยังดำรงการแบ่งชั้นวรรณะ ที่จะอำนวยให้พวกเขาได้นั่งเชิดเหนือหัวชาวบ้านด้วยฐานันดรสูงสุด
กกต และศาลรัฐธรรมนูญ มีบทบาทต่อต้านฝ่ายประชาธิปไตย เป็นประจำ เช่น พรรคอนาคตใหม่ เพื่อไทย และ ไทยรักษาชาติที่ถูกยุบไปก่อนที่จะได้ลงเลือกตั้งปีที่แล้วเสียอีก ครั้งแล้วครั้งเล่าที่พวกนั้นให้คำตัดสินที่ประกันว่า ฝ่ายปกครองนิยมเจ้าชาวอีลีต จะได้รักษาอำนาจการควบคุมไว้ในกำมือ บ่อยครั้งที่ศาลได้แปลความกฎหมายอย่างกับเรื่องตลก เพียงเพื่อตัดสินให้เป็นไปเข้าทางความต้องการของในวังและฝ่ายทหาร
กษัตริย์วชิราลงกรณ์ และผู้นำกองทัพบกคลั่งเจ้า อภิรัชต์ คงสมพงศ์ ได้มุ่งมั่นที่จะบดขยี้ พรรคอนาคตใหม่ มาแต่แรกตั้ง และยิ่งหนักขึ้นไปอีก เมื่อ อนค ได้รับชัยชนะอย่างงดงาม โดยมี สส ของพรรคได้รับเลือกถึง ๘๑ ที่นั่งในการเลือกตั้งทั่วไปใน พศ ๒๕๖๒
ตัวกษัตริย์มีความหวั่นระแวงว่า อนค และคนไทยรุ่นใหม่วัยเยาว์ จะเพิ่มความโน้มเอียง ที่จะยืนหยัดต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชน จนถึงขั้นวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ และพวกทหารในอำนาจอย่างเปิดเผย โดยเฉพาะบนโซเชียลมีเดีย
พรรคอนาคตใหม่ ต้องการสร้างรากฐานทางประชาธิปไตยในประเทศไทย ในขณะที่ วชิราลงกรณ์ ต้องการลากประเทศย้อนยุคถอยหลังกลับสู่วันวานของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช ฝ่ายวังหลวงจึงแสดงความประสงค์อันชัดเจน ที่จะบดขยี้พรรคนี้ และจำคุกคุมขังสมาชิกระดับหัวหน้า หรือไม่ก็ขับออกจากวงการการเมืองไปเสียเลย
อภิรัชต์ ผู้ที่ตัวกษัตริย์กะจะตั้งให้เป็นนายกฯ เมื่อเขามีคุณสมบัติพร้อมในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ก็เกลียดพรรคอนาคตใหม่ เพราะเป็นพรรคที่ได้ประกาศเรียกร้องให้ทหารอย่าได้มายุ่งกับการเมือง และต้องการให้ล้มเลิกระบบการเกณฑ์ทหาร
เมื่อเดือนตุลาคมที่แล้ว อภิรัชต์ ออกมาพูดเหมือนคนสติแตกอัดธนาธร กับ พรรค อนค โดยตรง เขาได้อ้างว่า พวกปัญญาชนฝ่ายซ้าย คอมมิวนิสต์ พวกนักการเมืองฉ้อโกง และ ชาวต่างประเทศที่ชั่วร้าย กำลังสมคบส้องสุมกันที่จะทำลายล้างประเทศไทย ด้วยการใช้เทคนิคแบบ “สงครามลูกผสม” โดยอาศัยการโฆษณาชวนเชื่อ การปลุกปั่นปลุกระดม การประท้วง รวมทั้งการให้ข้อมูลบิดเบือนอย่าง ข่าวปลอม เฟคนิวส์
การที่ อภิรัชต์ ยังหมกมุ่นอยู่กับเรื่องผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์อยู่อีกนี้ แสดงว่าเขายังติดแหง็กอยู่กับทั้งอดีต และทั้งทฤษฏีเกี่ยวกับผู้ก่อการร้าย อย่างน่าสมเพชที่สุด - มันชี้ชัดเลยว่า ในวัง กับผู้ปกครองไทย ยังยึดการใช้โฆษณาชวนเชื่อ การล้างสมอง และข่าวปลอมๆ มาช่วยเกาะยึดกับการครองอำนาจ และบั่นทอนความเป็นประชาธิปไตย
วชิราลงกรณ์ปกครองประเทศด้วยความหวาดกลัว จะมีก็แต่คนที่ถูกล้างสมอง หรือหลอกตัวเอง ถึงจะก้มหัวให้เขาได้ แต่ทุกคนก็หวาดกลัวตัวกษัตริย์ ด้วยเหตุที่ต้องจำยอมเพราะ ร ๑๐ ได้แสดงตัวอย่างครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าเขาเป็นกษัตริย์ที่ใช้ความรุนแรง เป็นคนสติมิคงที่ และมีความจงชังระบอบประชาธิปไตยเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับพยายามลบล้างร่องรอยของการปฏิวัติ ใน พศ ๒๔๗๕ ออกจากสถานที่ทางประวัติศาสตร์ทุกแห่งของไทย ไม่ให้หลงเหลือเป็นที่บาดตาบาดใจ
คนสนิทวงในของเขาหลายต่อหลายคน ได้ถูกฆ่าทิ้งไป เพียงเพราะไปทำอะไรให้ทรงกริ้ว และยังมีอีกมากมายที่ถูกคุมขัง ทนทัณฑ์ทรมาน บ่อยไปเรื่องจุกจิกด้วยเรื่องจุกจิกหยุมหยิม ภรรยาเดิมของวชิราลงกรณ์สามคน รวมทั้ง “เจ้าคุณพระ” สินีนาฏ “ก้อย” วงศ์วชิรภักดิ์ ล้วนเคยต้องทัณฑ์อันสุดโหด หลังจากที่เขาหน่ายแหนงไปแล้ว
ขณะที่ศาลให้คำพิพากษา วชิราลงกรณ์ เองไม่ได้อยู่ในประเทศเสียด้วยซ้ำ พระมหากษัตริย์ แห่งประเทศไทย แทบจะไม่ได้ใช้ชีวิตในประเทศของตัวเอง แต่พอใจที่จะไปใช้ชีวิตหรูฟู่ฟ่าในยุโรป ผลาญภาษีประชาราษฎร์ เขากลับมาเมืองไทยได้วันเดียว แล้วก็กลับไปพำนักในโรงแรมห้าดาว ในเมืองท่องสกีเทือกเขา เองเกิลเบิร์ก ในสวิส กับภรรยา ราชินีสุทิดา และขบวนผู้ติดตามกองใหญ่เต็มไปด้วยข้าสนองพระบรมราชโองการ และคนรับใช้อีกหลายโหล
ก่อนหน้านี้ เขาใช้เวลาส่วนใหญ่พำนักอยู่ที่ โรงแรม แกรนด์ โฮเตล ซอนเนนบิคล์ ในเยอรมนี ที่เมือง การ์มิช-พาเทนเกอเช่น กับ สนมหลวง ก้อย พร้อมทั้งเหล่านางบำเรอในฮาเร็มที่นั้น แต่หลังจากที่ก้อยถูกกำจัดออกไปในเดือน ตุลาคม ที่แล้ว เขาก็กลับมาอยู่กับภรรยาซึ่งพักอยู่ที่สวิสเซอร์แลนด์ มากขึ้น
วชิราลงกรณ์ รู้ตัวดีว่าเป็นที่ชิงชังในวงกว้างเพียงใด เขาจึงวางมาตรการสุดขั้วเพื่อป้องการการถูกโค่นลง ถึงขนาดก่อตั้ง กรมทหารชั้นอีลีตใหม่ คือ กรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ ๙๐๔ ให้อยู่ใต้บังคับบัญชาโดยตรงส่วนพระองค์ รวมไปทั้งการรวบ กองกำลังทหารสำคัญๆหลายกรมกอง ให้มาขึ้นอยู่ใต้การบัญชาการของบรรดานายพลคลั่งเจ้า แล้วย้ายทหารกรมกองอื่นๆออกนอกกรุงเทพฯไปหมด ร ๑๐ จึงกุมกำลังทหารในพระนครโดยเด็ดขาดแต่ผู้เดียว
สถาบันกษัตริย์ และทหารผู้กุมอำนาจใช้ข้ออ้างว่าตนเป็น สถาบันศักดิ์สิทธิ์ ที่ได้ตรากตรำทำงานเหนื่อยยากแสนสาหัสสากรรจ์ เพื่อการพัฒนาประเทศมาตลอด แต่โดยความเป็นจริงแล้ว สถาบันกษัตริย์ ได้กดหัวประชาชนมาตลอดทั่วทั้งประวัติศาสตร์ของชาติไทย และทหารกล้าของชาติ หาได้เคยสู้รบตบมือในสงครามที่แท้จริงไม่ มีแต่ทหารไทยได้เข่นฆ่าสังหารชีวิตประชาชนพลเรือนมือเปล่าไร้ทางสู้ มามากหลายต่อหลายเท่า เมื่อเทียบกับชีวิตชาวไทยที่สูญเสียไป จากการรุกรานโดยศัตรูภายนอกตลอดชั่วยุคสมัยที่ไทยอยู่ใต้ราชวงศ์จักรีรวมกันทั้งหมด สองสถาบันทั้งวังทั้งทหารมาวุ่นวายจุ้นจ้านกับการเมือง แล้วยัดกระเป๋าตัวเอง ไปด้วยภาษีอากรจากประชาชนผู้หาเช้ากินค่ำ
ฝ่ายตุลาการอ้างตัวว่ามีความบริสุทธิ์ยุติธรรม แต่ผู้พิพากษาไทยส่วนใหญ่ไร้ความสามารถ ปราศจากความซื่อสัตย์สุจริต กินสินบาทคาดสินบน และตลอดมาก็ยืนข้างพวกอีลีตไฮโซ ฝ่ายตรงข้ามจากประชาชน โดยไร้การคำนึงถึงกฎหมาย หรือความผิดถูกชั่วดี
ชาวไทยในขบวนการเสื้อแดง ที่เริ่มก่อตัวเคลื่อนไหวขึ้นหลังจากการรัฐประหารในปี พศ ๒๕๔๙ ซึ่งได้โค่นล้ม ทักษิน ชินวัตร นายกรัฐมนตรีผู้เป็นที่นิยมชมชอบ และประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย ก็ได้รู้เห็นความเป็นจริงเหล่านี้มากว่าทศวรรษแล้ว พวกเขานิยามการประจักษ์ถึงความจริงแท้ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยว่า เป็นการ “ตาสว่าง” ซึ่งแปลได้คร่าวๆในภาษาอังกฤษว่า เป็นการตื่นตัว ลืมตาขึ้นเห็นความเป็นจริง
การเคลื่อนไหวของชาวเสื้อแดง มีฐานในวงกว้าง แต่ผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่ มาจากถิ่นยากจนในภาคเหนือ และอีสาน พร้อมกับคนไทยชั้นล่างที่มีเชื้อสายลาวในกรุงเทพฯ พรรคอนาคตใหม่ ได้ฐานสนับสนุนจากคนในวงกว้างกว่ามากจากทั่วทั้งประเทศ รวมไปถึงชนชั้นกลางหรือชั้นสูงที่มีความคิดก้าวหน้าในกรุงเทพฯ และยังได้รับการสนับสนุนจากคนทั่วทุกวัย โดยเฉพาะความชมชอบจากคนวัยหนุ่มสาว
การบดขยี้พรรคอนาคตใหม่ อย่างงุ่มง่ามไร้ความเป็นธรรมนั้น เป็นหลักประกันว่า จะเกื้อให้เกิดการ “ตาสว่าง” ระหว่างชาวไทย ให้เห็นทะลุปรุโปร่างกับการตลบแตลงของทหารและสถาบันกษัตริย์
ในวันก่อนหน้าการตัดสินยุบพรรคยอดนิยม และกุดหัวทางการเมืองของแกนนำพรรคอันเป็นที่นิยมชมชอบ เพียงวันเดียว ก็มีข่าวออกมาว่า ชายวัน ๒๐ ปีชาวชลบุรี ถูกจับเข้าห้องขังแบบไม่ให้ประกันตัว ด้วยข้อกล่าวหาว่า เขาทวีตวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์
จากเวลาอันใกล้ชิดกันของการจับกุมคุมขัง บอกให้เห็นว่า ฝ่ายปกครองกำลังผวากับการตอบกลับในทางลบบนโซเชียลมีเดีย อันเป็นที่แน่นอนว่าพวกเขาจะโดนทวีตถล่ม นี่เป็นเหตุผลที่สถาบันกษัตริย์ ใช้การบังคับหุบปากการวิพากษ์วิจารณ์มาตลอด ด้วยการจับคนโชคร้ายไม่กี่คนมาลงโทษลงทัณฑ์อันสาหัส เป็นเยี่ยงอย่าง เหมือนการเชือดไก่ให้ลิงดู
หากนี่เป็นแผนรับมือของพวกนั้น มันไม่เวิร์คเลย โซเชียลมีเดียไทย ลุกเป็นไฟไปแล้ววันก่อนนี้ ต่อการเอาเรื่องเอาราวกับเด็กหนุ่มที่จะต้องโทษจำขังไปหลายปี จนแฮชแท็ก #saveนิรนาม ขึ้นมาเป็นท็อบเทร็นด์อันดับหนึ่งบนทวิตเต้อร์
แล้ววันวานนี้ โซเชียลมีเดีย ระเบิดเปิดเปิงปะทุขึ้นด้วยความโกรธแค้น และสิ้นหวัง แฮชแท็กท้อปเทร็นด์มาแรงด้วยคำว่า #Saveอนาคตใหม่ ประยุทธ จันทร์โอชา นายกฯหุ่นเชิดซึ่งคงจะถูกเขี่ยลง ให้แทนที่ด้วยสมุนคนโปรดของกษัตริย์ อภิรัชต์ คงสมพงศ์ ในอีกไม่กี่ปี ได้โพสต์ข้อความทั้งบนเฟซบุ๊คและทวิตเต้อร์หลังจากการประกาศคำตัดสิน ออกมาเรียกร้องให้ฝ่ายค้านทำตัวมีเหตุมีผล และรู้จักทำความสร้างสรรค์ ความเห็นของเขา ไปจี้ใจจนให้คนก่นด่าทะลักไหลท่วมสังคมออนไลน์ จนแทบลบกันไม่ทันไปทั้งสองสถาน แสดงเห็นไส้เห็นพุงในความขี้ขลาดตาขาว ของนายกฯทหารหาญของไทย ที่ยกตัวว่าเป็นทหารผ่านศึกเก่งกล้าจากสนามรบ แต่มาวิ่งหางจุกหนีหัวซุกหัวซุน เพราะเขาไม่มีปัญญาตอบรับคำวิพากษ์วิจารณ์บนสนามออนไลน์
เมื่อแกนนำ อนค ๑๐ คน ถูกห้ามลงสนามการเมืองเป็นเวลาถึง ๑๐ ปี ตัดจำนวน สส ของพรรค ให้ลดลงเหลือ ๖๔ คน ที่จำต้องหาพรรคการเมืองใหม่ไปสังกัดภายในเวลา ๖๐ วัน ซึ่งทางฝ่ายนำของ อนค กล่าวว่า ได้ฟอร์มพรรคใหม่เพื่อรองรับไว้แล้ว
สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ธนาธร ได้บอกอย่างชัดเจนมาหลายครั้งแล้วว่า เขากะไว้แล้วว่าพรรคจะถูกยุบ จึงได้เตรียมแผนรับมือไว้แล้ว ซึ่งรวมไปทั้งตั้งพรรคใหม่ไว้รองรับ สส ของ อนค ธนาธร และปิยบุตร จะเดินหน้าสร้างการเคลื่อนไหวในวงกว้างกว่านี้ เพื่อผลักดันให้สังคมก้าวไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ในเมื่อวงในทางการเมืองคือรัฐสภา เต็มไปด้วยคอรัปชั่น และความไร้ประสิทธิภาพ ธนาธรและปิยบุตร จะทำอะไรได้เห็นผลมากกว่า เมื่อออกมาเคลื่อนไหวในวงนอก เพื่อให้ได้มาซึ่งการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกของสังคม แทนที่จะสู้วงในที่พวกเขาเสียเปรียบขนานหนัก อย่างแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะขัดขืนอิทธพลของการเมืองในระบบ
และนี่ก็เป็นการแสดงว่า การที่ อนค ถูกบดขยี้อย่างงุ่มง่าม เป็นทางเลือกสุดโง่งมของฝ่ายปกครองไทย ที่ทำให้สังคมที่ร้าวอยู่แล้วแตกเป็นเสี่ยงๆ สร้างความแปลกแยกให้คนไทยหลายล้าน โดยเฉพาะคนหนุ่มคนสาวที่เป็นอนาคตของชาติ ทำให้เห็นชัดต่อทุกคนแล้วว่า มันไม่มีความยุติธรรม หรือ ประชาธิปไตย ในประเทศไทย ที่ผ่านมาทุกอย่างที่เคยถูกบอกมา ก็มีแต่คำโกหกหลอกลวงทั้งนั้น
ฝ่ายปกครองพากันเคลิ้มไปว่า มันยังเป็นไปเช่นวันวาน ที่เคยเป็นเรื่องง่ายในการบดขยี้ขบวนการประชาธิปไตย พวกเขาเขลาเกินไปที่จะแจ้งใจได้ว่า กำลังต่อสู่ขัดขืน อนาคต พวกเขาหาได้ตระหนักว่า อนาคตใหม่ ไม่ได้เป็นเพียงแค่พรรคการเมือง ที่จะถูกยุบหรือกุดหัวได้ง่ายๆ แต่มันเป็นการเคลื่อนไหวของมวลชน การเคลื่อนไปที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ มีแต่จะแกร่งขึ้นไปตามกาลเวลา
ธนาธร รู้ตลอดมาแล้วว่า อนค จะโดนยุบ เขารู้ว่าอาจจะต้องติดคุก – เป็นสิ่งที่เขาคาดไว้แล้ว ตั้งแต่ตั้งพรรค เขาไม่ได้เล็งแค่การเมืองในระบบรัฐสภา เขามองเกมส์ใหญ่ไปกว่านั้น – คือการ เปิดหูเปิดตา ชาวไทย ให้เห็นถึงความอยุติธรรม ถึงการปฏิบัติลำเอียงสองมาตรฐานที่กำลังทำลายบ้านเมือง คำพิพากษาในวันวาน แสดงแล้วว่า ฝ่ายชนชั้นปกครอง วิ่งเข้าเป้า ช่วยให้ชาวไทยทั้งหมดได้เห็นแท้แน่ชัดไปแล้วว่า มันไม่มีความเป็นประชาธิปไตยที่แท้ทรู หรือแม้กระทั่งซากของขื่อแปในสังคม
ปิยบุตร พูดถึงไฟไหม้ป่า แต่การลุกขึ้นมาตาสว่างคงจะเป็นไปอย่างไฟคุกรุ่นช้าๆ ด้วยความหวาดกลัวต่อ วชิราลงกรณ์ ทุกคนรู้ดีว่า กษัตริย์ กับ อภิรัชต์ จะไม่มีความลังเลที่จะสั่งการสังหารหมู่ผู้ประท้วงเดินถนนแม้แต่น้อยนิด
แต่ไม่ช้าก็เร็ว ประชาชนจะลุกขึ้นมาเขี่ยสถาบันกษัตริย์ และสมุนทหาร ให้ออกจากการยุ่งเกี่ยวทางการเมือง ต่อให้พวกฝู้ปกครองจะพยายามเท่าไร ก็ไม่มีทางที่จะยึดรั้งทั้งประเทศอยู่กับอดีตตลอดกาลไปได้ สักวันหนึ่ง เมื่อประวัติศาสตร์ที่แท้จริงของสถาบันกษัตริย์จะได้ถูกบันทึกอย่างไม่มีการบิดเบือน เมื่อประเทศมีเสรีแล้ว เหตุการณ์เมื่อวานนี้ เป็นวันสำคัญที่จะถูกจารึกไว้ว่า มันเป็นวันเริ่มต้นของการไปสู่จุดจบของระบอบเก่า
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar