tisdag 30 april 2013

"ท่าทีเธอเปลี่ยนไป" อย่าประมาทโปรดเตรียมตัวรับศึกใหญ่ จากอาการดิ้นเฮือกสุดท้ายของหัวหน้าอำมาตย์เฒ่านักฆ่าแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยาและพวกลูกสมุน......


                                [IMG]

สุนทรพจน์ของนายกฯปู คือ "การเปลี่ยนท่าที" และ "นโยบายใหม่" เป็นแข็งกร้าวพร้อมชน
เนื้อหาในสุนทรพจน์ ของนายกฯปูที่อูลันบาตอ คนที่ติดตามก็คงเห็นแล้วนะครับว่า เผ็ดและร้อนแรงขนาดไหน ซึ่งลักษณะสุนทรพจน์ เช่นนี้ ของผู้นำทางการเมือง คือ "การเปลี่ยนท่าที" และการ "ประกาศนโยบายใหม่" นั่นเอง

แน่นอน สุนทรพจน์ของนายกฯปู ไม่ได้กล่าวโดยบังเอิญเด็ดขาด คงมีการหารือกันใน ผู้มีอำนาจในพรรคเพื่อไทย ทั้งทักษิณและกรรมการยุทธศาสตร์อื่นๆ ของพรรค ในการประกาศท่าทีใหม่นี้

หากวิเคราะห์ยุทธศาสตร์ในการทำสงคราม นี่ผมถึอว่า เป็นการประกาศเตรียมพร้อมรบ และท้าชนอย่างเต็มที่ เป็นการ "เปลี่ยนท่าที่ของนายกฯหญิงทางการเมือง แบบกลับลำ 180 องศาเลยทีเดียว"

เราจะเห็นได้ว่า ตั้งแต่ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้เกือบสองปีแล้วนั้น นายกฯปูใช้ท่าทีที่อ่อนนุ่ม เกรงอกเกรงใจฝ่ายตรงข้ามมาโดยตลอด

แต่เริ่มหน้าร้อนปีนี้ เราเห็นว่า "ท่าทีของเธอเปลี่ยนไป" ที่ผมสังเกตุได้อย่างชัดเจนคือ การไม่ไปรดน้ำ พล.อ.เปรม ในวันสงกรานต์ ซึ่งหลายๆ คนคิดว่า นายกฯปูคงติดธุระและอยู่ในระหว่างไว้ทุกข์ให้พี่สาวที่เสียชีวิต แต่ผมไม่คิดว่าจะเป็นอย่างนั้น มันเป็นท่าทีที่กำหนดเอาไว้แล้ว

อย่างที่สองคือ การไม่ไปฟังดนตรี งานหาทุนสร้างหอศิลป์อะไรของ พล.อ.เปรม นั่นก็พอบอกได้อีกว่า เป็นการเปลี่ยนท่าที

แต่ก็ยังไม่ชัด

แต่สุนทรพจน์ที่อูลันบาตอ นี่มันชัดเจน โป๊ะเช๊ะ เลยทีเดียวว่า ทางพรรคเพื่อไทยและกลุ่มอำนาจทักษิณ ได้เปลี่ยนยุทธศาสตร์การเผชิญหน้ากับกลุ่มอำมาตย์อย่างชัดเจนแล้ว เป็น "ยุทธศาสตร์ที่แข็งกร้าว" ชนเป็นชน ซึ่งเราก็เห็นชัดเจน ตั้งแต่แก้ รธน. การเสนอ ร่าง พรบ.นิรโทษกรรมมาเป็นวาระแรก

นั้นเป็นการกระทำ

แต่สุนทรพจน์นายกฯปูนั้นแข็งกร้าว ชนแบบไม่ไว้หน้า ไม่เลี่ยงอ้อมค้อมด้วย แถมยังขอความช่วยเหลือจากชาวโลกว่า "หากถูกรัฐประหาร" การแชงชั่นของชาวโลกนั้นช่วยเหลือประเทศประชาธิปไตยได้มาก

นี่ท้าชนชัดๆ

หากเราวิเคราะห์สถานการณ์ในภาพรวมแล้ว จะเห็นว่า ฝ่ายอำมาตย์นั้น กำลังอยู่ในภาวะอ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง เพราะผู้นำที่เป็นมาสเตอร์มายด์เดี้ยงอย่างที่เรารู้กัน กองทัพไม่อยู่ในสภาพที่จะเป็นเครื่องมือทางการเมืองได้ และจากข่าวในทางลึก "เปรม" นั้น ไม่ใช่ Inner Ring อีกต่อไป ทำให้อำนาจแฝงของกลุ่ม พล.อ.เปรมนั้นจริงๆ แล้ว "เปราะบาง" จนกระแทกทีเดียวก็แตก" ไม่ได้เข็มแข็งอย่างในอดีต ก่อนปี 2553 ที่ "ตัวจริงเสียงจริง เสียงตามสาย" ยังเจือยแจ้วได้อยู่ เมื่อไม่มีเสียงตามสาย อำนาจที่มีจาก "การอ้างอิงก็หมดความหมาย"

จังหวะการรุกของนายกฯปู ในการแสดงท่าทีที่แข็งกร้าว การเปลี่ยนนโยบายจาก อ่อนนุ่มเป็นแข็งกร้าว นี้จึงถูกจังหวะอย่างยิ่ง เป็นการรุกในจังหวะที่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งเลยทีเดียว ไม่มีช่วงเวลาใดที่เหมาะมากกว่าช่วงเวลานี้อีกแล้ว

อำมาตย์แม้จะต้าน ก็มีแนวรบเหลือแนวเดียวคือ "ตลก" ทั้ง 9 คน ที่โดนประชาชนรุกไล่อยู่นั่น

แต่ ตลกก็ใช่ว่าจะเป็นอาวุธชี้ขาด เพราะต่อให้ยุบพรรคเพื่อไทย ก็ไม่มีใครมี "บารมี" พอที่จะทำให้เกิดงูเห่าแบบเนวินได้อีก ทำให้ยุบไปพรุ่งนี้เขาก็ย้ายไปอยู่พรรคใหม่ เหมือนเป็นแค่การเปลี่ยนชื่อพรรคเท่านั้นเอง

ส่วนจะล้มนายกฯ ถอดถอน สส. 312 คนนั้น มันเหมือนหักด้ามพร้าด้วยเข่า เกิดความวุ่นวายทางการเมืองแน่ และในสภาวะที่กองทัพ ไม่ได้มีเอกภาพนี้ ยากที่อำนาจจะเปลี่ยนมือได้ เพราะ สส. 312 คน ถูกถอดถอน ก็ต้องเลือกตั้งใหม่ คนก็เลือก สส.พรรคเพื่อไทย กลับเขาไปอีก

แต่ทำอย่างนั้นมันท้าทายประชาชนแบบแตกหัก โดยที่ฝ่ายอำมาตย์ก็ไม่มีกำลังพอ ที่จะคุ้มครองตุลาการ เหมือนยุคที่ "ปลด นายกฯสมชาย" ได้

เกมนี้ "ผมว่า" คนชั่วถูกปราบราบคาบสิ้น" แผ่นดินไร้สิ้นปัญหาแน่

โดนนารีขี่ม้าขาว ปราบราบคาบอย่างแน่นอน

สถานการณ์ของฝ่ายอำมาตย์นั้น ต่อให้มีสติปัญญาแบบขงเบ้ง ก็สุดที่จะกู้สถานการณ์กลับคืนเป็นฝ่ายรุกได้

Credit: ลูกชาวนาไทย

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar