söndag 14 april 2013
หลักทฤษฎีของการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม และบทเรียน จากตัวอย่างการโค่นอำมาตยาธิปไตยในเวเนซุเอล่า ....
-7-
"...พรรคอุน นูโว เทียมโป กล่าวว่ารัฐบาลชาเวซทำลายระบบเศรษฐกิจของประเทศตลอดเวลา ๑๐ ปีที่ผ่านมา ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อสูงและมีคนตกงานมาก โดยเฉพาะเงินเฟ้อสูงที่สุดในแถบอเมริกาทีเดียว
ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ให้ข้อมูลด้วยว่า ในห้วงเวลาเดียวกับที่อัตราสินค้าและบริการเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างที่เรียกว่าเงินเฟ้อนั้น อัตราความเติบโตของเวเนซุเอล่าก็สูงขึ้นตลอดระยะเวลา ๒๐ ไตรมาสที่ผ่านมา นั่นคือ ๕ ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจรุดหน้าตลอด หรืออัตราคนว่างงานที่เคยสูงกว่านี้และรัฐบาลลดลงได้ถึงครึ่งหนึ่งนั้น พรรคฝ่ายค้านของเหล่าอำมาตย์ก็ไพล่ไปพูดว่าวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมต้องปิดตัวลงไปมาก และรัฐบาลไม่ล่วงรู้ถึงภาวะตกงานของกลุ่มธุรกิจนั้น
แต่เรื่องที่หยิบมาโจมตีหนักที่สุดและบ่อยที่สุดคือสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นบทละครเดิมที่นำมาสู่การรัฐประหารเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๕ ฝ่ายตรงข้ามแถลงว่ารัฐบาลของประธานาธิบดีชาเวซมีพฤติกรรมละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างมากมาย โดยอ้างข้อมูลโดยตรงจากองค์กรสังเกตการณ์ด้านสิทธิมนุษยชน (Human Rights Watch) แต่ไม่ได้บอกด้วยว่าหน่วยงานนี้ตั้งอยู่ในนครนิวยอร์กและดำเนินการทุกอย่างที่สอดคล้องกับนโยบายต่างประเทศและฐานผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกา
นั่นคือภาพรวมที่อาจมองโดยคร่าว สิ่งที่รัฐบาลชาเวซได้กระทำในนามของระบอบประชาธิปไตยจำเป็นต้องวิสัชนาในรายละเอียดบ้าง
เริ่มในปี พ.ศ.๒๕๔๔ ชาเวซออกกฎหมายทั้งสิ้น ๔๙ ฉบับที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปการจัดการผลประโยชน์ของประเทศในเรื่องน้ำมันดิบและกรรมสิทธิ์ที่ดินเสียใหม่ การออกรัฐบัญญัติเหล่านี้เป็นการประเดิมอำนาจใหม่ของประธานาธิบดีที่สามารถกำหนดนโยบายระดับโครงสร้างทางเศรษฐกิจได้โดยไม่ต้องผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
พ.ศ.๒๕๔๕ ชาเวซยกเลิกระบบควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราของประเทศ ส่งผลให้โบลิวาร์ (สกุลเงินของเวเนซุเอล่า) ลดค่าลงทันที ๒๕% เมื่อเปรียบเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ
ในปีเดียวกันชาเวซสั่งปลดคณะกรรมการบริหารองค์การผูกขาดการทำธุรกิจน้ำมันของประเทศทั้งชุด และตั้งคนใหม่ที่สนองนโยบายใหม่ของรัฐบาล เขาต้องเผชิญกับสหภาพแรงงานขององค์การนี้ในการประท้วงอย่างรุนแรงในลักษณะคล้ายกับช่วงแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย แต่ไม่ล้ม น่าจะเป็นเพราะไม่มีมือที่มองไม่เห็นหนุนหลังอยู่ในเวเนซุเอล่าเหมือนกรณีการไฟฟ้าฯ ของไทย
พ.ศ.๒๕๔๘ รัฐบัญญัติปฏิรูปที่ดินมีผลบังคับใช้เต็มที่ สาระสำคัญคือห้ามการถือครองที่ดินเป็นจำนวนมาก รัฐบาลประกาศว่านี่คือการคืนความเป็นธรรมให้กับประชาชนในชนบท ในขณะที่เจ้าของที่ดินสาปแช่งประณามว่าเป็นการล่วงละเมิดทรัพย์สินส่วนบุคคล
เดือนมิถุนายนของปีเดียวกัน ชาเวซขยายกรอบการปฏิวัติออกไปสู่ภูมิภาค โดยขายน้ำมันดิบในราคาพิเศษให้กับ ๑๓ ประเทศในทะเลแคริบเบียนที่เชิญมาประชุมสุดยอด ณ กรุงคาร์ราคัส แต่ไม่ยอมขายให้สหรัฐอเมริกาในอัตรานั้น
พ.ศ.๒๕๔๙ ชาเวซตบหน้าสหรัฐฯ ซ้ำอีกด้วยการลงนามซื้อขายอาวุธกับรัสเซียด้วยมูลค่าสูงถึง ๓,๐๐๐ ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงเครื่องบินรบและเฮลิคอปเตอร์
พ.ศ.๒๕๕๐ ประกาศยึดกิจการหลายบริษัทที่ได้สัมปทานจากรัฐบาลชุดก่อนๆ ของเวเนซุเอล่าที่ทำธุรกิจพลังงานและโทรคมนาคมเข้ามาเป็นของรัฐตั้งแต่เดือนมกราคม
เดือนมีนาคมก็เดินหน้ายึดที่ดินของฟาร์มขนาดใหญ่ถึง ๑๖ แห่งในประเทศ แต่ละแห่งมีธุรกิจที่คล้ายกับเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) ในเมืองไทยทั้งนั้น แล้วนำที่ดินนั้นมาจ่ายแจกใหม่ให้กับชาวนาผู้ไร้ที่ดินทำกิน
เดือนพฤษภาคมเข้ายึดกิจการ บริษัท โอริโนโค เดลต้า ซึ่งครอบครองสิทธิในการขุดเจาะน้ำมันสูงสุดในประเทศ และขณะเดียวกันก็สั่งปิดสถานีโทรทัศน์ RCTV ของฝ่ายตรงข้ามที่คอยด่าประณามรัฐบาลในเรื่องนี้ จนเกิดการเดินขบวนทั้งฝ่ายสนับสนุนและคัดค้านยกใหญ่
แต่ในเดือนมิถุนายนก็ชนตอ บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ เอ็กซอนโมบิล และ โคโนโคฟิลิปส์ ปฏิเสธไม่ยอมส่งฐานการปฏิบัติการของตนให้กับรัฐบาลเวเนซุเอล่า จนเรื่องค้างอยู่ถึงเดี๋ยวนี้ ฯลฯ
ไม่มีใครวิพากษ์ ประธานาธิบดี ฮิวโก้ ชาเวซ ได้ว่าไม่รักษาคำพูด การปฏิบัติตามสัญญาที่ได้หาเสียงไว้และกระทำในอัตราเร่งมาตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง ทำให้เขาประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนฐานทางเศรษฐกิจของเวเนซุเอล่าอย่างรวดเร็ว ประชาชนยอมรับนับถืออย่างรวดเร็ว และศัตรูก็ขยายอย่างรวดเร็วเช่นเดียวทั้งปริมาณและความสามารถทางวิชามารในการเจาะยางรัฐบาล
เราพูดได้อย่างชัดเจนว่า ฮิวโก้ ชาเวซ บริหารเวเนซุเอล่าตลอด ๑๐ ปีที่ผ่านมา โดยประยุกต์ใช้นโยบายประชานิยมอย่างเต็มพิกัด เพราะไม่เพียงแต่นำดอกผลของรายได้ประชาชาติมาเจือจานด้วยวิธีใหม่ แต่เขายังเปลี่ยนฐานความมั่งคั่งของประเทศในเวลาชั่วข้ามคืน จนมหาเศรษฐี (เก่า) หอบผ้าผ่อนอพยพไปยังสหรัฐอเมริกาแทบไม่ทัน
หลายคนย้ายไปแล้วและมีแนวโน้มว่าจะไม่กลับ"
- 8 -
๔. ความคิดตาม
...รัฐบาล ที่ได้รับเลือกตั้งจากประชาชนรากหญ้าย่อมต้องเป็นเช่นนี้ การเป็นรัฐบาลแนวสังคมนิยมในปัจจุบันไม่จำเป็นต้องผ่านกระบวนการปฏิวัติด้วย กำลังอาวุธเหมือนแนวของ เช กูวาร่า แต่จะต้องใช้กฎหมายเป็นเครื่องมืออย่างเต็มที่ในการเปลี่ยนวิถีผลิตของ ประเทศแบบกลับหัวกลับหาง และต้องเร่งทำเพื่อมิให้ฝ่ายที่สูญเสียผลประโยชน์เอาคืนได้ทัน
การเตรียมมวลชนให้พร้อมต่อการช่วงชิงอำนาจของฝ่ายอนุรักษ์นิยม อย่างที่ชาเวซทำเมื่อคราวรัฐประหารนั้น เป็นสิ่งสำคัญพอๆ หรือยิ่งกว่าการบริหารงานประเทศตามแนวทางใหม่ เพราะแนวทางดังกล่าวก่อศัตรูมากและอุปสรรคขวางทางก็มาก ถ้าไม่เตรียมกลไกป้องกันตัวเองไว้ก็จะถูกทำลายจนไม่อาจเดินไปสู่เป้าหมายได้ ชาเวซเป็นผู้นำจากการเลือกตั้งอย่างเป็นประชาธิปไตยจริง แต่เขาไม่เคยละทิ้งประสบการณ์และแนวทางเมื่อครั้งที่เป็นนาวิกโยธิน
ฝ่ายประชาธิปไตยในเมืองไทยต้องพ่ายฝ่ายอำมาตย์ในปี พ.ศ.๒๕๔๙ ก็เพราะขาดเครื่องมือลับในทางการเมืองและมิได้จัดตั้งประชาชนไว้ปกป้องตน เองอย่างที่ชาเวซทำ
ถามง่ายๆ ก็ได้ว่า หากเกิดการรัฐประหารขึ้นมาอีกครั้ง จะรวมพลอย่างไร รวมแล้วไปไหน ใครคือเป้าหมาย และเมื่อไปถึงแล้วจะทำสิ่งใด
เมื่อได้อำนาจรัฐแล้ว จะทำอะไรก่อนหลัง และจะใช้วิธีใดเพื่อล้างอิทธิพลดั้งเดิมในสังคมอนุรักษ์นั้นอย่างไร
เพราะไม่ใช่ตัวบุคคล แต่เป็นเครือข่ายและโครงข่ายใยแมงมุม
เหล่านี้เป็นคำถามยุทธศาสตร์ทั้งสิ้น
โดยสรุปแล้ว ฮิวโก้ ชาเวซ บอกเราเป็นภาษาสเปนแปลเป็นไทยว่า การรับมือกับฝ่ายอำมาตย์ต้องกระทำโดยการปฏิวัติเท่านั้น
น้อยกว่านี้ถือว่าหลอกกันเล่นและไม่ต้องการให้ฝ่ายประชาชนได้โงหัวจริง.
...............................................................................................................................
Prenumerera på:
Kommentarer till inlägget (Atom)
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar