tisdag 30 april 2013
คำถามว่าใคร? จะขึ้นเป็นรัชกาลที่๑๐ .. คำตอบคือยังตกลงกันไม่ได้... จำเป็นต้องให้เสด็จทั้งสอง จากหลักฐานข้างล่างนี้ชี้ให้เห็นสาเหตุของความขัดแย้งในสังคมไทยเวลานี้เป็นเพราะกษัตริย์ภูมิพลไม่กล้าตัดสินใจว่าจะให้ใครขึ้นเป็นรัชกาลที่๑๐ นั่นเอง!!!
"ท่าทีเธอเปลี่ยนไป" อย่าประมาทโปรดเตรียมตัวรับศึกใหญ่ จากอาการดิ้นเฮือกสุดท้ายของหัวหน้าอำมาตย์เฒ่านักฆ่าแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยาและพวกลูกสมุน......
สุนทรพจน์ของนายกฯปู คือ "การเปลี่ยนท่าที" และ "นโยบายใหม่" เป็นแข็งกร้าวพร้อมชน
เนื้อหาในสุนทรพจน์ ของนายกฯปูที่อูลันบาตอ คนที่ติดตามก็คงเห็นแล้วนะครับว่า เผ็ดและร้อนแรงขนาดไหน ซึ่งลักษณะสุนทรพจน์ เช่นนี้ ของผู้นำทางการเมือง คือ "การเปลี่ยนท่าที" และการ "ประกาศนโยบายใหม่" นั่นเอง
แน่นอน สุนทรพจน์ของนายกฯปู ไม่ได้กล่าวโดยบังเอิญเด็ดขาด คงมีการหารือกันใน ผู้มีอำนาจในพรรคเพื่อไทย ทั้งทักษิณและกรรมการยุทธศาสตร์อื่นๆ ของพรรค ในการประกาศท่าทีใหม่นี้
หากวิเคราะห์ยุทธศาสตร์ในการทำสงคราม นี่ผมถึอว่า เป็นการประกาศเตรียมพร้อมรบ และท้าชนอย่างเต็มที่ เป็นการ "เปลี่ยนท่าที่ของนายกฯหญิงทางการเมือง แบบกลับลำ 180 องศาเลยทีเดียว"
เราจะเห็นได้ว่า ตั้งแต่ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้เกือบสองปีแล้วนั้น นายกฯปูใช้ท่าทีที่อ่อนนุ่ม เกรงอกเกรงใจฝ่ายตรงข้ามมาโดยตลอด
แต่เริ่มหน้าร้อนปีนี้ เราเห็นว่า "ท่าทีของเธอเปลี่ยนไป" ที่ผมสังเกตุได้อย่างชัดเจนคือ การไม่ไปรดน้ำ พล.อ.เปรม ในวันสงกรานต์ ซึ่งหลายๆ คนคิดว่า นายกฯปูคงติดธุระและอยู่ในระหว่างไว้ทุกข์ให้พี่สาวที่เสียชีวิต แต่ผมไม่คิดว่าจะเป็นอย่างนั้น มันเป็นท่าทีที่กำหนดเอาไว้แล้ว
อย่างที่สองคือ การไม่ไปฟังดนตรี งานหาทุนสร้างหอศิลป์อะไรของ พล.อ.เปรม นั่นก็พอบอกได้อีกว่า เป็นการเปลี่ยนท่าที
แต่ก็ยังไม่ชัด
แต่สุนทรพจน์ที่อูลันบาตอ นี่มันชัดเจน โป๊ะเช๊ะ เลยทีเดียวว่า ทางพรรคเพื่อไทยและกลุ่มอำนาจทักษิณ ได้เปลี่ยนยุทธศาสตร์การเผชิญหน้ากับกลุ่มอำมาตย์อย่างชัดเจนแล้ว เป็น "ยุทธศาสตร์ที่แข็งกร้าว" ชนเป็นชน ซึ่งเราก็เห็นชัดเจน ตั้งแต่แก้ รธน. การเสนอ ร่าง พรบ.นิรโทษกรรมมาเป็นวาระแรก
นั้นเป็นการกระทำ
แต่สุนทรพจน์นายกฯปูนั้นแข็งกร้าว ชนแบบไม่ไว้หน้า ไม่เลี่ยงอ้อมค้อมด้วย แถมยังขอความช่วยเหลือจากชาวโลกว่า "หากถูกรัฐประหาร" การแชงชั่นของชาวโลกนั้นช่วยเหลือประเทศประชาธิปไตยได้มาก
นี่ท้าชนชัดๆ
หากเราวิเคราะห์สถานการณ์ในภาพรวมแล้ว จะเห็นว่า ฝ่ายอำมาตย์นั้น กำลังอยู่ในภาวะอ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง เพราะผู้นำที่เป็นมาสเตอร์มายด์เดี้ยงอย่างที่เรารู้กัน กองทัพไม่อยู่ในสภาพที่จะเป็นเครื่องมือทางการเมืองได้ และจากข่าวในทางลึก "เปรม" นั้น ไม่ใช่ Inner Ring อีกต่อไป ทำให้อำนาจแฝงของกลุ่ม พล.อ.เปรมนั้นจริงๆ แล้ว "เปราะบาง" จนกระแทกทีเดียวก็แตก" ไม่ได้เข็มแข็งอย่างในอดีต ก่อนปี 2553 ที่ "ตัวจริงเสียงจริง เสียงตามสาย" ยังเจือยแจ้วได้อยู่ เมื่อไม่มีเสียงตามสาย อำนาจที่มีจาก "การอ้างอิงก็หมดความหมาย"
จังหวะการรุกของนายกฯปู ในการแสดงท่าทีที่แข็งกร้าว การเปลี่ยนนโยบายจาก อ่อนนุ่มเป็นแข็งกร้าว นี้จึงถูกจังหวะอย่างยิ่ง เป็นการรุกในจังหวะที่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งเลยทีเดียว ไม่มีช่วงเวลาใดที่เหมาะมากกว่าช่วงเวลานี้อีกแล้ว
อำมาตย์แม้จะต้าน ก็มีแนวรบเหลือแนวเดียวคือ "ตลก" ทั้ง 9 คน ที่โดนประชาชนรุกไล่อยู่นั่น
แต่ ตลกก็ใช่ว่าจะเป็นอาวุธชี้ขาด เพราะต่อให้ยุบพรรคเพื่อไทย ก็ไม่มีใครมี "บารมี" พอที่จะทำให้เกิดงูเห่าแบบเนวินได้อีก ทำให้ยุบไปพรุ่งนี้เขาก็ย้ายไปอยู่พรรคใหม่ เหมือนเป็นแค่การเปลี่ยนชื่อพรรคเท่านั้นเอง
ส่วนจะล้มนายกฯ ถอดถอน สส. 312 คนนั้น มันเหมือนหักด้ามพร้าด้วยเข่า เกิดความวุ่นวายทางการเมืองแน่ และในสภาวะที่กองทัพ ไม่ได้มีเอกภาพนี้ ยากที่อำนาจจะเปลี่ยนมือได้ เพราะ สส. 312 คน ถูกถอดถอน ก็ต้องเลือกตั้งใหม่ คนก็เลือก สส.พรรคเพื่อไทย กลับเขาไปอีก
แต่ทำอย่างนั้นมันท้าทายประชาชนแบบแตกหัก โดยที่ฝ่ายอำมาตย์ก็ไม่มีกำลังพอ ที่จะคุ้มครองตุลาการ เหมือนยุคที่ "ปลด นายกฯสมชาย" ได้
เกมนี้ "ผมว่า" คนชั่วถูกปราบราบคาบสิ้น" แผ่นดินไร้สิ้นปัญหาแน่
โดนนารีขี่ม้าขาว ปราบราบคาบอย่างแน่นอน
สถานการณ์ของฝ่ายอำมาตย์นั้น ต่อให้มีสติปัญญาแบบขงเบ้ง ก็สุดที่จะกู้สถานการณ์กลับคืนเป็นฝ่ายรุกได้
Credit: ลูกชาวนาไทย
ได้เป็นไทกันเสียที....หนึ่งนารีขี่อัสดร.......สุรเสียงเพียงคำผ่าน...สั่นสะท้านมองโกเลีย อำมาตย์ใหญ่เริ่มใจเสีย...สองผัวเมียใจสะเทือน ความฉิบหายมากรายใกล้...ความเป็นไทเริ่มเสถียร บัลลังก์ลั่นวันเร่งเดือน...กงกรรมเกวียนเหมือนเป็นใจ คลื่นลมใหญ่ใกล้ถึงฝั่ง...เตรียมกำลังไว้ตั้งมั่น เตรียมรวมใจไว้โรมรัน...ตั้งกองพันวันบรรลัย ประกาศก้องพี่น้องกู...ต้านริปูสู่สมัย ถูกย่ำยีความเป็นไท...ศักดิ์ศรีไพร่เรียกไทคืน
ขุนเขาบอก :
ได้เป็นไทกันเสียที....หนึ่งนารีขี่อัสดร........
เมื่อนารีขี่พยัคฆ์...พร้อมปกปักษ์มวลมหา(ประชาชน)
ประกาศลั่นนครา...สั่นเบื้องฟ้าตุลาการ
สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน...ปานแดดิ้นพวกแปลงสาร
เตรียมราญรอนถอนกัลป์กาล...ดับบ่วงมารสะท้านสะเทือน
สุรเสียงเพียงคำผ่าน...สั่นสะท้านมองโกเลีย
อำมาตย์ใหญ่เริ่มใจเสีย...สองผัวเมียใจสะเทือน
ความฉิบหายมากรายใกล้...ความเป็นไทเริ่มเสถียร
บัลลังก์ลั่นวันเร่งเดือน...กงกรรมเกวียนเหมือนเป็นใจ
คลื่นลมใหญ่ใกล้ถึงฝั่ง...เตรียมกำลังไว้ตั้งมั่น
เตรียมรวมใจไว้โรมรัน...ตั้งกองพันวันบรรลัย
ประกาศก้องพี่น้องกู...ต้านริปูสู่สมัย
ถูกย่ำยีความเป็นไท...ศักดิ์ศรีไพร่เรียกไทคืน
ลั่นสองหูเสียงปูก้อง...เชิญพี่น้องป้องรักษา
ความเป็นไทใช่ไก่กา...ปิดแผ่นฟ้าเอามันคืน
ผู้ชั่วชาติอำมาตยา...หากหาญกล้าหากขัดขืน
ดินทั่วไทไร้ที่ยืน...หากขัดขืนอหังการ
ทหารใหญ่ใครหาญกล้า...ปวงประชาออกหน้าสู้
องค์กรเถื่อนเปลี่ยนตราชู...หากหาญสู้มีประจาน
พันธมิตรหมดสิทธิ์ท้า...ยังค้างคาคดีศาล
ฝ่ายค้านปลวกพวกจัณฑาล...คิดก่อการได้เห็นดี
สู้เสียทีนารีสาว...ทางสู่ดาวอยู่ตรงหน้า
ก้าวเถิดปูสู่ดารา...หยุดอิงฟ้ากันเสียที
อัสดงตรงหน้าเจ้า...โรครุมเร้าเขาต้องหนี
ได้เป็นไทกันเสียที....หนึ่งนารีขี่อัสดร........
ตอบคำถามของ..."สมยศ พฤกษาเกษมสุข".ไม่ว่าจะตายหรือเป็น ผมยังมั่นใจในความบริสุทธิ์ ช่วยผมหาคำตอบจากคำถามที่ผมคิดทบทวนอยู่หลายวันด้วยเถิด ... !!!
30 เมษายน, 2013 - 12:03 | โดย Somyot-Redpower
โดย สมยศ พฤกษาเกษมสุข
ที่มา "สมยศ พฤกษาเกษมสุข: “ผมคิดผิดไปแล้ว”
ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเมื่อชีวิตย่างเข้าสู่วัย 50 ปี จะกลายเป็นอาชญากรแผ่นดิน ติดคุกตะราง ถูกจองจำสูญเสียอิสรภาพ ใช้ชีวิตอยู่ในกรงขังแน่นหนาเยี่ยงสัตว์เดรัจฉาน
ผมใช้ชีวิตในวัยหนุ่มอยู่กับผู้ใช้แรงงาน ต่อสู้เพื่อชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้นสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เพื่อสิทธิเสรีภาพ และความเป็นธรรมในสังคม เช่นเดียวกันกับผู้คนร่วมสมัยมากมายที่ใฝ่ฝันถึงสังคมใหม่ที่ดีงาม ปราศจากการกดขี่ เอารัดเอาเปรียบ เป็นสังคมแห่งความเสมอภาพเท่าเทียมกัน ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย
ผมไม่ได้ร่ำรวย ไม่ได้มีเงินทองมากมาย ผมใช้ชีวิตพออยู่พอกิน ไม่เคยคดโกงหรือเบียดเบียนคนอื่น ไม่คิดสะสม พอมีเงินเหลือบ้างก็แบ่งปันให้คนที่ยากจนทุกข์ยากมากกว่าผม เพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกับผมบอกผมว่า “ผมคิดผิดไปแล้ว” เพ้อฝันอยู่กับอุดมคติเกินไป
หลายคนประสบผลสำเร็จเป็นนักธุรกิจเงินล้าน เป็นครูอาจารย์ที่น่านับถือ เป็นนักการเมืองชื่อดัง มีชีวิตที่มั่งคั่งร่ำรวย สุขสบาย ส่วนผมเป็นคนสามัญชนคนธรรมดา เดินถนน กินข้าวแกงอยู่ตามตรอกตามซอย
ผมเติบโตมากับการต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย ทุกครั้งที่มีการรัฐประหารชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยจะเลวร้าย ย่ำแย่ลง ไร้สิทธิเสรีภาพ รัฐประหารมีแต่ความรุนแรงด้วยการปราบปราม เข่น”ประชาชน และจับกุมคุมขัง ผมไม่อาจอยู่เฉย เอาตัวรอดตามลำพัง ผมออกมาต่อต้านการรัฐประหารตั้งแต่ 6 ตุลาคม 2519 , 23 กุมภาพันธ์ 2534 และล่าสุด 19 กันยายน 2549 ผมเห็นว่านี่เป็นการทำหน้าที่พลเมืองไทย และเป็นการทำประโยชน์ให้กับสังคม เป็นคุณงามความดีตามความเชื่อของพุทธศาสนา
ผมเป็นเพียงผู้เข้าร่วมการชุมนุมต่อต้านรัฐประหาร ฟังการปราศรัย เข้าร่วมการเดินขบวนเป็นบางครั้ง ผมเริ่มรู้จักหลายคนที่ร่วมการชุมนุม จึงได้ร่วมกันก่อตั้งกลุ่ม24มิถุนาประชาธิปไตยขึ้นมา เป็นองค์กรหนึ่งที่ร่วมก่อตั้งแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือ กลุ่มคนเสื้อแดง
เมื่อแกนนำ นปช. ถูกจับกุมในปี 2550 , 2552 และ 2553 ผมและพรรคพวกในนามกลุ่ม24มิถุนาประชาธิปไตยได้ออกมาต่อสู้เรียกร้องให้ปล่อยตัวพวกเขา ขนถูกเรียกว่า แกนนำ นปช. รุ่น 2 เป็นการขนานนามโดยสื่อมวลชน ครั้นเมื่อแกนนำได้รับการปล่อยตัวแล้ว ผมก็กลายเป็นคนธรรมดา ที่ยังต่อสู้อยู่กับประชาชนเหมือนเดิม จนผมถูกพลเอกสพรั่ง กัลยาณมิตร ฟ้องหมิ่นประมาทจากการขึ้นเวทีปราศรัยโจมตีคณะรัฐประหาร ผมต่อสู้คดีในศาลอย่างโดดเดี่ยว มีทนายความอาสามาช่วยฟรีอย่างอนาถา ผลก็คือศาลพิพากษาปรับ 100,000 บาท จำคุก 2 ปี รอลงอาญาไว้ 1 ปี ทำให้ผมกลายเป็นคนมีหนี้สินที่ต้องชดใช้ จนเดี๋ยวนี้ผมยังชดใช้ไม่ได้
เจ้าหนี้ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทบอกกับผมว่า “ผมเลือกข้างผิดแล้ว ดูซิ ไม่มีใครสนใจให้ความช่วยเหลือเลย”
ผมถูกเชิญให้มาช่วยเขียนบทความให้กับนิตยสาร Voice of Taksin ต่อมาทีมงานจัดทำเกิดความขัดแย้งกัน ผมจึงถูกมอบหมายทำหน้าที่บรรณาธิการบริหารให้ ผมคิดแต่เพียงว่าจะได้ใช้โอกาสนี้ผลิตสื่อเสรี เป็นเวทีกลางของประชาชนที่ต่อต้านอำมาตย์ และการก่อการรัฐประหาร คัดค้านอำนาจนอกระบบที่ครอบงำการเมืองไทยมาช้านาน
หลังจากที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข่นฆ่าคนเสื้อแดงอย่างโหดร้ายระหว่างเดือนเมษายน – เดือนพฤษภาคม 2553 ผมและอาจารย์สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ออกมาประณามรัฐบาลอภิสิทธิ์ ผลก็คือตำรวจตามล่า จับกุมตัวไปไว้ที่ค่ายทหารอดิศร จังหวัดสระบุรี ตำรวจที่มาสอบสวนขอร้องให้เลิกทำนิตยสาร Voice of Taksin เลิกยุ่งเกี่ยวกับคนเสื้อแดง ร่วมมือกับรัฐบาลเป็นพยานปรักปรำชายชุดดำซึ่งมีอาวุธ หากไม่ให้ความร่วมมือจะเจอข้อหาตามมาตรา 112 อย่างแน่นอน
ผมปฏิเสธโดยเด็ดขาดที่จะไม่ให้ความร่วมมือใด ๆ ทั้งสิ้น และไม่ได้ใส่ใจต่อคำเตือนของตำรวจคนดังกล่าว เมื่อปล่อยตัวผมออกมา ผมยังคงดำเนินงานเหมือนเดิมทุกประการ แค่เปลี่ยนชื่อนิตยสารเท่านั้น ผมเห็นว่าเป้นความถูกต้องชอบธรรมของประชาชนในการต่อสู้ด้วยสันติวิธี และเป็นสิทธิเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย ถึงแม้ว่าอาจได้รับอันตรายถึงชีวิตก็ตาม
ช่วงนั้นมีการดำเนินคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามมาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญาเพิ่มมากขึ้น ผมเห็นว่าเป็นการใช้กฎหมายนี้คุกคามเสรีภาพของประชาชน ผมได้แสดงความคิดเห็นโดยเปิดเผยว่า มาตรา 112 เป็นกฎหมายไม่เป็นธรรม ผมจึงแถลงข่าวเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2554 ว่าจะรวบรวมรายชื่อประชาชนไม่น้อยกว่า 10,000 คน จนถึง 1 ล้านคน เพื่อเสนอให้มีการแก้ไขมาตรา 112 อันเป็นสิทธิของประชาชนคนไทยตามรัฐธรรมนูญ 2550
อาจารย์สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ เคยเตือนให้ผมหลบหนีเพราะมีกระแสข่าวว่า DSI ออกหมายจับในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แต่ผมมั่นใจในความบริสุทธิ์ และมั่นใจว่าจะได้รับความยุติธรรมอย่างแน่นอน ผมจึงไม่หลบหนีไปไหน แม้ว่าในเวลานั้นผมถูกสะกดรอยตามอย่างใกล้ชิดจนคุ้นเคย และจำใบหน้าได้เป็นอย่างดี แต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร และประสงค์อะไร
ถึงแม้ผมจะทุ่มเททำงานในหน้าที่สื่อมวลชน และร่วมกับขบวนการประชาชนต่อต้านรัฐประหาร จนไม่มีเวลาให้ครอบครัว แต่ผมก็รักครอบครัว ไม่เคยคิดหนีไปไหน ผมมีความสุขอยู่กับการอุทิศตนร่วมกับประชาชน เคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อความยุติธรรม ความถูกต้อง เพื่อสังคมใหม่ที่ดีงาม ผมจึงไม่คิดหนีไปไหนอย่างแน่นอน จนกระทั่งผมนำคณะท่องเที่ยวไปกัมพูชา เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2554 ผมจึงถูกจับกุม ผมไม่ได้ขัดขืนหรือตระหนกตกใจ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ต้องถูกใส่กุญแจมือ ถูกนำไปขังไว้ที่ห้องขังกองปราบปราม ซึ่งเต็มไปด้วยฝุ่นเกรอะกรัง กลิ่นเหม็นอับด้วยคราบสกปรกของห้องน้ำที่น่าขยะแขยง ผมล้มตัวลงนอนด้วยความอ่อนเพลีย
ตำรวจคอมมานโดพร้อมอาวุธปืนกลควบคุมตัวผมมาฝากขังที่ศาลอาญาในวันที่ 2 พฤษภาคม 2554 ราวกับเป็นอาชญากรร้ายแรง และถูกส่งตัวมาขังไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร
คุณสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ ซึ่งถูกจับกุมด้วยข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เช่นกันแนะนำให้รับสารภาพดีกว่า เพราะการต่อสู้คดีไม่มีวันได้รับความเป็นธรรม เพราะจะไม่ได้รับสิทธิประกันตัว เมื่อสารภาพแล้วจึงขอพระราชทานอภัยโทษ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต่อไป
ผมไม่เชื่อคำแนะนำดังกล่าว ผมมั่นใจในความบริสุทธิ์ และมั่นใจในกระบวนการยุติธรรม ผมยื่นคำร้องขอสิทธิประกันตัวอยู่หลายครั้ง แต่ก็ยังไม่ได้รับสิทธิการประกันตัวด้วยเหตุผลที่ว่า เป็นคดีร้ายแรง กลัวว่าจะหลบหนี ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2554 – เมษายน 2555 ผมถูกส่งตัวไปไต่สวนสืบพยานฝ่ายโจทก์ที่ศาลจังหวัดสระแก้ว ศาลจังหวัดเพชรบูรณ์ ศาลจังหวัดนครสวรรค์ และศาลจังหวัดสงขลา โดยที่ต้องถูกคุมขังอยู่ในคุกแต่ละจังหวัดเป็นเวลานาน จนล้มป่วยหนัก ร่างกายผ่ายผอม ไอออกมาเป็นลิ่มเลือด
เมื่อได้กลับมาคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ฝ่ายพนักงานสอบสวน และอัยการ เสนอแนะผ่านทางเรือนจำให้ผมยอมรับสารภาพจะได้ลดโทษกึ่งหนึ่ง ส่วนเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์เองได้เกลี้ยกล่อมให้ยอมรับสารภาพ เพื่อจะได้ขอรับพระราชทานอภัยโทษให้
ผมไม่เชื่อ และมั่นในความบริสุทธิ์ มั่นใจว่ายังมีความยุติธรรมอยู่ ผมจึงเดินหน้าต่อสู้คดี ในกระบวนการยุติธรรมต่อไป ระหว่างการไต่สวนไม่มีการเตรียมพยาน ไม่มีการเตรียมคดี เพียงแต่พูดความจริงให้หมดเปลือก ผมมั่นใจในความบริสุทธิ์เหมือนเดิมทุกประการ
ผมถูกคุมขังถึง 2 ปีเต็ม ใช้ชีวิตไร้อิสรภาพด้วยความซ้ำซาก จำเจ น่าเบื่อหน่าย อยู่กับนักโทษคนอื่น ๆ มากมายที่เข้ามาใหม่ และปล่อยตัวออกไป คดีนี้เป็นเพียงความคิดเห็นที่มีต่อสถานการณ์การเมืองในขณะนั้น เพียงแต่มีการตีความเกินไปกว่าถ้อยคำที่ปรากฏเพื่อเอาผิดให้ได้ ผมทำหน้าที่สื่อมวลชนในตำแหน่งบรรณาธิการบริหารโดยสุจริตใจ ผมจึงมั่นใจว่าจะได้รับการปล่อยตัวในที่สุด แต่แล้วเมื่อ 23 มกราคม 2556 ศาลตัดสินจำคุก 10 ปี บวกกับคดีหมิ่นประมาทที่รอลงอาญาไว้อีก 1 ปี รวมเป็นจำคุก 11 ปีด้วยกัน
ผมคิดทบทวนอยู่หลายวัน ความทุกข์ทรมานเจ็บปวดแทบสิ้นชีวิต ทำให้ผมคิดจะฆ่าตัวตายให้พ้นไปจากความทุกข์เหลือคณานับในครั้งนี้ มีเพียงนายปณิธาน พฤกษาเกษมสุข บุตรชายมาบอกให้ผมต่อสู้คดีให้ถึงที่สุด แม้ว่าในชั้นการอุทธรณ์ และฎีกา อาจจะยืดเยื้อถึง 5 – 6 ปีก็ตาม โดยมี คุณวสันต์ พานิช เป็นทนายความอีกคนหนึ่งที่เข้ามาช่วยในการโต้แย้งคดีในชั้นศาลอุทธรณ์
ผมคิดทบทวนอยู่หลายวันว่าการตัดสินใจของผมนั้นถูกหรือผิดกันแน่ ? ผมเลือกข้างผิดไปแล้ว ดูซิติดคุกมา 2 ปีแล้ว ยังประกันตัวไม่ได้ คนอื่น ๆ เขาได้ตำแหน่งสุขสบายกันไปหมดแล้ว ?
อุดมคติกินไม่ได้ สู้ไปติดคุกฟรี สารภาพไปเถอะ อยู่ไม่กี่ปีก็ได้ออกจากคุกไปเร็วกว่าสู้คดีอีก ถ้าสารภาพป่านนี้คงได้ออกจากคุกแล้ว ?
การต่อสู้คดีเป็นการท้าทาย ผมเตือนคุณแล้ว กองเชียร์ไม่ได้ติดคุกด้วย สู้ไปข้างหน้าติดคุกยาวแน่ ?
2 ปี แห่งความทุกข์ทรมานที่ผ่านมากับอีก 9 ปีข้างหน้าเป็นเดิมพันชีวิต ด้วยอิสรภาพทั้งทางร่างกายและจิตวิญญาณของผม ผมไม่รู้ว่าจะหมดลมหายใจเมื่อใด เมื่อต้องทุกข์ทรมานแสนสาหัสอยู่หลังกำแพงขัง และอยู่ในกรงขังเหล็กที่แน่นหนา
ไม่ว่าจะตายหรือเป็น ผมยังมั่นใจในความบริสุทธิ์ ช่วยผมหาคำตอบจากคำถามที่ผมคิดทบทวนอยู่หลายวันด้วยเถิด ... !!!
คำตอบจากคำถามคุณสมยศ....
โดย ราษฎรตาสว่าง
-ตอบคำถามแรก
การตัดสินใจของผมนั้นถูกหรือผิดกันแน่ ?คุณสมยศตัดสินใจได้ถูกต้องภายใต้จิตสำนึกที่แท้จริงของคุณคือการต่อสู้เพื่อความถูกต้องยุติธรรมความเท่าเทียมกันของคนในสังคมไทยไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบ จงภาคภูมิใจในการตัดสินใจที่ถูกต้องของคุณในครั้งนี้ เพราะคุณไม่ได้ทำความผิดตามที่เขากล่าวหา "คุณถูกใส่ร้าย" จงเข้มแข็งคุกขังคุณได้แต่ร่างกายอย่าให้คุกทำลายจิตใจของการเป็นนักต่อสู้ของคุณ จงรักษาจิตใจให้เข้มแข็งและถนอมตัวเองไว้ทำงานในอนาคตข้างหน้าที่ยังรอคุณอยู่
จงแน่วแน่มั่นคงเชื่อมั่นในสิ่งที่คุณตัดสินใจทำ.....คุณสมยศคุณไม่ได้ เป็นอาชญากรแผ่นดิน คุณติดคุกตะราง ถูกจองจำสูญเสียอิสรภาพเพราะถูกใส่ร้าย คุณใช้ชีวิตอยู่ในกรงขังแน่นหนาเยี่ยงสัตว์เดรัจฉานเพราะประเทศไทยยังปกครองด้วยระบอบเผด็จการราชาธิปไตยที่ล้าหลังป่าเถื่อนไม่ศิวิไลซ์
.-แต่กรณีคุณสมยศเป็นประชาชนอาศัยที่อยู่ในประเทศไทย โดยมีกฏหมายการปกครองภายใต้รัฐธรรมนูญโจรปี ๒๕๕๐ ของเผด็จการอำมาตย์ชั่ว (โดยเฉพาะ ม.๑๑๒ ) ที่ใช้ตั้งข้อกล่าวหายัดเยียดให้ใครก็ได้ที่มีความคิดเห็นต่างจากพวกอำมาตย์ จึงไม่ใช่ของแปลกที่คุณสมยศถูกตัดสินจำคุกทั้งๆที่เป็น "ผู้บริสุทธิ์" ไม่ได้ทำผิด....
- ตอบคำถามที่สอง
ผมเลือกข้างผิดไปแล้ว ดูซิติดคุกมา 2 ปีแล้ว ยังประกันตัวไม่ได้ คนอื่น ๆ เขาได้ตำแหน่งสุขสบายกันไปหมดแล้ว ?
-จงเชื่อมั่นแน่วแน่ในความบริสุทธิ์ของคุณ ที่คุณไม่ได้ประกันตัวเพราะคุณไม่ได้ทำผิดแต่คุณถูกกล่าวหาใส่ร้ายโดยใช้ ม.๑๑๒ ของพวกอำมาตย์ชั่ว.....ตอบคำถามต่อมา สถานการณ์ในการต่อสู้เรียกร้องทุกยุคทุกสมัยได้สร้างผู้นำมวลชนที่แท้จริงขึ้นมา ดังนั้นการจะเป็นผู้นำที่แท้จริงในการต่อสู้ จงก้าวให้พ้นกับคำว่าตำแหน่งเกียรติยศ เงินตรา ความสุขสบาย ที่ไม่ใช่ของจีรังยั่งยืนที่ได้มาภายใต้ระบอบเผด็จการ อย่าให้อำนาจเงินตราหรือตำแหน่งที่เขาจะยกให้ มาทำลายจิตวิญญาณและอุดมการณ์ของคุณ มีผู้นำมวลชนนักต่อสู้ทุกยุคทุกสมัยอีกมากมายที่ถูกจำคุกครั้งแล้วครั้งเล่าแต่เขาก็ไม่ได้ย่อท้อจนสามารถนำมวลชนต่อสู้จนได้ชัยชนะ เช่น ประธานาธิบดีเนลสัน มันเดลลา แห่งอัฟริกาใต้ ประธานาธิบดีโฮจิมินต์ แห่งเวียตนาม
- ดังคำพูดของ "ลุงโฮจิมินต์" นักปฎิวัติผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของโลก ได้พูดว่า..."ถึงแม้ร่างกายของข้าพเจ้าจะถูกคุมขังอยู่ในคุก แต่จิตวิญญาณของข้าพเจ้ายังมีอิสระเสรีอยู่นอกคุก"
-ตอบคำถามที่สาม
อุดมคติกินไม่ได้ สู้ไปติดคุกฟรี สารภาพไปเถอะ อยู่ไม่กี่ปีก็ได้ออกจากคุกไปเร็วกว่าสู้คดีอีก ถ้าสารภาพป่านนี้คงได้ออกจากคุกแล้ว ?
-การจะเป็นผู้นำมวลชนในการต่อสู้เพื่อเรียกร้องความถูกต้องยุติธรรม ต้องเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม กับการถูกใส่ร้ายป้ายสียัดเยียดข้อหาต่างๆจากฝ่ายตรงกันข้าม การถูกจับกุมคุมขังต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ตราบใดที่ประเทศไทยยังใช้กฎหมู่โจรอยู่เหนือกฏหมาย สังคมถูกปกครองด้วยอำนาจเผด็จการ ถ้าคุณยอมทำตามที่เขาแนะนำสารภาพแล้วออกจากคุกมาอยู่ภายใต้กฎหมายอันเดิมทำอะไรไม่ได้จะมีความหมายอะไร.... เหมือนคุณโกหกหลอกลวงตัวคุณเองเพื่อแลกกับอิสระภาพจอมปลอม......
-ตอบคำถามที่สี่
การต่อสู้คดีเป็นการท้าทาย ผมเตือนคุณแล้ว กองเชียร์ไม่ได้ติดคุกด้วย สู้ไปข้างหน้าติดคุกยาวแน่ ?
-ก่อนอื่นตั้งสติให้ดี แล้วคิดทบทวนการทำงานต่อสู้เรียกร้องจากอดีตจนถึงปัจจุบันแล้วถามตัวคุณเองอีกครั้งว่า คุณทำการต่อสู้เหล่านี้เพื่ออะไร? เมื่อคุณได้คำตอบแล้วคุณจะได้สบายใจ เพราะจากประวัติของนักต่อสู้ที่มีอุดมการณ์ที่แน่วแน่จากอดีตจนถึงปัจจุบันก็ประสบชะตากรรมไม่ต่างไปจากคุณ
บางคนเสียชีวิต บางคนหายสาบสูญ บางคนไม่ได้กลับบ้านเมือง แต่ทุกคนรักประเทศชาติภูมิใจที่ได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องเพื่อช่วยเหลือสังคมและเพื่อนร่วมชาติให้ได้รับความถูกต้องยุติธรรม พวกเราต่อสู้เพือความถูกต้องและอยู่เคียงข้างคุณเสมอ คิดว่าคงอีกไม่นานพี่น้องประชาชนจะนำคุณออกมาสู่อิสระภาพอย่างแน่นอน.....
ด้วยจิตคารวะ.
โดย สมยศ พฤกษาเกษมสุข
ที่มา "สมยศ พฤกษาเกษมสุข: “ผมคิดผิดไปแล้ว”
ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเมื่อชีวิตย่างเข้าสู่วัย 50 ปี จะกลายเป็นอาชญากรแผ่นดิน ติดคุกตะราง ถูกจองจำสูญเสียอิสรภาพ ใช้ชีวิตอยู่ในกรงขังแน่นหนาเยี่ยงสัตว์เดรัจฉาน
ผมใช้ชีวิตในวัยหนุ่มอยู่กับผู้ใช้แรงงาน ต่อสู้เพื่อชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้นสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เพื่อสิทธิเสรีภาพ และความเป็นธรรมในสังคม เช่นเดียวกันกับผู้คนร่วมสมัยมากมายที่ใฝ่ฝันถึงสังคมใหม่ที่ดีงาม ปราศจากการกดขี่ เอารัดเอาเปรียบ เป็นสังคมแห่งความเสมอภาพเท่าเทียมกัน ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย
ผมไม่ได้ร่ำรวย ไม่ได้มีเงินทองมากมาย ผมใช้ชีวิตพออยู่พอกิน ไม่เคยคดโกงหรือเบียดเบียนคนอื่น ไม่คิดสะสม พอมีเงินเหลือบ้างก็แบ่งปันให้คนที่ยากจนทุกข์ยากมากกว่าผม เพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกับผมบอกผมว่า “ผมคิดผิดไปแล้ว” เพ้อฝันอยู่กับอุดมคติเกินไป
หลายคนประสบผลสำเร็จเป็นนักธุรกิจเงินล้าน เป็นครูอาจารย์ที่น่านับถือ เป็นนักการเมืองชื่อดัง มีชีวิตที่มั่งคั่งร่ำรวย สุขสบาย ส่วนผมเป็นคนสามัญชนคนธรรมดา เดินถนน กินข้าวแกงอยู่ตามตรอกตามซอย
ผมเติบโตมากับการต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย ทุกครั้งที่มีการรัฐประหารชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยจะเลวร้าย ย่ำแย่ลง ไร้สิทธิเสรีภาพ รัฐประหารมีแต่ความรุนแรงด้วยการปราบปราม เข่น”ประชาชน และจับกุมคุมขัง ผมไม่อาจอยู่เฉย เอาตัวรอดตามลำพัง ผมออกมาต่อต้านการรัฐประหารตั้งแต่ 6 ตุลาคม 2519 , 23 กุมภาพันธ์ 2534 และล่าสุด 19 กันยายน 2549 ผมเห็นว่านี่เป็นการทำหน้าที่พลเมืองไทย และเป็นการทำประโยชน์ให้กับสังคม เป็นคุณงามความดีตามความเชื่อของพุทธศาสนา
ผมเป็นเพียงผู้เข้าร่วมการชุมนุมต่อต้านรัฐประหาร ฟังการปราศรัย เข้าร่วมการเดินขบวนเป็นบางครั้ง ผมเริ่มรู้จักหลายคนที่ร่วมการชุมนุม จึงได้ร่วมกันก่อตั้งกลุ่ม24มิถุนาประชาธิปไตยขึ้นมา เป็นองค์กรหนึ่งที่ร่วมก่อตั้งแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือ กลุ่มคนเสื้อแดง
เมื่อแกนนำ นปช. ถูกจับกุมในปี 2550 , 2552 และ 2553 ผมและพรรคพวกในนามกลุ่ม24มิถุนาประชาธิปไตยได้ออกมาต่อสู้เรียกร้องให้ปล่อยตัวพวกเขา ขนถูกเรียกว่า แกนนำ นปช. รุ่น 2 เป็นการขนานนามโดยสื่อมวลชน ครั้นเมื่อแกนนำได้รับการปล่อยตัวแล้ว ผมก็กลายเป็นคนธรรมดา ที่ยังต่อสู้อยู่กับประชาชนเหมือนเดิม จนผมถูกพลเอกสพรั่ง กัลยาณมิตร ฟ้องหมิ่นประมาทจากการขึ้นเวทีปราศรัยโจมตีคณะรัฐประหาร ผมต่อสู้คดีในศาลอย่างโดดเดี่ยว มีทนายความอาสามาช่วยฟรีอย่างอนาถา ผลก็คือศาลพิพากษาปรับ 100,000 บาท จำคุก 2 ปี รอลงอาญาไว้ 1 ปี ทำให้ผมกลายเป็นคนมีหนี้สินที่ต้องชดใช้ จนเดี๋ยวนี้ผมยังชดใช้ไม่ได้
เจ้าหนี้ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทบอกกับผมว่า “ผมเลือกข้างผิดแล้ว ดูซิ ไม่มีใครสนใจให้ความช่วยเหลือเลย”
ผมถูกเชิญให้มาช่วยเขียนบทความให้กับนิตยสาร Voice of Taksin ต่อมาทีมงานจัดทำเกิดความขัดแย้งกัน ผมจึงถูกมอบหมายทำหน้าที่บรรณาธิการบริหารให้ ผมคิดแต่เพียงว่าจะได้ใช้โอกาสนี้ผลิตสื่อเสรี เป็นเวทีกลางของประชาชนที่ต่อต้านอำมาตย์ และการก่อการรัฐประหาร คัดค้านอำนาจนอกระบบที่ครอบงำการเมืองไทยมาช้านาน
หลังจากที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข่นฆ่าคนเสื้อแดงอย่างโหดร้ายระหว่างเดือนเมษายน – เดือนพฤษภาคม 2553 ผมและอาจารย์สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ออกมาประณามรัฐบาลอภิสิทธิ์ ผลก็คือตำรวจตามล่า จับกุมตัวไปไว้ที่ค่ายทหารอดิศร จังหวัดสระบุรี ตำรวจที่มาสอบสวนขอร้องให้เลิกทำนิตยสาร Voice of Taksin เลิกยุ่งเกี่ยวกับคนเสื้อแดง ร่วมมือกับรัฐบาลเป็นพยานปรักปรำชายชุดดำซึ่งมีอาวุธ หากไม่ให้ความร่วมมือจะเจอข้อหาตามมาตรา 112 อย่างแน่นอน
ผมปฏิเสธโดยเด็ดขาดที่จะไม่ให้ความร่วมมือใด ๆ ทั้งสิ้น และไม่ได้ใส่ใจต่อคำเตือนของตำรวจคนดังกล่าว เมื่อปล่อยตัวผมออกมา ผมยังคงดำเนินงานเหมือนเดิมทุกประการ แค่เปลี่ยนชื่อนิตยสารเท่านั้น ผมเห็นว่าเป้นความถูกต้องชอบธรรมของประชาชนในการต่อสู้ด้วยสันติวิธี และเป็นสิทธิเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย ถึงแม้ว่าอาจได้รับอันตรายถึงชีวิตก็ตาม
ช่วงนั้นมีการดำเนินคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามมาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญาเพิ่มมากขึ้น ผมเห็นว่าเป็นการใช้กฎหมายนี้คุกคามเสรีภาพของประชาชน ผมได้แสดงความคิดเห็นโดยเปิดเผยว่า มาตรา 112 เป็นกฎหมายไม่เป็นธรรม ผมจึงแถลงข่าวเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2554 ว่าจะรวบรวมรายชื่อประชาชนไม่น้อยกว่า 10,000 คน จนถึง 1 ล้านคน เพื่อเสนอให้มีการแก้ไขมาตรา 112 อันเป็นสิทธิของประชาชนคนไทยตามรัฐธรรมนูญ 2550
อาจารย์สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ เคยเตือนให้ผมหลบหนีเพราะมีกระแสข่าวว่า DSI ออกหมายจับในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แต่ผมมั่นใจในความบริสุทธิ์ และมั่นใจว่าจะได้รับความยุติธรรมอย่างแน่นอน ผมจึงไม่หลบหนีไปไหน แม้ว่าในเวลานั้นผมถูกสะกดรอยตามอย่างใกล้ชิดจนคุ้นเคย และจำใบหน้าได้เป็นอย่างดี แต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร และประสงค์อะไร
ถึงแม้ผมจะทุ่มเททำงานในหน้าที่สื่อมวลชน และร่วมกับขบวนการประชาชนต่อต้านรัฐประหาร จนไม่มีเวลาให้ครอบครัว แต่ผมก็รักครอบครัว ไม่เคยคิดหนีไปไหน ผมมีความสุขอยู่กับการอุทิศตนร่วมกับประชาชน เคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อความยุติธรรม ความถูกต้อง เพื่อสังคมใหม่ที่ดีงาม ผมจึงไม่คิดหนีไปไหนอย่างแน่นอน จนกระทั่งผมนำคณะท่องเที่ยวไปกัมพูชา เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2554 ผมจึงถูกจับกุม ผมไม่ได้ขัดขืนหรือตระหนกตกใจ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ต้องถูกใส่กุญแจมือ ถูกนำไปขังไว้ที่ห้องขังกองปราบปราม ซึ่งเต็มไปด้วยฝุ่นเกรอะกรัง กลิ่นเหม็นอับด้วยคราบสกปรกของห้องน้ำที่น่าขยะแขยง ผมล้มตัวลงนอนด้วยความอ่อนเพลีย
ตำรวจคอมมานโดพร้อมอาวุธปืนกลควบคุมตัวผมมาฝากขังที่ศาลอาญาในวันที่ 2 พฤษภาคม 2554 ราวกับเป็นอาชญากรร้ายแรง และถูกส่งตัวมาขังไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร
คุณสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ ซึ่งถูกจับกุมด้วยข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เช่นกันแนะนำให้รับสารภาพดีกว่า เพราะการต่อสู้คดีไม่มีวันได้รับความเป็นธรรม เพราะจะไม่ได้รับสิทธิประกันตัว เมื่อสารภาพแล้วจึงขอพระราชทานอภัยโทษ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต่อไป
ผมไม่เชื่อคำแนะนำดังกล่าว ผมมั่นใจในความบริสุทธิ์ และมั่นใจในกระบวนการยุติธรรม ผมยื่นคำร้องขอสิทธิประกันตัวอยู่หลายครั้ง แต่ก็ยังไม่ได้รับสิทธิการประกันตัวด้วยเหตุผลที่ว่า เป็นคดีร้ายแรง กลัวว่าจะหลบหนี ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2554 – เมษายน 2555 ผมถูกส่งตัวไปไต่สวนสืบพยานฝ่ายโจทก์ที่ศาลจังหวัดสระแก้ว ศาลจังหวัดเพชรบูรณ์ ศาลจังหวัดนครสวรรค์ และศาลจังหวัดสงขลา โดยที่ต้องถูกคุมขังอยู่ในคุกแต่ละจังหวัดเป็นเวลานาน จนล้มป่วยหนัก ร่างกายผ่ายผอม ไอออกมาเป็นลิ่มเลือด
เมื่อได้กลับมาคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ฝ่ายพนักงานสอบสวน และอัยการ เสนอแนะผ่านทางเรือนจำให้ผมยอมรับสารภาพจะได้ลดโทษกึ่งหนึ่ง ส่วนเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์เองได้เกลี้ยกล่อมให้ยอมรับสารภาพ เพื่อจะได้ขอรับพระราชทานอภัยโทษให้
ผมไม่เชื่อ และมั่นในความบริสุทธิ์ มั่นใจว่ายังมีความยุติธรรมอยู่ ผมจึงเดินหน้าต่อสู้คดี ในกระบวนการยุติธรรมต่อไป ระหว่างการไต่สวนไม่มีการเตรียมพยาน ไม่มีการเตรียมคดี เพียงแต่พูดความจริงให้หมดเปลือก ผมมั่นใจในความบริสุทธิ์เหมือนเดิมทุกประการ
ผมถูกคุมขังถึง 2 ปีเต็ม ใช้ชีวิตไร้อิสรภาพด้วยความซ้ำซาก จำเจ น่าเบื่อหน่าย อยู่กับนักโทษคนอื่น ๆ มากมายที่เข้ามาใหม่ และปล่อยตัวออกไป คดีนี้เป็นเพียงความคิดเห็นที่มีต่อสถานการณ์การเมืองในขณะนั้น เพียงแต่มีการตีความเกินไปกว่าถ้อยคำที่ปรากฏเพื่อเอาผิดให้ได้ ผมทำหน้าที่สื่อมวลชนในตำแหน่งบรรณาธิการบริหารโดยสุจริตใจ ผมจึงมั่นใจว่าจะได้รับการปล่อยตัวในที่สุด แต่แล้วเมื่อ 23 มกราคม 2556 ศาลตัดสินจำคุก 10 ปี บวกกับคดีหมิ่นประมาทที่รอลงอาญาไว้อีก 1 ปี รวมเป็นจำคุก 11 ปีด้วยกัน
ผมคิดทบทวนอยู่หลายวัน ความทุกข์ทรมานเจ็บปวดแทบสิ้นชีวิต ทำให้ผมคิดจะฆ่าตัวตายให้พ้นไปจากความทุกข์เหลือคณานับในครั้งนี้ มีเพียงนายปณิธาน พฤกษาเกษมสุข บุตรชายมาบอกให้ผมต่อสู้คดีให้ถึงที่สุด แม้ว่าในชั้นการอุทธรณ์ และฎีกา อาจจะยืดเยื้อถึง 5 – 6 ปีก็ตาม โดยมี คุณวสันต์ พานิช เป็นทนายความอีกคนหนึ่งที่เข้ามาช่วยในการโต้แย้งคดีในชั้นศาลอุทธรณ์
ผมคิดทบทวนอยู่หลายวันว่าการตัดสินใจของผมนั้นถูกหรือผิดกันแน่ ? ผมเลือกข้างผิดไปแล้ว ดูซิติดคุกมา 2 ปีแล้ว ยังประกันตัวไม่ได้ คนอื่น ๆ เขาได้ตำแหน่งสุขสบายกันไปหมดแล้ว ?
อุดมคติกินไม่ได้ สู้ไปติดคุกฟรี สารภาพไปเถอะ อยู่ไม่กี่ปีก็ได้ออกจากคุกไปเร็วกว่าสู้คดีอีก ถ้าสารภาพป่านนี้คงได้ออกจากคุกแล้ว ?
การต่อสู้คดีเป็นการท้าทาย ผมเตือนคุณแล้ว กองเชียร์ไม่ได้ติดคุกด้วย สู้ไปข้างหน้าติดคุกยาวแน่ ?
2 ปี แห่งความทุกข์ทรมานที่ผ่านมากับอีก 9 ปีข้างหน้าเป็นเดิมพันชีวิต ด้วยอิสรภาพทั้งทางร่างกายและจิตวิญญาณของผม ผมไม่รู้ว่าจะหมดลมหายใจเมื่อใด เมื่อต้องทุกข์ทรมานแสนสาหัสอยู่หลังกำแพงขัง และอยู่ในกรงขังเหล็กที่แน่นหนา
ไม่ว่าจะตายหรือเป็น ผมยังมั่นใจในความบริสุทธิ์ ช่วยผมหาคำตอบจากคำถามที่ผมคิดทบทวนอยู่หลายวันด้วยเถิด ... !!!
...............................................................................
คำตอบจากคำถามคุณสมยศ....
โดย ราษฎรตาสว่าง
-ตอบคำถามแรก
การตัดสินใจของผมนั้นถูกหรือผิดกันแน่ ?คุณสมยศตัดสินใจได้ถูกต้องภายใต้จิตสำนึกที่แท้จริงของคุณคือการต่อสู้เพื่อความถูกต้องยุติธรรมความเท่าเทียมกันของคนในสังคมไทยไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบ จงภาคภูมิใจในการตัดสินใจที่ถูกต้องของคุณในครั้งนี้ เพราะคุณไม่ได้ทำความผิดตามที่เขากล่าวหา "คุณถูกใส่ร้าย" จงเข้มแข็งคุกขังคุณได้แต่ร่างกายอย่าให้คุกทำลายจิตใจของการเป็นนักต่อสู้ของคุณ จงรักษาจิตใจให้เข้มแข็งและถนอมตัวเองไว้ทำงานในอนาคตข้างหน้าที่ยังรอคุณอยู่
จงแน่วแน่มั่นคงเชื่อมั่นในสิ่งที่คุณตัดสินใจทำ.....คุณสมยศคุณไม่ได้ เป็นอาชญากรแผ่นดิน คุณติดคุกตะราง ถูกจองจำสูญเสียอิสรภาพเพราะถูกใส่ร้าย คุณใช้ชีวิตอยู่ในกรงขังแน่นหนาเยี่ยงสัตว์เดรัจฉานเพราะประเทศไทยยังปกครองด้วยระบอบเผด็จการราชาธิปไตยที่ล้าหลังป่าเถื่อนไม่ศิวิไลซ์
อีกอย่างกรณีคุณสมยศ ถ้าคุณอาศัยอยู่ในประเทศที่มีการปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง มีกฎหมายที่เป็นกฏหมายมาตรฐานเดียว มีการต่อสู้ใช้หลักฐาณความจริงมาหักล้างในการพิจารณาคดีในศาลอย่างยุติธรรมตามกฎหมายแล้ว คุณสมยศไม่ได้ทำผิดอะไรศาลจะไม่ตัดสินลงโทษให้จำคุกอย่างแน่นอน......
.-แต่กรณีคุณสมยศเป็นประชาชนอาศัยที่อยู่ในประเทศไทย โดยมีกฏหมายการปกครองภายใต้รัฐธรรมนูญโจรปี ๒๕๕๐ ของเผด็จการอำมาตย์ชั่ว (โดยเฉพาะ ม.๑๑๒ ) ที่ใช้ตั้งข้อกล่าวหายัดเยียดให้ใครก็ได้ที่มีความคิดเห็นต่างจากพวกอำมาตย์ จึงไม่ใช่ของแปลกที่คุณสมยศถูกตัดสินจำคุกทั้งๆที่เป็น "ผู้บริสุทธิ์" ไม่ได้ทำผิด....
- ตอบคำถามที่สอง
ผมเลือกข้างผิดไปแล้ว ดูซิติดคุกมา 2 ปีแล้ว ยังประกันตัวไม่ได้ คนอื่น ๆ เขาได้ตำแหน่งสุขสบายกันไปหมดแล้ว ?
-จงเชื่อมั่นแน่วแน่ในความบริสุทธิ์ของคุณ ที่คุณไม่ได้ประกันตัวเพราะคุณไม่ได้ทำผิดแต่คุณถูกกล่าวหาใส่ร้ายโดยใช้ ม.๑๑๒ ของพวกอำมาตย์ชั่ว.....ตอบคำถามต่อมา สถานการณ์ในการต่อสู้เรียกร้องทุกยุคทุกสมัยได้สร้างผู้นำมวลชนที่แท้จริงขึ้นมา ดังนั้นการจะเป็นผู้นำที่แท้จริงในการต่อสู้ จงก้าวให้พ้นกับคำว่าตำแหน่งเกียรติยศ เงินตรา ความสุขสบาย ที่ไม่ใช่ของจีรังยั่งยืนที่ได้มาภายใต้ระบอบเผด็จการ อย่าให้อำนาจเงินตราหรือตำแหน่งที่เขาจะยกให้ มาทำลายจิตวิญญาณและอุดมการณ์ของคุณ มีผู้นำมวลชนนักต่อสู้ทุกยุคทุกสมัยอีกมากมายที่ถูกจำคุกครั้งแล้วครั้งเล่าแต่เขาก็ไม่ได้ย่อท้อจนสามารถนำมวลชนต่อสู้จนได้ชัยชนะ เช่น ประธานาธิบดีเนลสัน มันเดลลา แห่งอัฟริกาใต้ ประธานาธิบดีโฮจิมินต์ แห่งเวียตนาม
- ดังคำพูดของ "ลุงโฮจิมินต์" นักปฎิวัติผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของโลก ได้พูดว่า..."ถึงแม้ร่างกายของข้าพเจ้าจะถูกคุมขังอยู่ในคุก แต่จิตวิญญาณของข้าพเจ้ายังมีอิสระเสรีอยู่นอกคุก"
-ตอบคำถามที่สาม
อุดมคติกินไม่ได้ สู้ไปติดคุกฟรี สารภาพไปเถอะ อยู่ไม่กี่ปีก็ได้ออกจากคุกไปเร็วกว่าสู้คดีอีก ถ้าสารภาพป่านนี้คงได้ออกจากคุกแล้ว ?
-การจะเป็นผู้นำมวลชนในการต่อสู้เพื่อเรียกร้องความถูกต้องยุติธรรม ต้องเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม กับการถูกใส่ร้ายป้ายสียัดเยียดข้อหาต่างๆจากฝ่ายตรงกันข้าม การถูกจับกุมคุมขังต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ตราบใดที่ประเทศไทยยังใช้กฎหมู่โจรอยู่เหนือกฏหมาย สังคมถูกปกครองด้วยอำนาจเผด็จการ ถ้าคุณยอมทำตามที่เขาแนะนำสารภาพแล้วออกจากคุกมาอยู่ภายใต้กฎหมายอันเดิมทำอะไรไม่ได้จะมีความหมายอะไร.... เหมือนคุณโกหกหลอกลวงตัวคุณเองเพื่อแลกกับอิสระภาพจอมปลอม......
-ตอบคำถามที่สี่
การต่อสู้คดีเป็นการท้าทาย ผมเตือนคุณแล้ว กองเชียร์ไม่ได้ติดคุกด้วย สู้ไปข้างหน้าติดคุกยาวแน่ ?
-ก่อนอื่นตั้งสติให้ดี แล้วคิดทบทวนการทำงานต่อสู้เรียกร้องจากอดีตจนถึงปัจจุบันแล้วถามตัวคุณเองอีกครั้งว่า คุณทำการต่อสู้เหล่านี้เพื่ออะไร? เมื่อคุณได้คำตอบแล้วคุณจะได้สบายใจ เพราะจากประวัติของนักต่อสู้ที่มีอุดมการณ์ที่แน่วแน่จากอดีตจนถึงปัจจุบันก็ประสบชะตากรรมไม่ต่างไปจากคุณ
บางคนเสียชีวิต บางคนหายสาบสูญ บางคนไม่ได้กลับบ้านเมือง แต่ทุกคนรักประเทศชาติภูมิใจที่ได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องเพื่อช่วยเหลือสังคมและเพื่อนร่วมชาติให้ได้รับความถูกต้องยุติธรรม พวกเราต่อสู้เพือความถูกต้องและอยู่เคียงข้างคุณเสมอ คิดว่าคงอีกไม่นานพี่น้องประชาชนจะนำคุณออกมาสู่อิสระภาพอย่างแน่นอน.....
ด้วยจิตคารวะ.
"คำพิเคราะห์ของศาลอาญา"..ทหารยิงกันเองตายช่วงสลายการชุมนุมเสื้อแดง ๒๘ เมษายน ๒๕๕๓...
วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556
ด่วน! ผลไต่สวนศาลยืนยัน ทหารยิงกันเองตายช่วงสลายการชุมนุมเสื้อแดง
30 เมษายน 2556 go6TV - ศาลอาญาอ่านคำสั่งในคดีการไต่สวนการเสียชีวิตของพลทหาร ณรงค์ฤทธิ์ สาละ สังกัดกองพันทหารราบที่ 2 กองพลทหารราบที่ 9 จังหวัดกาญจนบุรี ว่าผู้ตายเป็นใคร ตายที่ไหน เมื่อใด รวมถึงสาเหตุและพฤติการณ์การตายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 จากเหตุการณ์ที่ผู้ตายถูกยิงเสียชีวิต ขณะกำลังปฏิบัติหน้าที่ชุดลาดตระเวนเคลื่อนที่เร็ว เพื่อระงับเหตุการณ์การปะทะกันของเจ้าหน้าที่ทหาร-ตำรวจกับกลุ่มคนเสื้อแดง ที่อนุสรณ์สถานแห่งชาติ (ดอนเมือง) เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2553
โดยศาลพิเคราะห์แล้วมีคำสั่งว่า ผู้ตายคือพลทหารณรงค์ฤทธิ์ สาละ เสียชีวิตที่บริเวณถนนวิภาวดีรังสิต หน้าอนุสรณ์สถานแห่งชาติ ดอนเมือง เมื่อเวลา 15 นาฬิกา ของวันที่ 28 เมษายน 2553 ถูกยิงด้วยกระสุนปืนความเร็วสูง ที่ยิงจากอาวุธของเจ้าหน้าที่ทหาร ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในขณะนั้น โดยกระสุนปืนถูกที่หางคิ้วด้านซ้าย ทะลุกระโหลกศรีษะ ทำลายเนื้อเยื่อสมองเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย
ขณะที่การฟังคำสั่งในวันนี้ ไม่มีญาติและผู้ร้อง หรือเจ้าหน้าที่ทหารผู้เกี่ยวข้องเดินทางมาฟังคำสั่งแต่อย่างใด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ThaiFreeNews - ภาพชุดใหม่ ยิงกันเอง เผยแพร่ด่วน
".กำลังใจแด่สมยศ พฤกษาเกษมสุขหยื่อ ม.๑๑๒ ผู้บริสุทธิ์" พวกเราไม่ลืมคุณ... จงอดทนแน่วแน่... คิดว่าอีกไม่นานคุณและผู้ถูกกล่าวหาทุกคนจะได้ออกมาสู่อิสระภาพ.....ด้วยความปรารถนาดี...
30 เมษายน 2556
ภาพและเรื่อง Bulunraya Khan
วันนี้เวลา10.00น.ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล (ประตู 4) กลุ่ม24มิถุนาประชาธิปไตยและคนเสื้อแดงกว่า 50คนได้ร่วมกันจัดกิจกรรมเล็กๆ โดยนำนกกระดาษสีแดงไปแขวนไว้ที่หน้าประตูทำเนียบ และยื่นจดหมายเปิดผนึกของสมยศ พฤกษาเกษมสุขให้กับนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
โดยมีนายนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือ แรมโบ้อีสานเป็นผู้มารับจดหมายเปิดผนึกดังกล่าว จากนั้นกลุ่มกิจกรรมดังกล่าวขึงเดินทางไปเยี่ยมสมยศ พฤกษาเกษมสุขที่เรือนจำกลาง ลาดยาว
måndag 29 april 2013
....."บัลลังก์สั่นสะเทือน. เพราะแผ่นดินไหวที่มองโกเลีย"......คำปราศรัยของนายกยิ่งลักษณ์ที่มองโกเลีย...... ทำให้อาการป่วยของกษัตริย์ภูมิพลทรุดหนัก...... คือที่มาของแถลงการณ์สำนักพระราชวังฉบับที่ 63
วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2556
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง เรื่อง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฉบับที่ 63
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง เรื่อง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ มาประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช ฉบับที่ 63
วันนี้ คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้รายงานว่า เวลาประมาณ 01.00 น.ของวันที่ 28 เมษายน 2556 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระอาการไม่สบายพระองค์ ทรงมีพระกรรสะเล็กน้อย หายพระทัยเร็วกว่าปรกติ ทรงเริ่มมีพระปรอทต่ำๆ ต่อมาขึ้นสูง 38.8 องศาเซลเซียส การเต้นของพระหทัยเร็วขึ้นเล็กน้อย ความดันพระโลหิตลดลงเล็กน้อย คณะแพทย์ฯ ได้ถวายตรวจพระวรกายพบเสียงผิดปรกติของพระปับผาสะ (ปอด) และที่พระนาภี ผลการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiography) ปรากฎว่า เหมือนเดิม ผลการตรวจทางรังสีวิทยาด้วยเครื่องเอกซเรย์และเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์พระอุระพบการอักเสบเล็กน้อยที่พระปับผาสะทั้งสองข้างด้านล่าง ผลการตรวจทางรังสีวิทยาด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์พระนาภีไม่มีความผิดปรกติ ผลการตรวจพระโลหิตแสดงว่ามีการอักเสบ และได้ทำการเพาะเชื้อในพระโลหิต
คณะแพทย์ฯ ได้ขอพระราชทานงดเสวยพระกระยาหารชั่วคราว และได้ถวายสารน้ำทางหลอดพระโลหิตร่วมกับพระโอสถปฏิชีวนะ การตรวจติดตามตั้งแต่ช่วงบ่ายวันนี้ พระปรอทลดลง ความดันพระโลหิตและการหายพระทัยเป็นปรกติ พระอาการทั่วไปเริ่มดีขึ้น
จึงประกาศมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน
สำนักพระราชวัง
28 เมษายน พุทธศักราช 2556
."นายกฯยิ่งลักษณ์" ฟ้องโลกที่มองโกเลีย .....ขอขอบคุณนายกยิ่งลักษณ์......ที่ทำหน้าที่ได้สมศักดิ์ศรีของผู้นำประเทศที่มีหัวใจเป็นประชาธิปไตย กล้านำความจริงมาพูดชี้แจงให้ทั่วโลกได้รับรู้....วันเวลาที่ทุกคนรอคอยที่ประเทศจะมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยได้เริ่มต้นเป็นความจริงขึ้นแล้ว......
วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2556
"นายกฯยิ่งลักษณ์" ฟ้องโลก "พี่ชายตนถูกรัฐประหาร-ประชาชนถูกยิงด้วยสไนเปอร์" ยืนยันวันนี้พร้อมลุกสู้!
เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2556 เฟซบุ๊คของนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เผยแพร่ ปาฐกถาพิเศษ นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร การประชุมประชาคมประชาธิปไตย อูลัน บาตอ, มองโกเลีย ดังนี้
คำแปลปาฐกถาพิเศษ นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร การประชุมประชาคมประชาธิปไตย อูลัน บาตอ, มองโกเลีย 29 เมษายน 2013
โดย Yingluck Shinawatra (บันทึก) เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2013 เวลา 8:47 น.
ท่านประธาน,
ท่านผู้มีเกียรติ,
ท่านผู้เข้าร่วมประชุม,
ดิฉันขอเริ่มด้วยการขอบคุณท่านประธานาธิบดีแห่งมองโกเลียที่ได้เชิญให้ดิฉันมาปาฐกถาณ การประชุมประชาคมประชาธิปไตยแห่งนี้
ดิฉันได้ตอบรับเชิญไม่เพียงเพราะดิฉันต้องการที่จะได้มีโอกาสเยือนมองโกเลียประเทศที่ประสบความสำเร็จในความเป็นประชาธิปไตย หรือไม่ได้มาเพียงที่จะได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตยแต่ดิฉันเดินทางมาที่นี่เพราะความเป็นประชาธิปไตยมีความสำคัญต่อดิฉันอย่างมากและที่สำคัญยิ่งกว่าคือความไม่เป็นประชาธิปไตยมีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในประเทศบ้านเกิดของดิฉันประเทศไทยที่ดิฉันรัก
ประชาธิปไตยนั้นไม่ใช่เป็นแนวคิดอุดมการณ์ใหม่ในช่วงเวลาที่ผ่านมายาวนานแนวทางประชาธิปไตยได้นำมาซึ่งความก้าวหน้าและความหวังสำหรับผู้คนจำนวนมากและในขณะเดียวกัน ผู้คนจำนวนมากได้เสียสละเลือดเนื้อและชีวิตเพื่อปกป้องรักษาและสร้างความเป็นประชาธิปไตย
เป็นที่ประจักษ์ชัดว่ารัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน ไม่ได้ได้มาฟรีๆ สิทธิ เสรีภาพและความเชื่อที่ว่า มนุษย์ทุกคนไม่ว่าชายหรือหญิงมีความเท่าเทียมกันนั้นได้มาด้วยการต่อสู้และที่น่าเศร้าใจคือ ทำให้ต้องมีผู้เสียชีวิต
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นหรือ?ก็เพราะมีคนจำนวนไม่น้อยในโลกนี้ที่ไม่เชื่อในแนวคิดประชาธิปไตย คนเหล่านี้พร้อมที่จะให้ได้มาด้วยอำนาจและด้วยการกดขี่การมีเสรีภาพนั่นหมายความว่าพวกเขาพร้อมที่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น เขาไม่เคารพสิทธิมนุษยชนหรือความเสรีภาพพวกเขาพร้อมจะใช้กำลังเพื่อกดขี่ให้คนอยู่ใต้อำนาจ และยังใช้อำนาจในทางที่ผิด สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นในอดีตและยังคงท้าทายเราทุกคนในปัจจุบัน
มีหลายประเทศที่ความเป็นประชาธิปไตยได้หยั่งรากลึกแล้วซึ่งเป็นสิ่งที่ดีและเป็นความรู้สึกสดชื่นที่ได้เห็นกระแสประชาธิปไตยที่นำความเปลี่ยนแปลงสู่ประเทศต่างๆจากปรากฏการณ์อาหรับสปริงค์ถึงช่วงผ่านเปลี่ยนในเมียนมาร์ภายใต้ผลักดันของประธานาธิบดีเต็ง เส่ง รวมถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศของดิฉัน ด้วยพลังของประชาชนคนไทยที่ทำให้ดิฉันมายืนอยู่ที่นี่ได้ในวันนี้
ในระดับภูมิภาคหลักการสำคัญๆในปฏิญญาอาเซียนก็ยึดมั่นในหลักนิติธรรม, ประชาธิปไตยและรัฐบาลภายใต้รัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย แต่ในขณะเดียวกันเราทุกคนต้องระมัดระวังว่าแรงปฏิกิริยาต่อต้านประชาธิปไตยไม่เคยที่จะถดถอยลดน้อยลงดิฉันขอยกเรื่องของดิฉันเองเป็นอุทาหรณ์
ในปี1997 ประเทศไทยได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ซึ่งร่างขึ้นโดยที่ประชาชนมีส่วนร่วม เราทุกคนคิดว่ายุคใหม่ของประชาธิปไตยไทยมาถึงแล้วและจะเป็นยุคสมัยที่ไร้การรัฐประหาร
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นรัฐบาลที่ได้รับการเลือกตั้งถึงสองครั้งสองหนด้วยเสียงส่วนใหญ่ถูกล้มลงในปี 2006 ประเทศไทยเสมือนรถไฟตกรางและประชาชนคนไทยใช้เวลาเกือบ10 ปีกว่าที่จะได้เสรีภาพแห่งประชาธิปไตยกลับคืนมา
หลายคนที่อยู่ในที่ประชุมแห่งนี้รู้ว่ารัฐบาลที่ดิฉันพูดถึงคือรัฐบาลที่พี่ชายของดิฉันพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีที่ได้รับการเลือกตั้งอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
หลายคนที่ไม่รู้จักดิฉันอาจบอกว่า เธอจะบ่นไปทำไม? เป็นเรื่องปกติในกระบวนการการเมืองที่รัฐบาลมาแล้วก็ไปซึ่งหากตัวดิฉันและครอบครัวของดิฉันต้องเจ็บปวดแต่ฝ่ายเดียว ดิฉันก็คงจะปล่อยวาง
แต่นั่นก็ไม่ใช่ความเป็นไปที่เกิดขึ้นจากการรัฐประหารประเทศไทยต้องถอยหลังและสูญเสียความน่าเชื่อถือต่อนานาชาติหลักนิติธรรมและกระบวนการกฎหมายถูกทำลาย โครงการและแผนงานที่พี่ชายของดิฉันริเริ่มตามที่ประชาชนต้องการถูกยกเลิกประชาชนเกิดความรู้สึกว่าสิทธิเสรีภาพของเขาถูกปล้นไป
คำว่า“ไทย” หมายความว่า “อิสระ” และประชาชนคนไทยก็ได้ลุกขึ้นต่อสู้เรียกร้องเพื่อให้ได้เสรีภาพคืนมาแต่ในเดือนพฤษภาคม 2553 มีการสลายการชุมนุมของผู้เรียกร้องกลุ่มคนเสื้อแดง จนทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง91 คนในใจกลางย่านธุรกิจของกรุงเทพฯ
คนบริสุทธิ์ถูกลอบยิงโดยสไนป์เปอร์แกนนำการชุมนุมต้องติดคุกหรือหลบหนีไปต่างประเทศ และแม้แต่ทุกวันนี้ยังคงมีเหยื่อทางการเมืองจากการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยที่ติดคุกอยู่
ประชาชนคนไทยไม่ท้อถอยและยืนยันที่จะเดินไปข้างหน้าจนในที่สุดรัฐบาลในขณะนั้นต้องจัดให้มีการเลือกตั้ง ซึ่งก็มีฝ่ายปฏิกิริยาต่อต้านประชาธิปไตยที่เชื่อว่าจะบริหารจัดการและบิดเบือนเจตนารมณ์ประชาธิปไตยได้ต่อแต่ในที่สุดพวกเขาก็ไม่สามารถปฏิเสธความต้องการของประชาชนได้ดิฉันได้รับการเลือกตั้งด้วยเสียงส่วนใหญ่ขอประเทศ แต่เรื่องราวนั้นยังไม่จบ
มีความชัดเจนว่าผู้ที่มีปฏิกิริยาต่อต้านประชาธิปไตยยังคงอยู่รัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นในรัฐบาลภายใต้คณะรัฐประหารได้ใส่กลไกที่ตีกรอบเพื่อจำกัดความเป็นประชาธิปไตย
ตัวอย่างหนึ่งที่ดีในประเด็นนี้จะเห็นได้จากที่จำนวนครึ่งหนึ่งของวุฒิสภาไทยมาจากการเลือกตั้ง แต่อีกครึ่งหนึ่งกลับได้รับการแต่งตั้งโดยกลุ่มคนเล็กๆกลุ่มหนึ่งยิ่งกว่านั้น กลไกที่เรียกว่าองค์กรอิสระได้ใช้อำนาจเกินขอบเขตแทนประชาชนเจ้าของอำนาจที่แท้จริงเป็นการดำเนินการเพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหนึ่งมากกว่าเพื่อคนส่วนใหญ่ของสังคม
นี่คือความท้ายทายของประชาธิปไตยไทยในปัจจุบันดิฉันนั้นต้องการเห็นความปรองดองเกิดขึ้นในประเทศไทยและประชาธิปไตยของไทยพัฒนาให้เข้มแข็งยิ่งขึ้นซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยหลักนิติธรรมและกระบวนการทางกฎหมายที่แข็งแรงมีขั้นตอนที่ชัดเจนโปร่งใสและเมื่อนั้นทุกคนจะสามารถมั่นใจได้ว่าเขาจะได้รับการดูแลที่ยุติธรรมเจตจำนงนี้ ดิฉันได้แสดงออกโดยประกาศเป็นนโยบายต่อที่ประชุมของรัฐสภาก่อนการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล
ความมีประชาธิปไตยทำให้เกิดเสถียรภาพทางการเมืองเกิดสภาพแวดล้อมที่ดึงดูดการลงทุน นำมาสู่การสร้างงานสร้างรายได้ที่สำคัญดิฉันเชื่อว่าเสรีภาพทางการเมืองเป็นการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำด้วยการเปิดโอกาสทางเศรษฐกิจและนำมาซึ่งการลดช่องว่างทางรายได้ระหว่างคนจนคนรวย
นี่คือเหตุผลว่าทำไมจึงเป็นความสำคัญที่จะต้องสร้างความแข็งแกร่งให้กับประชาชนในระดับรากหญ้าเราจะต้องเดินหน้าปฏิรูปการศึกษา เพราะการศึกษาสร้างโอกาสด้วยความรู้ และปลูกฝังวัฒนธรรมทางประชาธิปไตยในวิถีชีวิตของประชาชน
เมื่อประชาชนมีความรู้ประชาชนจะสามารถตัดสินใจด้วยข้อมูลที่ครบถ้วนและสามารถปกป้องความเชื่อของตนจากผู้ที่ต้องการกดขี่และนี่คือเหตุผลที่ประเทศไทยสนับสนุนข้อเสนอของมองโกเลียในที่ประชุมใหญ่สหประชาชาติเกี่ยวกับการศึกษาและประชาธิปไตย
การลดช่องว่างระหว่างคนรวยคนจนก็สำคัญเช่นกันมนุษย์ทุกคนควรมีโอกาสที่เท่าเทียมกันเราต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง สิ่งนี้จะทำให้ประชาชนเป็นผู้มีส่วนร่วมที่แท้จริงในการพัฒนาเศรษฐกิจและเสริมสร้างประชาธิปไตยของประเทศ
นี่คือเหตุผลที่รัฐบาลต้องริเริ่มนโยบายที่จะเพิ่มโอกาสให้ประชาชนสร้างชีวิตที่ดีกว่าและมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคม ดิฉันได้เริ่มต้นไว้หลายโครงการ รวมถึงการสร้างกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น และวิสาหกิจขนดกลางขนาดย่อม ในขณะที่ได้กำหนดมาตรการยกระดับรายได้ของเกษตรกร
และดิฉันเชื่อว่าเราต้องการการนำที่มีประสิทธิภาพและมีความสร้างสรรค์ประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายและหลักนิติธรรมตลอดจนความสร้างสรรค์ในการหาทางออกที่สันติในการแก้ไขปัญหาของประชาชน
เราต้องการการนำที่ไม่จำกัดอยู่เฉพาะในซีกรัฐบาลแต่ในฝ่ายค้านและประชาชนทุกคนที่มีส่วนได้ส่วนเสียทุกคนต้องเคารพกฎหมายและช่วยกันสร้างประชาธิปไตย
ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ,
อีกบทเรียนที่ได้เรียนรู้คือเพื่อนในต่างประเทศมีความสำคัญการกดดันจากนานาชาติที่เชื่อในระบอบประชาธิปไตยทำให้กระบวนการประชาธิปไตยในประเทศไทยคงอยู่ได้การคว่ำบาตรและการไม่ยอมรับเป็นกลไกที่สำคัญที่จะหยุดกระบวนการปฏิกิริยาที่ต่อต้านประชาธิปไตย
เวทีนานาชาติอย่างประชาคมประชาธิปไตยแห่งนี้มีบทบาทที่จะช่วยให้ประชาธิปไตยยืนหยัดอยู่ได้การส่งเสริมและปกป้องประชาธิปไตยด้วยการหารือแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นประสบการณ์และสร้างความร่วมมือหากประเทศใดก็ตาม ได้มีการเปลี่ยนแปลงที่ขัดต่อหลักการประชาธิปไตย ทุกคนต้องร่วมกันกดกันเพื่อการเปลี่ยนแปลงและนำเสรีภาพกลับคืนสู่ประชาชน
โดย Yingluck Shinawatra (บันทึก) เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2013 เวลา 8:47 น.
ท่านประธาน,
ท่านผู้มีเกียรติ,
ท่านผู้เข้าร่วมประชุม,
ดิฉันขอเริ่มด้วยการขอบคุณท่านประธานาธิบดีแห่งมองโกเลียที่ได้เชิญให้ดิฉันมาปาฐกถาณ การประชุมประชาคมประชาธิปไตยแห่งนี้
ดิฉันได้ตอบรับเชิญไม่เพียงเพราะดิฉันต้องการที่จะได้มีโอกาสเยือนมองโกเลียประเทศที่ประสบความสำเร็จในความเป็นประชาธิปไตย หรือไม่ได้มาเพียงที่จะได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตยแต่ดิฉันเดินทางมาที่นี่เพราะความเป็นประชาธิปไตยมีความสำคัญต่อดิฉันอย่างมากและที่สำคัญยิ่งกว่าคือความไม่เป็นประชาธิปไตยมีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในประเทศบ้านเกิดของดิฉันประเทศไทยที่ดิฉันรัก
ประชาธิปไตยนั้นไม่ใช่เป็นแนวคิดอุดมการณ์ใหม่ในช่วงเวลาที่ผ่านมายาวนานแนวทางประชาธิปไตยได้นำมาซึ่งความก้าวหน้าและความหวังสำหรับผู้คนจำนวนมากและในขณะเดียวกัน ผู้คนจำนวนมากได้เสียสละเลือดเนื้อและชีวิตเพื่อปกป้องรักษาและสร้างความเป็นประชาธิปไตย
เป็นที่ประจักษ์ชัดว่ารัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน ไม่ได้ได้มาฟรีๆ สิทธิ เสรีภาพและความเชื่อที่ว่า มนุษย์ทุกคนไม่ว่าชายหรือหญิงมีความเท่าเทียมกันนั้นได้มาด้วยการต่อสู้และที่น่าเศร้าใจคือ ทำให้ต้องมีผู้เสียชีวิต
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นหรือ?ก็เพราะมีคนจำนวนไม่น้อยในโลกนี้ที่ไม่เชื่อในแนวคิดประชาธิปไตย คนเหล่านี้พร้อมที่จะให้ได้มาด้วยอำนาจและด้วยการกดขี่การมีเสรีภาพนั่นหมายความว่าพวกเขาพร้อมที่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น เขาไม่เคารพสิทธิมนุษยชนหรือความเสรีภาพพวกเขาพร้อมจะใช้กำลังเพื่อกดขี่ให้คนอยู่ใต้อำนาจ และยังใช้อำนาจในทางที่ผิด สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นในอดีตและยังคงท้าทายเราทุกคนในปัจจุบัน
มีหลายประเทศที่ความเป็นประชาธิปไตยได้หยั่งรากลึกแล้วซึ่งเป็นสิ่งที่ดีและเป็นความรู้สึกสดชื่นที่ได้เห็นกระแสประชาธิปไตยที่นำความเปลี่ยนแปลงสู่ประเทศต่างๆจากปรากฏการณ์อาหรับสปริงค์ถึงช่วงผ่านเปลี่ยนในเมียนมาร์ภายใต้ผลักดันของประธานาธิบดีเต็ง เส่ง รวมถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศของดิฉัน ด้วยพลังของประชาชนคนไทยที่ทำให้ดิฉันมายืนอยู่ที่นี่ได้ในวันนี้
ในระดับภูมิภาคหลักการสำคัญๆในปฏิญญาอาเซียนก็ยึดมั่นในหลักนิติธรรม, ประชาธิปไตยและรัฐบาลภายใต้รัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย แต่ในขณะเดียวกันเราทุกคนต้องระมัดระวังว่าแรงปฏิกิริยาต่อต้านประชาธิปไตยไม่เคยที่จะถดถอยลดน้อยลงดิฉันขอยกเรื่องของดิฉันเองเป็นอุทาหรณ์
ในปี1997 ประเทศไทยได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ซึ่งร่างขึ้นโดยที่ประชาชนมีส่วนร่วม เราทุกคนคิดว่ายุคใหม่ของประชาธิปไตยไทยมาถึงแล้วและจะเป็นยุคสมัยที่ไร้การรัฐประหาร
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นรัฐบาลที่ได้รับการเลือกตั้งถึงสองครั้งสองหนด้วยเสียงส่วนใหญ่ถูกล้มลงในปี 2006 ประเทศไทยเสมือนรถไฟตกรางและประชาชนคนไทยใช้เวลาเกือบ10 ปีกว่าที่จะได้เสรีภาพแห่งประชาธิปไตยกลับคืนมา
หลายคนที่อยู่ในที่ประชุมแห่งนี้รู้ว่ารัฐบาลที่ดิฉันพูดถึงคือรัฐบาลที่พี่ชายของดิฉันพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีที่ได้รับการเลือกตั้งอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
หลายคนที่ไม่รู้จักดิฉันอาจบอกว่า เธอจะบ่นไปทำไม? เป็นเรื่องปกติในกระบวนการการเมืองที่รัฐบาลมาแล้วก็ไปซึ่งหากตัวดิฉันและครอบครัวของดิฉันต้องเจ็บปวดแต่ฝ่ายเดียว ดิฉันก็คงจะปล่อยวาง
แต่นั่นก็ไม่ใช่ความเป็นไปที่เกิดขึ้นจากการรัฐประหารประเทศไทยต้องถอยหลังและสูญเสียความน่าเชื่อถือต่อนานาชาติหลักนิติธรรมและกระบวนการกฎหมายถูกทำลาย โครงการและแผนงานที่พี่ชายของดิฉันริเริ่มตามที่ประชาชนต้องการถูกยกเลิกประชาชนเกิดความรู้สึกว่าสิทธิเสรีภาพของเขาถูกปล้นไป
คำว่า“ไทย” หมายความว่า “อิสระ” และประชาชนคนไทยก็ได้ลุกขึ้นต่อสู้เรียกร้องเพื่อให้ได้เสรีภาพคืนมาแต่ในเดือนพฤษภาคม 2553 มีการสลายการชุมนุมของผู้เรียกร้องกลุ่มคนเสื้อแดง จนทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง91 คนในใจกลางย่านธุรกิจของกรุงเทพฯ
คนบริสุทธิ์ถูกลอบยิงโดยสไนป์เปอร์แกนนำการชุมนุมต้องติดคุกหรือหลบหนีไปต่างประเทศ และแม้แต่ทุกวันนี้ยังคงมีเหยื่อทางการเมืองจากการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยที่ติดคุกอยู่
ประชาชนคนไทยไม่ท้อถอยและยืนยันที่จะเดินไปข้างหน้าจนในที่สุดรัฐบาลในขณะนั้นต้องจัดให้มีการเลือกตั้ง ซึ่งก็มีฝ่ายปฏิกิริยาต่อต้านประชาธิปไตยที่เชื่อว่าจะบริหารจัดการและบิดเบือนเจตนารมณ์ประชาธิปไตยได้ต่อแต่ในที่สุดพวกเขาก็ไม่สามารถปฏิเสธความต้องการของประชาชนได้ดิฉันได้รับการเลือกตั้งด้วยเสียงส่วนใหญ่ขอประเทศ แต่เรื่องราวนั้นยังไม่จบ
มีความชัดเจนว่าผู้ที่มีปฏิกิริยาต่อต้านประชาธิปไตยยังคงอยู่รัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นในรัฐบาลภายใต้คณะรัฐประหารได้ใส่กลไกที่ตีกรอบเพื่อจำกัดความเป็นประชาธิปไตย
ตัวอย่างหนึ่งที่ดีในประเด็นนี้จะเห็นได้จากที่จำนวนครึ่งหนึ่งของวุฒิสภาไทยมาจากการเลือกตั้ง แต่อีกครึ่งหนึ่งกลับได้รับการแต่งตั้งโดยกลุ่มคนเล็กๆกลุ่มหนึ่งยิ่งกว่านั้น กลไกที่เรียกว่าองค์กรอิสระได้ใช้อำนาจเกินขอบเขตแทนประชาชนเจ้าของอำนาจที่แท้จริงเป็นการดำเนินการเพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหนึ่งมากกว่าเพื่อคนส่วนใหญ่ของสังคม
นี่คือความท้ายทายของประชาธิปไตยไทยในปัจจุบันดิฉันนั้นต้องการเห็นความปรองดองเกิดขึ้นในประเทศไทยและประชาธิปไตยของไทยพัฒนาให้เข้มแข็งยิ่งขึ้นซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยหลักนิติธรรมและกระบวนการทางกฎหมายที่แข็งแรงมีขั้นตอนที่ชัดเจนโปร่งใสและเมื่อนั้นทุกคนจะสามารถมั่นใจได้ว่าเขาจะได้รับการดูแลที่ยุติธรรมเจตจำนงนี้ ดิฉันได้แสดงออกโดยประกาศเป็นนโยบายต่อที่ประชุมของรัฐสภาก่อนการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล
ความมีประชาธิปไตยทำให้เกิดเสถียรภาพทางการเมืองเกิดสภาพแวดล้อมที่ดึงดูดการลงทุน นำมาสู่การสร้างงานสร้างรายได้ที่สำคัญดิฉันเชื่อว่าเสรีภาพทางการเมืองเป็นการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำด้วยการเปิดโอกาสทางเศรษฐกิจและนำมาซึ่งการลดช่องว่างทางรายได้ระหว่างคนจนคนรวย
นี่คือเหตุผลว่าทำไมจึงเป็นความสำคัญที่จะต้องสร้างความแข็งแกร่งให้กับประชาชนในระดับรากหญ้าเราจะต้องเดินหน้าปฏิรูปการศึกษา เพราะการศึกษาสร้างโอกาสด้วยความรู้ และปลูกฝังวัฒนธรรมทางประชาธิปไตยในวิถีชีวิตของประชาชน
เมื่อประชาชนมีความรู้ประชาชนจะสามารถตัดสินใจด้วยข้อมูลที่ครบถ้วนและสามารถปกป้องความเชื่อของตนจากผู้ที่ต้องการกดขี่และนี่คือเหตุผลที่ประเทศไทยสนับสนุนข้อเสนอของมองโกเลียในที่ประชุมใหญ่สหประชาชาติเกี่ยวกับการศึกษาและประชาธิปไตย
การลดช่องว่างระหว่างคนรวยคนจนก็สำคัญเช่นกันมนุษย์ทุกคนควรมีโอกาสที่เท่าเทียมกันเราต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง สิ่งนี้จะทำให้ประชาชนเป็นผู้มีส่วนร่วมที่แท้จริงในการพัฒนาเศรษฐกิจและเสริมสร้างประชาธิปไตยของประเทศ
นี่คือเหตุผลที่รัฐบาลต้องริเริ่มนโยบายที่จะเพิ่มโอกาสให้ประชาชนสร้างชีวิตที่ดีกว่าและมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคม ดิฉันได้เริ่มต้นไว้หลายโครงการ รวมถึงการสร้างกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น และวิสาหกิจขนดกลางขนาดย่อม ในขณะที่ได้กำหนดมาตรการยกระดับรายได้ของเกษตรกร
และดิฉันเชื่อว่าเราต้องการการนำที่มีประสิทธิภาพและมีความสร้างสรรค์ประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายและหลักนิติธรรมตลอดจนความสร้างสรรค์ในการหาทางออกที่สันติในการแก้ไขปัญหาของประชาชน
เราต้องการการนำที่ไม่จำกัดอยู่เฉพาะในซีกรัฐบาลแต่ในฝ่ายค้านและประชาชนทุกคนที่มีส่วนได้ส่วนเสียทุกคนต้องเคารพกฎหมายและช่วยกันสร้างประชาธิปไตย
ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ,
อีกบทเรียนที่ได้เรียนรู้คือเพื่อนในต่างประเทศมีความสำคัญการกดดันจากนานาชาติที่เชื่อในระบอบประชาธิปไตยทำให้กระบวนการประชาธิปไตยในประเทศไทยคงอยู่ได้การคว่ำบาตรและการไม่ยอมรับเป็นกลไกที่สำคัญที่จะหยุดกระบวนการปฏิกิริยาที่ต่อต้านประชาธิปไตย
เวทีนานาชาติอย่างประชาคมประชาธิปไตยแห่งนี้มีบทบาทที่จะช่วยให้ประชาธิปไตยยืนหยัดอยู่ได้การส่งเสริมและปกป้องประชาธิปไตยด้วยการหารือแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นประสบการณ์และสร้างความร่วมมือหากประเทศใดก็ตาม ได้มีการเปลี่ยนแปลงที่ขัดต่อหลักการประชาธิปไตย ทุกคนต้องร่วมกันกดกันเพื่อการเปลี่ยนแปลงและนำเสรีภาพกลับคืนสู่ประชาชน
ดิฉันขอยืนยันว่าจะให้การสนับสนุนเวที่นี้เวทีนี้และการดำเนินงานของสภาบริหาร( GoverningCouncil ) เพื่อจะได้ช่วยให้ประชาธิปไตยแข็งแกร่งขึ้นทั่วโลกนอกจากนี้ดิฉันขอชื่นชมประธานาธิบดีมองโกเลียสำหรับข้อริเริ่มความเป็นหุ้นส่วนเอเชียเพื่อประชาธิปไตย( Asian Partnership Initiative for Democracy ) และทางรัฐบาลไทยพร้อมที่จะส่งเสริมความร่วมมือในส่วนนี้
ท่านผู้มีเกียรติ,
ดิฉันขอปิดท้ายด้วยการประกาศว่าดิฉันหวังว่าความเจ็บปวดที่ครอบครัวของดิฉันได้รับที่ครอบครัวของเหยื่อทางการเมืองไทย และครอบครัวของผู้เสียชีวิตทั้ง 91 คนในเหตุการณ์เมื่อเดือนพฤษภาคม2553 ต้องเผชิญจะเป็นความเจ็บปวดครั้งสุดท้ายสำหรับประเทศไทย
ขอให้เราทุกคนสนับสนุนระบอบประชาธิปไตยเพื่อที่เสรีภาพและอิสรภาพของมนุษย์ได้รับการปกปักษ์รักษาเพื่อลูกหลานและคนรุ่นต่อๆไป
ขอบคุณค่ะ
Mr. Chairman,
Excellencies,
Delegates to the Conference,
Ladies and Gentlemen,
I wish to begin by expressing my appreciation to His Excellency the President of Mongolia for inviting me to speak at this Conference of the Community of Democracies.
I accepted this invitation not only because I wanted to visit a country that has made many achievements regarding democracy, or to exchange ideas and views on democracy. But I am here also because democracy is so important to me, and more importantly, to the people of my beloved home, Thailand.
Democracy is not a new concept. Over the years, It has brought progress and hope to a lot of people. At the same time, many people have sacrificed their blood and lives in order to protect and build a democracy.
A government of the people, by the people and for the people does not come without a price. Rights, liberties and the belief that all men and women are created equal have to be fought, and sadly, died for.
Why? This is because there are people in this world who do not believe in democracy. They are ready to grab power and wealth through suppression of freedom. This means that they are willing to take advantage of other people without respecting human rights and liberties. They use force to gain submission and abuse the power. This happened in the past and still posed challenges for all of us in the present.
In many countries, democracy has taken a firm root. And it is definitely refreshing to see another wave of democracy in modern times, from Arab Spring to the successful transition in Myanmar through the efforts of President Thein Sein, and also the changes in my own country where the people power in Thailand has brought me here today.
At the regional level, the key principles in the ASEAN Charter are the commitment to rule of law, democracy and constitutional government. However, we must always beware that anti-democratic forces never subside. Let me share my story.
In 1997, Thailand had a new constitution that was created through the participation from the people. Because of this, we all thought a new era of democracy has finally arrived, an era without the cycle of coups d’?tat.
It was not to be. An elected government which won two elections with a majority was overthrown in 2006. Thailand lost track and the people spent almost a decade to regain their democratic freedom.
Many of you here know that the government I am talking about was the one with my brother, Thaksin Shinawatra, as the rightfully elected Prime Minister.
Many who don’t know me say that why complain? It is a normal process that governments come and go. And if I and my family were the only ones suffering, I might just let it be.
But it was not. Thailand suffered a setback and lost international credibility. Rule of law in the country was destroyed. Projects and programmes started by my brother’s government that came from the people’s wishes were removed. The people felt their rights and liberties were wrongly taken away.
Thai means free, and the people of Thailand fought back for their freedom. In May 2010, a crackdown on the protestors, the Red Shirts Movement, led to 91 deaths in the heart of the commercial district of Bangkok.
Many innocent people were shot dead by snipers, and the movement crushed with the leaders jailed or fled abroad. Even today, many political victims remain in jail.
However, the people pushed on, and finally the government then had to call for an election, which they thought could be manipulated. In the end, the will of people cannot be denied. I was elected with an absolute majority.
But the story is not over. It is clear that elements of anti-democratic regime still exist. The new constitution, drafted under the coup leaders led government, put in mechanisms to restrict democracy.
A good example of this is that half of the Thai Senate is elected, but the other half is appointed by a small group of people. In addition, the so called independent agencies have abused the power that should belong to the people, for the benefit of the few rather than to the Thai society at large.
This is the challenge of Thai democracy. I would like to see reconciliation and democracy gaining strength. This can only be achieved through strengthening of the rule of law and due process. Only then will every person from all walks of life can feel confident that they will be treated fairly. I announced this as part of the government policy at Parliament before I fully assumed my duties as Prime Minister.
Moreover, democracy will also promote political stability, providing an environment for investments, creating more jobs and income. And most importantly, I believe political freedom addresses long term social disparities by opening economic opportunities that would lead to reducing the income gap between the rich and the poor.
That is why it is so important to strengthen the grassroots. We can achieve this through education reforms. Education creates opportunities through knowledge, and democratic culture built into the ways of life of the people.
Only then will the people have the knowledge to be able to make informed choices and defend their beliefs from those wishing to suppress them. That is why Thailand supported Mongolia’s timely UNGA resolution on education for democracy.
Also important is closing gaps between rich and poor. Everyone should be given opportunities and no one should be left behind. This will allow the people to become an active stakeholder in building the country’s economy and democracy.
That is why my Government initiated policies to provide the people with the opportunities to make their own living and contribute to the development of our society. Some of these include creating the Women Development Fund, supporting local products and SMEs as well as help raising income for the farmers.
And I believe you need effective and innovative leadership. Effective in implementing rule of law fairly. Innovative in finding creative peaceful solutions to address the problems of the people.
You need leadership not only on the part of governments but also on the part of the opposition and all stakeholders. All must respect the rule of law and contribute to democracy.
Ladies and Gentlemen,
Another important lesson we have learnt was that international friends matter. Pressure from countries who value democracy kept democratic forces in Thailand alive. Sanctions and non-recognition are essential mechanisms to stop anti-democratic regimes.
An international forum like Community of Democracies helps sustain democracy, seeking to promote and protect democracy through dialogue and cooperation. More importantly, if any country took the wrong turn against the principle of democracy, all of us here need to unite to pressure for change and return freedom to the people.
I will always support the Community of Democracies and the work of the Governing Council. I also welcome the President’s Asian Partnership Initiative for Democracy and will explore how to extend our cooperation with it.
Ladies and Gentlemen,
I would like to end my statement by declaring that, I hope that the sufferings of my family, the families of the political victims, and the families of the 91 people, who lost their lives in defending democracy during the bloodshed in May 2010, will be the last.
Let us continue to support democracy so that the rights and liberties of all human beings will be protected for future generations to come!
Thank you.
หยุดความโกลาหน...อ้างคนเพื่อฆ่าคน.......สังคมเลือกข้าง...อ้างเจ้าอ้างนาย อ้างความดีขาย...อ้างนายหนุนหลัง อ้างความพอเพียง...อ้างเสียงให้คนฟัง อ้างเสียงคนนั่ง...ริมฝั่งเจ้าพระยา......
ขุนเขาบอก :
หยุดความโกลาหน...อ้างคนเพื่อฆ่าคน.......
สังคมเลือกข้าง...อ้างเจ้าอ้างนาย
อ้างความดีขาย...อ้างนายหนุนหลัง
อ้างความพอเพียง...อ้างเสียงให้คนฟัง
อ้างเสียงคนนั่ง...ริมฝั่งเจ้าพระยา
ประเทศฉิบหาย...คนกลายเป็นลิง
อ้างคนบนหิ้ง...ให้ลิงกราบหมา
ให้ลิงหลอกเจ้า...มอบเมาประชา
อ้างดินอ้างฟ้า...ให้ขี้ข้ามันกลัว
สังคมสังคัง...นั่งบัลลังก์เหยียบไพร่
สังคมขี้ไคล...สานใหญ่ค้ำหัว
ปกป้องศักดินา...เปรียบขี้ข้าเป็นวัว
เขียนเสือให้กลัว...มืดมัวตุลาการ
สังคมสับสน...เปรียบคนเป็นเทวา
มนุษยมนา...หมิ่นฟ้าข้าประหาร
เทวดาเทวดี...ถูกไอ้อีมันประจาน
แปลงรูปแปลงสาร...สั่งประหารประชาชน
น้ำนมจากแม่...กลายเป็นแส้แช่เยี่ยว
ฟาดหลังจนเขียว...แปลบเสียวถึงขุมขน
พรพ่อให้มา...กลายเป็นพร้าฆ่าคน
สังคมโกลาหน...อ้างคำคนฆ่าคน
สังคมทรหด...จนบทสุดท้าย
รอเพียงกฎหมาย...ผ่อนคลายโกลาหน
หลายล้านชีวิต...รอลิขิตจากหนึ่งคน
หยุดความโกลาหน...อ้างคนเพื่อฆ่าคน.......
หยุดความโกลาหน...อ้างคนเพื่อฆ่าคน.......
สังคมเลือกข้าง...อ้างเจ้าอ้างนาย
อ้างความดีขาย...อ้างนายหนุนหลัง
อ้างความพอเพียง...อ้างเสียงให้คนฟัง
อ้างเสียงคนนั่ง...ริมฝั่งเจ้าพระยา
ประเทศฉิบหาย...คนกลายเป็นลิง
อ้างคนบนหิ้ง...ให้ลิงกราบหมา
ให้ลิงหลอกเจ้า...มอบเมาประชา
อ้างดินอ้างฟ้า...ให้ขี้ข้ามันกลัว
สังคมสังคัง...นั่งบัลลังก์เหยียบไพร่
สังคมขี้ไคล...สานใหญ่ค้ำหัว
ปกป้องศักดินา...เปรียบขี้ข้าเป็นวัว
เขียนเสือให้กลัว...มืดมัวตุลาการ
สังคมสับสน...เปรียบคนเป็นเทวา
มนุษยมนา...หมิ่นฟ้าข้าประหาร
เทวดาเทวดี...ถูกไอ้อีมันประจาน
แปลงรูปแปลงสาร...สั่งประหารประชาชน
น้ำนมจากแม่...กลายเป็นแส้แช่เยี่ยว
ฟาดหลังจนเขียว...แปลบเสียวถึงขุมขน
พรพ่อให้มา...กลายเป็นพร้าฆ่าคน
สังคมโกลาหน...อ้างคำคนฆ่าคน
สังคมทรหด...จนบทสุดท้าย
รอเพียงกฎหมาย...ผ่อนคลายโกลาหน
หลายล้านชีวิต...รอลิขิตจากหนึ่งคน
หยุดความโกลาหน...อ้างคนเพื่อฆ่าคน.......
söndag 28 april 2013
....ออกมาช่วยกันจัดระเบียบนำความถูกต้องยุติธรรมกลับคืนสู่สังคมไทย....
โดย โลกสีแดง แนวร่วมปราบขบถตลก.รธน.เริ่มลุยแล้ว
พท.เล็งทำ จม.เปิดผนึกยื่นศาล รธน.ย้ำก้าวล่วงรัฐสภา หากตุลาการนิ่งลุยถอดถอนแน่
วันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2556 เวลา 15:19:11 น. เมื่อวันที่ 27 เมษายน ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกพท. แถลงว่า ในวันที่ 28 เมษายน พท.จะมีการจัดเวทีปราศรัยใหญ่ "เพื่อไทยเพื่ออนาคตประเทศไทย" ที่ศาลากลางจังหวัดขอนแก่น โดยมีนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่วมปราศรัยด้วย นายอนุสรณ์ กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีสมาชิกรัฐสภาจัดทำจดหมายเปิดผนึกเพื่อยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญไม่ยอมรับอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญที่รับคำร้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ว่า ขณะนี้จดหมายดังกล่าวได้ดำเนินการผ่านฝ่ายกฎหมายของ พท.เสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงแต่การตรวจสอบในขั้นตอนสุดท้าย โดยจะใช้เวลาในการประชุม ส.ส.พรรคเพื่อไทยวันที่ 30 เมษายนนี้ นำจดหมายเปิดผนึกมาหารือในที่ประชุมพรรค และในวันที่ 1 พฤษภาคมหรือวันที่ 2 พฤษภาคมจะยื่นจดหมายเปิดผนึกต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ โดยเนื้อหาสาระจะเป็นการยืนยันทางกฎหมายและวิชาการว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจที่ฝ่ายนิติบัญญัติสามารถดำเนินการได้ รวมทั้งอธิบายความจำเป็นในการแบ่งอำนาจออกเป็น 3 ฝ่าย คือฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ นอกจากนี้ จะยกเหตุผลประกอบ เอกสารอ้างอิงเพื่อชี้แจงศาลรัฐธรรมนูญและสื่อสารตรงถึงประชาชน ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวไม่ใช่การก้าวล่วงอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ หรือต้องการไปสร้างความขัดแย้ง ไม่ต้องการล้มล้างองค์กรอิสระตามที่ฝ่ายค้านได้กล่าวหา เรายืนยันว่าการที่ศาลรัฐธรรมนูญดำเนินการแบบนี้ ศาลไม่สามารถก้าวล่วงฝ่ายนิติบัญญัติได้ เพราะมันขัดกับการแบ่งแยกอำนาจอธิปไตยไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ นายอนุสรณ์ กล่าวว่า หลังจากยื่นจดหมายเปิดผนึกแล้ว พท.จะรอดูท่าทีของศาลรัฐธรรมนูญว่ามีท่าทีอย่างไร หากไม่มีท่าทีตอบรับกลับมาเพื่อแสดงจุดยืนที่เป็นประโยชน์ต่อประชาธิปไตยก็จะต้องเดินหน้าต่อในกระบวนการของการยื่นถอดถอนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ โดยขณะนี้มี ส.ส.ของพรรคร่วมรัฐบาลร่วมกันลงชื่อประมาณ 100 คน ซึ่งถือว่าเพียงพอต่อการยื่นถอดถอนเพราจะใช้เสียงเพียง 1 ใน 4 ของสมาชิกรัฐสภาเท่านั้น ทั้งนี้ พท.ไม่ได้หวังไกลไปสู่การถอดถอนหรือการโค่นล้มองค์กรอิสระ เพราะเราเริ่มต้นด้วยการประนีประนอมโดยใช้จดหมายเปิดผนึกอธิบายเนื้อหาสาระข้อกฎหมายและวิชาการ นายอนุสรณ์ กล่าวยังถึงกรณีพรรคประชาธิปัตย์พาดพิงว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เกี่ยวโยงกับการชุมนุมหน้าศาลรัฐธรรมนูญ เพราะต้องการทำลายองค์กรอิสระว่า ไม่เป็นความจริง เมื่อ 5 มิถุนายน 2555 ที่เเชียงใหม่มีการตั้งกองบัญชาการปราบขบถ หลายภาคมีการตั้งแต่ไม่ประกาศตัว ครั้งนี้คงประกาศตัวได้แล้วครับ เพราะไม่ใช่การขบถด้วยตลก.รธน.อย่างเดียว การขบถด้วยคณะกรรมการนโยบายการเงินก็เป็นหนทางหนึ่งที่เดินอย่างคู่ขนาน นี่คืออาวุธที่ร้ายแรงที่สามารถทำลายให้คนไทยล้มละลายได้มากมายอย่างได้ผล น้ำท่วมปี2554นั้นก็ใช่เครื่องมือหนึ่ง คนอัปปรีย์พวกนี้ทำได้ทุกอย่าง อย่าประมาทครับ
...........................................................................
|
โดย ราษฎรตาสว่าง ....ออกมาช่วยกันจัดระเบียบนำความถูกต้องยุติธรรมกลับคืนสู่สังคมไทย.... โดยการรวมกลุ่มของแนวร่วมทั่วทุกภาคของประเทศ มาช่วยกันคิด มาช่วยกันทำ ร่วมกันคิดหาเสนอแนวทางแนวทางที่เหมาะสมกับสภาพของแต่ละกลุ่มของแนวร่วม โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของมวลชนและความเสียหายของประเทศชาติเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก เพื่อไม่ให้ประเทศชาติและพี่น้องประชาชนได้รับการผลกระทบและมีความเสียหายน้อยที่สุด ขอให้พี่น้องทุกท่านช่วยกันคิดใช้ความรู้ความสามารถหาแนวทางเพื่อยกระดับการต่อสู้ให้มีประสิทธิภาพ เพราะทุกแนวร่วมมีจุดหมายปลายทางเดียวกันและศัตรูของพวกเราคือ....หัวหน้าเผด็จการอำมาตย์ชั่วและพวกสมุนทาสเหลือบศักดินา... ...ฉะนั้นการต่อสู้เรียกร้องในครั้งนี้ ต้องรวมใจเป็นหนึ่งเดียวร่วมจับมือกันต่อสู้แบบคู่ขนานคือ -แนวทางแรกคือต่อสู้ในระบอบรัฐสภา ชึ่งมีรัฐบาลที่มาจากประชาชนทำหน้าที่เป็นตัวแทนของประชาชน ในการต่อสู้เพื่อแก้ไขปรับปรุงรัฐธรรมนูญโจรปี ๒๕๕๐ ซึ่งเป็นกฎหมายเผด็จการให้เป็นประชาธิปไตยเพื่อใช้แก้ไขปัญหาต่างๆในการทำงานบริหารพัฒนาประเทศของรัฐบาล ในระบบรัฐสภาตามระบอบประชาธิปไตยต่อไปให้ครบสี่ปี |
- แนวทางที่สองคือการต่อสู้ภาคประชาชนนอกสภา
ประชาชนทุกหมู่เหล่าทุกชนชั้นทุกอาชีพ ช่วยกันออกมาต่อสู้เรียกร้อง ออกมาช่วยกันคิดช่วยกันทำ ช่วยกันศึกษาค้นคว้านำความจริงต่างๆออกมาเปิดเผยให้สังคมได้รับรู้ โดยนำความชั่วความเลว ความโหดเหี้ยมอำมหิต การเอารัดเอาเปรียบกดขี่ข่มเหงของพวกเผด็จการอำมาตย์เหลือบศักดินาที่เสวยสุขบนความทุกข์ยากของประชาชนและขัดขวางความเจริญของประเทศชาติ......
|
ถึงเวลาแล้วที่พวกเราพี่น้องประชาชนร่วมชาติ จะได้ร่วมกันสร้างอนาคตของตัวเองเพื่อลูกหลาน |
....................................................
-บทส่งท้ายฝากถึงเผด็จการอำมาตย์
ท้ายนี้ฝากถึงเผด็จการอำมาตย์เราให้โอกาสพวกท่านมานานแล้ว แต่พวกท่านเห็นแก่ตัวรักแต่ตัวเองและพวกพ้อง คิดทำแต่ความชั่วทำลายประเทศชาติ ทำร้ายกดขี่ข่มเหงเข่นฆ่าประชาชนอย่างโหดเหี้ยมอำมหิต ไม่ได้รักประเทศชาติและประชาชนอย่างที่ท่านพูด ดังนั้นจากที่ท่านไม่ยอมปรับตัวอยู่กับความจริงในสังคมปัจจุบัน โดยท่านไม่ยุติปัญหาแต่ได้ส่งสัญญาณให้สมุนทาสองค์กรเถื่อนต่างๆ ของท่านออกมาทำขัดขวางการทำงานของรัฐบาล ตัวอย่าง เช่น ให้เฒ่าเปรมออกมาเดินสายเรื่องพูดเรื่องคนดีต้องทดแทนคุณแผ่นดิน ให้พรรคประชาธิปัตย์ขัดขวางการทำงานของรัฐบาล ออกใบสั่งให้ศาลรัฐธรรมนูญเถื่อนไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ..ออกใบสั่งให้ศาลตัดสินคดีสองมาตรฐาน ฯลฯ.. หลักฐานเหล่านี้พิสูจน์แล้วว่าท่านทำตัวขัดขวางระบอบประชาชาธิปไตยและพวกท่านได้ประกาศตัวอย่างเปิดเผยว่าพวกท่านไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงใดๆทั้งสิ้น )
ดังนั้นประชาชนไทยก็ถือว่าอำมาตย์......เป็นศัตรูของประเทศชาติและของประชาชน ทั้งประเทศ!!!!.
lördag 27 april 2013
.....แล้วอำมาตย์ก็ตอบโจทย์..... ส่งสัญญาณบอกประชาชนว่า "ข้าจะยอมตายคาบัลลังก์" นั่นก็หมายความว่าประชาชนโปรดเตรียมตัวให้พร้อม โดยการรวมใจเป็นหนึ่งเดียวจับมือกันเดินทางอย่างระมัดระวังรู้เขารู้เรา ให้อดีตเป็นบทเรียน อย่าตกหลุมพลางเกมชั่วของสมุนอำมาตย์ที่ขุดล่อไว้ จงมีสติคิดให้รอบคอบใช้ปัญญาในการแก้ปัญหา ช่วยกันนำความจริงออกมาเผยแพร่ให้ความรู้แก่พี่น้องประชาชนได้รับรู้ อย่าเชื่อข่าวลือ ...... พวกเราประชาชนทุกหมู่เหล่าทุกชนชั้น จงออกมาช่วยกันคิดช่วยกันทำช่วยกันแก้ไขปัญหา หยุดพวกอำมาตย์ชั่ว โดยไม่ให้ทำลายรัฐบาลที่มาจากประชาชน ไม่ให้ทำลายอนาคตของประชาชนและขัดขวางความเจริญของประเทศชาติเหมือน ปี๒๕๔๙...อีกต่อไป..
by AnnieHappy เริ่มแลกหมัดกันแล้ว โปรดอย่ากระพริบตา
เริ่มจากทักษิณประกาศแพ้ไม่เป็น
หลังจากถูกหลอกหลายรอบ บางคนออกเดินสายถี่ขึ้น ข่าวลือล้มรัฐบาลหนาหูขึ้น มวลชนถูกปล่อยจากคุก (ยังดีหน่อย) ก่อแก้วไม่ได้ประกันตัวเพราะไม่สำนึกผิด สภาประกาศไม่ยอบรับศาล รธน เสื้อแดงไปม็อบหน้าศาล แกนนำม็อบหน้าศาลถูกแจ้งความ สส สว เตรียมยื่นถอดถอนตุลาการ รธน ทักษิณถูกออกหมายจับเรื่องกรุงไทยปล่อยกู้ นพดลเจอข้อหาเรื่องพระวิหารอีก แลกหมัดกันแล้ว ตุลาการภิวัฒน์ถูกดันหลังให้ออกมาสู้กับประชาชนเต็มๆ โปรดอย่ากระพริบตา จะเข้าห้องน้ำยังต้องถือไอแพดไปด้วย |
.......ไม่ใช่นักมวยไล่ชกกรรมการ กรรมการต่างหากที่ไล่ชกนักมวย.....
จาตุรนต์ ฉายแสง
นายจาตุรนต์ ฉายแสง แกนนำ พท.โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Chaturon Chaisang ว่า "ไม่ใช่นักมวยไล่ชกกรรมการ กรรมการต่างหากที่ไล่ชกนักมวย เห็นข่าวคุณจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ บอกว่า งงที่นักมวยไล่ชกกรรมการ และก็พูดทำนองว่า ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด เพราะมีงานต้องทำ ผมก็เข้าใจได้ทันทีว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญหลายๆ คนกำลังจะจนมุมเข้าทุกทีแล้ว ใช้คำว่าจนมุมก็ดูจะเข้ากับบรรยากาศดีทีเดียว เพราะเป็นเรื่องหมัดๆ มวยๆ คุณจรัญ นับได้ว่าเป็นระดับมันสมองของศาลรัฐธรรมนูญที่คอยทำหน้าที่ปกป้องรัฐธรรมนูญ ฉบับนี้ ด้วยความสามารถระดับคุณจรัญ ถ้าไม่จนมุมจริงๆ คงไม่ออกลูกนี้ แต่ที่ต้องมาเปรียบเทียบเป็นนักมวยกับกรรมการก็เพราะเรื่องที่กำลังโต้แย้ง เกี่ยวกับบทบาทที่เลยเถิดของศาลรัฐธรรมนูญกันอยู่ในขณะนี้ ฝ่ายศาลรัฐธรรมนูญไม่มีทางโต้แย้งด้วยเหตุผลได้เลย"
ด้าน นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก "ไม่ใช่นักมวยไล่ชกกรรมการ กรรมการต่างหากที่ไล่ชกนักมวย" ตอบโต้นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญว่า "เห็นข่าวคุณจรัญบอกงงที่นักมวยไล่ชกกรรมการ และก็พูดทำนองว่าไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดเพราะมีงานต้องทำ ก็เข้าใจได้ทันทีว่า กำลังจะจนมุมเข้าทุกทีแล้ว ด้วยความสามารถระดับคุณจรัญ ถ้าไม่จนมุมจริงๆ คงไม่ออกลูกนี้"
จาตุรนต์ ฉายแสง
นายจาตุรนต์ ฉายแสง แกนนำ พท.โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Chaturon Chaisang ว่า "ไม่ใช่นักมวยไล่ชกกรรมการ กรรมการต่างหากที่ไล่ชกนักมวย เห็นข่าวคุณจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ บอกว่า งงที่นักมวยไล่ชกกรรมการ และก็พูดทำนองว่า ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด เพราะมีงานต้องทำ ผมก็เข้าใจได้ทันทีว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญหลายๆ คนกำลังจะจนมุมเข้าทุกทีแล้ว ใช้คำว่าจนมุมก็ดูจะเข้ากับบรรยากาศดีทีเดียว เพราะเป็นเรื่องหมัดๆ มวยๆ คุณจรัญ นับได้ว่าเป็นระดับมันสมองของศาลรัฐธรรมนูญที่คอยทำหน้าที่ปกป้องรัฐธรรมนูญ ฉบับนี้ ด้วยความสามารถระดับคุณจรัญ ถ้าไม่จนมุมจริงๆ คงไม่ออกลูกนี้ แต่ที่ต้องมาเปรียบเทียบเป็นนักมวยกับกรรมการก็เพราะเรื่องที่กำลังโต้แย้ง เกี่ยวกับบทบาทที่เลยเถิดของศาลรัฐธรรมนูญกันอยู่ในขณะนี้ ฝ่ายศาลรัฐธรรมนูญไม่มีทางโต้แย้งด้วยเหตุผลได้เลย"
ด้าน นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก "ไม่ใช่นักมวยไล่ชกกรรมการ กรรมการต่างหากที่ไล่ชกนักมวย" ตอบโต้นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญว่า "เห็นข่าวคุณจรัญบอกงงที่นักมวยไล่ชกกรรมการ และก็พูดทำนองว่าไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดเพราะมีงานต้องทำ ก็เข้าใจได้ทันทีว่า กำลังจะจนมุมเข้าทุกทีแล้ว ด้วยความสามารถระดับคุณจรัญ ถ้าไม่จนมุมจริงๆ คงไม่ออกลูกนี้"
http://www.youtube.com/watch?v=PmQr4XNG6eE&feature=player_embedded
โดย ราษฎรตาสว่าง
หมายเหตุ- ฝากถึงคุณ จาตุรนต์ ฉายแสง "หนทางพิสูจน์ม้ากาลเวลาพิสูจน์คน" ซึ่งกาลเวลาได้พิสูจน์แล้วว่าคุณมีจิตใจที่แน่วแน่มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลงในอุดมการณ์ กล้าพูดกล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง คุณคือทองแท้ที่มีคุณค่าสำหรับพี่น้องประชาชนเพื่อนร่วมชาติของเรา พวกเราจะร่วมเดินทางไปด้วยกันอยู่เคียงข้างคุณ ต่อสู้กับความไม่ถูกต้องความอยุติธรรมของระบอบอำมาตย์เผด็จการ เพื่อนำประเทศชาติเข้าสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง.ให้ได้....ไม่มีอำนาจเถื่อนใดๆจะมาหยุดยั้งพวกเราได้ ด้วยจิตคารวะ.....
"มวยชิงแชมป์ประเทศไทย " รัฐสภาร่วมจับมือกันกับประชาชนนอกสภา v/s ศาลรัฐธรรมนูญเถื่อน......โดยประชาชนผู้ต้องการประชาธิปไตย ทุกคนทุกหมู่เหล่าออกมาช่วยกันสนับสนุนนำความรู้ความสามรถที่มี นำความจริงต่างๆออกมาเปิดเผยให้สังคมได้รับรู้ ผลออกมาฝ่ายที่จะชนะคือฝ่ายประชาธิปไตยอย่างแน่นอน...
โดย เสรีชนประชาไท
เมื่อ ศุกร์, 26/04/2013 - 11:18
เขาพยายามบอกว่า เขามาถ่วงดุลสภาเสียงข้างมาก ผมถามกลับว่า ถ่วงดุล คือ ต่างคนต่างงัดกัน มิให้ใครเผด็จอำนาจซึ่งจะทำให้ประชาธิปไตยคลอนแคลนกลายเป็นเผด็จการ ถามว่า ใครถ่วงดุลศาล รธน รัฐบาล สภาถ่วงดุลศาลระยำได้ตรงไหน มีแต่พวกมันใช้เล่ห์เพทุบาย บีบสภาไม่ให้แก้ไข รธน ไม่ให้ทำอะไรนอกจากพวกมันต้องการ
กฎหมายไม่เป็นกฎหมาย มาตรา 68 เป็นอำนาจอัยการสูงสุดที่จะฟ้องใครละเมิดทำลายประชาธิปไตย มันก็ขยายความว่ามันมีอำนาจเพื่อคุมรัฐสภา ทั้งที่เวปไซด์ของศาล รธน ของมันเอง ยังบอกว่าอำนาจเป็นของอัยการ ตุลาโกงกลับตระบัดสัตย์แปลกฎหมายไปอีกทางหนึ่งได้ ขัดต่อความเห็นของนักนิติศาสตร์ ตำรากฎหมาย และร่างรายงานการประชุม รธน
ทักษิณผิดมหันต์ที่ไปยอมพวกมันหนก่อน ทั้งที่มวลชนชี้ว่า ต้องสู้ แต่ครั้งนี้ คิดถูกแล้วที่หันออกมาลุย
หากสภาไม่รับอำนาจศาล ศาล รธน จะทำอะไรได้ คำตัดสินของศาล รธน จะผูกพันทุกองค์กร ต้องเป็นกรณีตัดสินตามกฎหมาย ไม่ใช่ตัดสินนอกกฎหมาย ฉะนั้น เมื่อการแก้ รธน มีบทบัญญัติชัดเจนอยู่แล้ว ศาล รธน จะไปตัดสินมั่วแบบมั่วกรณีตัดสินสมัครทำกับข้าวถือเป็นลูกจ้้าง หรือดำน้ำว่า ศาลมีอำนาจรับคำร้องในกรณีมีผู้ละเมิดจะทำลายประชาธิปไตยได้เอง คงปล่อยให้เกิดขึ้นอีกไม่ได้แล้ว
หากสภาไม่ยอม เดินหน้าแก้ รธน ต่อ ผมไม่เห็นว่า ศาลจะทำอะไรได้ ปชป วอล์คเอ๊าท์ก็วอล์คไป แก้เสร็จทูลเกล้าถวายร่าง รธน แก้ไขจบ
ศาลจะสั่งทหาร ก็สั่งไม่ได้ จะเรียกร้องมวลชนก็ตกเป็นฝ่ายสภา จะขอมือที่มองไม่เห็นสั่ง มือเ[xxx]่ยวๆ ก็หมดอำนาจลงทุกทีแล้ว
ทางเดียวที่ศาลจะทำได้คือ แก้หน้า ยกฟ้องกลุ่ม 40 สว เพื่อลดวิกฤติ เพราะเดินหน้าต่อ หากกองทัพมวลชนบุกศาล รัฐบาลไม่บังคับกฎหมาย ไม่ส่งคนไปคุ้มกันศาล
ศาลจะทำอะไรได้ เพราะอำนาจบริหารก็อยู่ในมือรัฐบาล ทหารจะออกมาช่วยก็เป็นกบฎ ชนกับมวลชนแดง ทหารก็แพ้ เพราะทหารจำนวนไม่น้อยที่อิงรัฐบาล
งานนี้ ท่านทักษิณตัดสินใจได้ถูกต้อง เฉียบขาด
ผมเคยเขียนบ่อยๆ ในเวปประชาไท จนถึงประชาทอล์คว่า บทจะลุยก็ต้องสู้ คนอย่างพลเอกเปรม ผมโตมาทันยุคท่าน ท่านเป็นคนขลาด ทำเป็นฟอร์มจัด พอใครสู้ แกไม่เอาด้วย แกจะสู้เมื่อแกเห็นทางชนะเท่านั้น เรื่องร่มเกล้าคือ ตัวอย่างที่ทำให้เห็นจิตใจของคนฮอร์โมนเพศผิดปกติคนนี้
ตัดสินใจถูกแล้วที่ใช้สภาสู้ อีกด้าน ฝ่ายประชาธิปไตยก็ลุกสู้ มวยเรากำลังฮึกเหิม ถ้างานนี้ถอย ทักษิณ เพื่อไทยจะนำประชาชนไม่ได้ตลอดกาล
งานนี้ ผมขอน้อมหัวให้ฝ่ายประชาธิปไตย พิสูจน์กันไปเลยว่า เผด็จการตุลาการจะยืนได้อย่างไร ถ้าหากมวลมหาประชาชนหนุนทำลายกำแพงเผด็จการ !!
Prenumerera på:
Inlägg (Atom)