ประกาศฉบับที่ 2 ด่วยมาก
แถลงการณ์ทหารตำรวจประชาธิปไตย ๒๕๕๔ ฉบับที่๒ คณะทหารตำรวจประชาธิปไตย ๒๕๕๔ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเปิดเผยความจริงเพื่อยุติความแตกแยกของประชาชนใน แผ่นดินถึงแม้ว่าความจริงนี้จะเป็นความเจ็บปวดอย่างยวดยิ่งของพวกเราที่เป็น ทหารและตำรวจ จากการที่ได้รับการอบรมสั่งสอนในโรงเรียนเตรียมทหาร โรงเรียนนายร้อย จปร. และโรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน ถึงคำกล่าวที่ว่า “รุ่นพี่ที่เลวที่สุดย่อมดีกว่า รุ่นน้องที่ดีที่สุด” ในครั้งนี้น้องๆในคณะเราทุกคนเห็นว่าพวกเราพร้อมจะเป็นคนเลวที่สุดของกองทัพ เพราะมิอาจจะยอมรับความเลวอย่างร้ายกาจของรุ่นพี่ ที่ทำลายกองทัพ ประเทศชาติ และทำร้ายประชาชนอย่างเลือดเย็นได้อีกต่อไป จึงขอเปิดเผยหลักฐานและข้อมูลการปฏิบัติการทางทหารของ ศอฉ.อันเป็นข้อมูลที่แท้จริง ของฝ่ายการเมืองและฝ่ายทหารที่ปฏิบัติการในห้วง ๑๐ เมษายน และ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓ และการสั่งการการสังหารประชาชนที่วัดปทุมวนาราม และเบื้องหลังการสั่งการของชายชุดดำต่อการปฏิบัติการลับ ในการสังหารนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ทั้ง พล.ต.วลิต โรจนภักดี และ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ดังนี้ ๑.การปฏิบัติการของฝ่ายการเมืองที่สั่งการในเหตุการณ์เมื่อ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๓ และ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ได้สั่งการชัดเจนจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ณ ห้องน้ำเงิน ในกองบังคับการ กรมทหารราบที่ ๑๑ รักษาพระองค์ ต่อพล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ โดยมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ (ยศในขณะนั้นเรียกกันว่าแม่ทัพศูนย์) ทั้งนี้มีผู้คัดค้านและไม่เห็นด้วยคือ พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ เพียงผู้เดียว แต่ก็ได้รับการยืนยันอย่างหนักแน่น จากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้รับสัญญาณว่ายืนยันให้ปฏิบัติได้และเป็นการเริ่มวาทะกรรม “กระชับวงล้อมและกระชับพื้นที่ตั้งแต่ตอนนั้น” โดยให้พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา และพล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ วางแผนอย่างละเอียดโดยมีขั้นตอนและสมมุติฐานดังนี้ - รวมผู้ชุมนุมให้อยู่ในที่เดียว เพื่อรวมกำลังเข้าปิดล้อม แล้วสร้างความหวาดกลัวให้คนออกจากที่ชุมนุมแล้วห้ามคนเข้า เมื่อปริมาณคนเหลือน้อยกว่า ๒๐๐๐ คน จึงให้ทำการสลายการชุมนุม โดยมีคำถามว่า ผู้ชุมนุมจำนวนเท่านี้จะมีการสูญเสียเท่าไร...คำตอบคือ ถ้าไม่ยอมอย่างน้อย ๕๐๐ - สร้างเหตุให้ผู้ชุมนุมทำร้ายฝ่ายทหารก่อน โดยใช้สไนเปอร์ยิงด้วยกระสุนขนาด 22 มิลลิเมตร และใช้กระสุนขนาด 56 มิลลิเมตร (M16) กระทำต่อผู้ชุมนุมเพื่อให้โกรธแค้น แล้วทำร้ายทหาร เพื่อทำลายสมมุติฐานของฝ่ายผู้ชุมนุม เมื่อมีการเสียชีวิตของประชาชนแล้วจะเกิดความชอบธรรม ที่จะต้องทำให้รัฐบาลลาออก แต่เมื่อทหารถูกทำร้ายก่อน จึงกลับกลายเป็นความชอบธรรมของฝ่ายปราบแทน ซึ่งรัฐบาลไม่ต้องลาออก...แต่การยิงด้วยกระสุนขนาด 22 มิลลิเมตรไม่ได้ผล จึงต้องใช้กระสุนขนาด 56 มิลลิเมตร (M16) และทหารแต่งกายชุดดำออกมาปฏิบัติการเพื่อให้การสร้างเหตุของความชอบธรรมในการสลายการชุมนุมที่สะพานผ่านฟ้า กระทำได้ตามสมมุติฐานของฝ่ายทหารได้จริง (และเรื่องชายชุดดำนั้นเป็นการกระทำถึงขั้นแผนซ้อนแผนของฝ่ายเดียวกันที่จะแย่งชิงอำนาจทางทหารซึ่งจะกล่าวต่อไป) - การคัดค้านของพล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ ไม่เป็นผลเหมือนเมื่อครั้งสงกรานต์เลือดในปี ๒๕๕๒ ที่มีคลิปลับการสั่งการของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่มีการตัดต่อ เพราะเสียงที่หายไป คือเสียงของพล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ และพล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร และในการสั่งการครั้งนี้ ณ ห้องน้ำเงิน บนตึกกองบังคับการ ชั้น๒ ของกรมทหารราบที่ ๑๑ รักษาพระองค์ ในคืนวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๕๓ เวลาประมาณ ๒๐.๐๐น. จึงไม่มีใครคัดค้านได้ การปฏิบัติการใน ๑๐ เมษายน ๒๕๕๓ จึงเกิดขึ้น ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงรายละเอียดของกองกำลังที่ใช้ที่มาจาก พล.๑ รอ. , พล.ร.๒ รอ. และ พล.ร.๙ ที่เข้าปฏิบัติการจนทำให้เกิดการสูญเสียเกิดขึ้น นี่เป็นการยืนยันของความเลวร้ายที่กองทัพรับใช้นักการเมืองเพื่อรักษาสถานภาพของอำนาจของตนแม้จะต้องสังหารประชาชนของตนเองก็ตาม ๒.การปฏิบัติการของทหารที่แต่งกายชุดดำ มีเหตุที่สืบเนื่องจากการแย่งชิงอำนาจของผู้ที่หวังว่า จะก้าวขึ้นเป็น มทภ.๑ และ ผบ.ทบ.ต่อไป กล่าวคือ เมื่อบูรพาพยัคฆ์ก้าวขึ้นมายิ่งใหญ่ในกองทัพ ทหารฝ่ายวงศ์เทวัญเป็นได้เพียงแค่พระรองเท่านั้น ซึ่งมีตัวอย่างมาแล้วในครั้งที่พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ เป็น รอง มทภ.๑ก่อนถึง ๒ ปี และเป็นถึงอดีต ผบ.พล.๑ รอ. และเป็นเพื่อนรักกับ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา ยังถูก พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ รุ่นน้องที่มาเป็น รอง มทภ.๑ เพียงแค่ ๖ เดือน แซงหน้าขึ้นไปเป็น มทภ.๑ ได้ จึงเป็นเหตุให้ พล.ต.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ซึ่งคาดหวังและประกาศกร้าวตลอดมาว่าจะไม่ยอมให้เหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น กับตนเองเด็ดขาด แต่เหตุก็ไม่ได้เป็นอย่างที่ พล.ต.ไพบูลย์ คุ้มฉายา คาดหวังและวางแผนไว้ แม้จะอาสากับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อาสาลงไปทำงานที่ภาคใต้โดยมีสัญญาใจว่าจะให้กลับมาเป็น มทภ.๑ แต่ตำแหน่ง มทภ.๑ กลับตกเป็นของ พล.ท.อุดมเดช สีตบุตร ทหารเสือราชินีและรู้อีกว่าบูรพาพยัคฆ์นั้นได้จัดวาง พล.ต.วลิต โรจนภักดี ไว้ในที่ตำแหน่ง มทภ.๑ เรียบร้อยแล้วตนเองนั้นไม่มีทางที่จะได้เป็น มทภ.๑ อย่างที่หวังไว้อย่างแน่นอน หนทางเดียวที่จะได้เป็น มทภ.๑ คือ ไม่มี พล.ต.วลิต โรจนภักดี เพื่อนร่วมรุ่น ตท.๑๕ อีกต่อไป ทั้งนี้ พล.ต.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ได้วางสายงานทางการข่าว โดยให้ พ.อ.วณัฐ ลัทธศักดิ์ศิริ(เสธ.ซัน ซึ่งเปลี่ยนชื่อมาเป็นวณัฐ) รายงานการเคลื่อนไหวและสถานการณ์เหตุการณ์ในกรุงเทพอย่างละเอียดและต่อ เนื่องตลอดมา และเสธ.ซันผู้นี้ คือนายทหารฝ่ายการข่าว ของ พล.ต.ไพบูลย์ คุ้มฉายา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผบ.พล.๑ รอ. นั่นเอง ดังนั้น แผนของทหารชุดดำ จึงได้รายงานถึง พล.ต.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ซึ่งคณะนั้นคุมกำลังอยู่ที่จ.นราธิวาส จึงได้ส่งทหารชุดดำของตนเองจำนวน ๖ นาย พร้อมด้วยอาวุธ M16 M79 AK47 และ Travo-21 เข้ามาดำเนินการ โดยมีเสธ.ซันเป็นผู้ชี้เป้า พล.ต.วลิต โรจนภักดี เพื่อสังหาร โดยมีสัญญาลับว่าเมื่อเป็นแม่ทัพ จะส่งเสริมให้เป็นผู้บังคับหน่วยตามที่มุ่งหวังต่อไป...นี่คือคำเฉลยของชายชุดดำ ซึ่ง พล.ต.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ต้องการยิงปืนนัดเดียวได้นก ๒ ตัว คือ ทำลายคู่แข่งทางการทหารแม้เป็นเพื่อนร่วมรุ่น และสร้างสถานการณ์ผู้ชุมนุมทำร้ายทหารเพื่อเป็นเงื่อนไขสร้างความชอบธรรมให้แก่ทหารและรัฐบาลต่อไป (ซึ่งเราจะลืมไม่ได้เลยว่า พล.ต.ไพบูลย์ คุ้มฉายานี้ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผบ.พล.๑ รอ. คือ กำลังสำคัญในการสลายการชุมนุมครั้งสงกรานต์เลือดเมื่อปี ๒๕๕๒ ซึ่งถ้ารัฐบาลและทหารแพ้ในครั้งนี้ ความหวังทั้งปวงก็จะกระทบต่อ พล.ต.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ด้วยเช่นกัน) ๓.การสังหาร พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล จากการเสียชีวิตของ พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม และการบาดเจ็บสาหัสของ พล.ต.วลิต โรจนภักดี สร้างความโกรธแค้นให้แก่บูรพาพยัคฆ์เป็นอย่างยิ่ง และก็รู้ด้วยว่า ไม่ได้เป็นฝีมือของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล แต่ในขณะนั้น ต้องการที่จะทำลายขวัญและการบัญชาการแนวป้องกันต่างๆ ของฝ่ายเสื้อแดงที่ราชประสงค์ซึ่งมี พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดงเป็น ผบ.พื้นที่โดยหลังจากเสร็จงานศพของ พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรมแล้ว จึงมีการสั่งการให้เป็นเหตุอันต่อเนื่อง ที่จะเอาชนะผู้ชุมนุมโดยหาจุดอ่อนและจุดแข็งของฝ่ายเสื้อแดง ซึ่งได้พบว่า พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผลนั้น มีผลต่อการตั้งรับในการกระชับวงล้อมของทหาร การกำจัด พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผลนอกจากจะเป็นการทำลายผู้บัญชาการแนวป้องกันแล้ว ยังเป็นการทำลายขวัญของฝ่ายเสื้อแดง จึงมีการเสนอแนะจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผอ.ศอฉ. ที่ตกลงใจเปิดไฟเขียวให้ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชาและ พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ (ยศในขณะนั้น) สั่งการลับให้สังหารเสธ.แดง โดยผู้ที่สังหารเสธ.แดงนั้นชื่อ สอ.พรชัย ปะละมะ (ยศในขณะนั้น) และให้นายชอน น้องชายของอธิบดีกรมสนธิสัญญาเอเชียตะวันออก ซึ่งนายชอนนี้ เป็น CIA มียศเป็นพันเอก ของกองทัพบกสหรัฐอเมริกาและมาแฝงตัวเป็นโฆษกร่วมในการแถลงข่าวภาคภาษาอังกฤษของ นปช. เป็นผู้ชี้เป้า โดยมีการสั่งการตั้งแต่คืนวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๓ และข่าวเริ่มรั่วตั้งแต่ตอนเช้าของวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๓ มีการแจ้งข่าวไปยังเสธ.แดง แต่เพราะเป็นชะตากรรมที่ต้องเสียชีวิตเสธ.แดงไม่เชื่อ ส่วน สอ.พรชัย ปะละมะ ก็ได้เลื่อนยศเป็นจ่าสูงขึ้น และคงจะก้าวหน้าเป็นนายทหารต่อไป ถ้าเปลี่ยนชื่อและนามสกุล หรือเวรกรรมตามทันก็คงจะไปอยู่กับเสธ.แดง นี่คือความจริงที่น้องยอมเป็นคนเลวที่สุดโดยมิอาจจะให้พวกพี่ๆรับใช้นักการเมืองฆ่าพี่ฆ่าน้อง ฆ่าประชาชน เพื่อคงไว้ซึ่งอำนาจของตนเอง...ใครเลวกว่ากัน ในแถลงการณ์ฉบับต่อไปหากพี่ๆในกองทัพยังคงจะตั้งเป้าหมายต่อไปที่จะคงอำนาจ ทางการทหารโดยยอมรับใช้นักการเมือง ข่มขู่ประชาชน ช่วยพรรคการเมืองบางพรรค ก่อสงครามกับเขมร เพื่อหวังผลทางการเมืองในประเทศ ขณะนายทหารตำรวจประชาธิปไตย ๒๕๕๔ จะไม่หยุดยั้งเพียงเท่านี้ จะเปิดเผยการทุจริตคอรัปชั่นบัญชีเงินต่างๆก่อนที่จะมีตำแหน่งกับเมื่อมี ตำแหน่งแล้ว ต่างกันราวฟ้ากับดิน พี่ๆเอาเงินมาจากไหนและการสั่งการอันผิดพลาดจนทำให้มีการสังหารหมู่ที่วัด ปทุมวนาราม นอกจากนี้แล้ว ความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับสตรีที่มิได้เป็นภรรยาก็จะเปิดเผยต่อมา...พวกผม ยอมเป็นคนเลวแต่ไม่อาจให้พวกพี่ทำความเลวกับประเทศชาติประชาชนได้อีกต่อไป “มิเคยหวังจะเป็นวีรบุรุษ แต่ก็สุดเห็นชาติจะพินาศดับสลาย” ทหารตำรวจประชาธิปไตย ๒๕๕๔ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๔ | ||||
lördag 2 juli 2011
เปิดโปงเอกสารลับการสลายการชุมนุม 10 เมษาและ 19 พฤษภาคม 2553
Prenumerera på:
Kommentarer till inlägget (Atom)
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar