"กงล้อประวัติศาสตร์"เรื่องของวงการสงฆ์ในอดีตที่ผิดพลาด...
เรื่องในอดีต เอามาเล่าเพื่อเป็นกรณีศึกษา
ให้ชาวพุทธได้มีความรู้และช่วยกันปกป้องพระพุทธศาสนา ยาวหน่อย
แต่รับรองอ่านแล้วไม่อยากละสายตาเลยครับ
กรณีพระพิมลธรรม (อาจ อาสโภ)
เขียนโดย พระมหาวัฒนวงศ์ อาภสฺสรเมธี
ข้าพเจ้าเชื่อว่าคงมีน้อยคนในยุคนี้ ที่เคยได้ยินเรื่องราวของพระพิมลธรรม
(อาจ อาสโภ) พระผู้พัฒนางานด้านพระพุทธศาสนา
และการฟื้นฟูเผยแผ่พระพุทธศาสนาหัวก้าวหน้า
ในยุครัฐบาลเผด็จการโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม
จวบจนถึงสมัย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ งานที่พระพิมลธรรมได้บุกเบิกไว้
ถือว่าเป็นงานที่ท้าทายต่อความคิดและความรู้สึกผู้คนในสมัยนั้นไม่น้อย
ด้วยเหตุนี้ท่านจึงต้องเผชิญหน้ากับความขัดแย้ง ความริษยา
และการคุกคามของผู้มีอำนาจทั้งทางตรงและทางอ้อม
เรื่องราวความเป็นมาของท่านนั้น
อาจกล่าวได้ว่าเป็นตำนานแห่งการยืนหยัดต่อสู้กับความขัดแย้ง มิจฉาทิฐิ
และการใช้อำนาจอันอยุติธรรมที่แอบแฝงอยู่ในสถาบันสงฆ์
การนำเรื่องราวของท่านมาเล่าสู่กันฟัง อาจช่วยให้เราได้ทบทวนความทรงจำ
และรำลึกถึงหนทางการต่อสู้กับอำนาจอยุติธรรมด้วยการยึดมั่นในธรรมของท่านด้วยจิตคารวะ
ในยุคนั้นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างแนวทางการทำงานของพระพิมลธรรม (อาจ
อาสโภ) ที่มีต่อความคิด
ความรู้สึกของพระผู้ใหญ่และคณะสังฆมนตรีบางรูปในคณะสงฆ์
รุนแรงถึงขั้นที่ฝ่ายตรงข้ามต้องยืมมือรัฐบาลเผด็จการในสมัยนั้นเข้ามาใช้อำนาจแทรกแซง
เพื่อกำจัดท่านออกไปจากวงการสงฆ์เลยทีเดียว
จนภายหลังแม้ท่านจะถูกถอดถอนจากสมณศักดิ์
ถูกรัฐบาลสั่งจับคุมขังด้วยข้อหาว่ามีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์
(อันเป็นข้อหายอดนิยมที่อุกฉกรรจ์มากในสมัยนั้น)
และถูกบีบบังคับให้สึกออกจากสมณเพศ ท่านก็ยังคงยืนหยัดยึดมั่นอยู่ในธรรม
ปฏิบัติธรรมอยู่ในห้องขัง ไม่ต่างจากตอนที่ครองผ้ากาสาวพัสตร์ เป็นเวลาถึง ๕
พรรษา จนเมื่อรัฐบาลเดิมหมดอำนาจไป
กอรปกับมีการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ ศาลทหารกรุงเทพฯ
จึงได้มีการสอบสวนและพิสูจน์ได้ว่าท่านบริสุทธิ์
ในครั้งนั้นท่านได้รับอิสรภาพ
และได้กลับมาครองสมณเพศท่ามกลางความยินดีของศาสนิกจำนวนมาก
แต่กระนั้นก็ใช่ว่าจะได้รับสมณศักดิ์กลับคืน
จนในภายหลังที่พระสงฆ์ได้รวมตัวกันเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ท่าน
ท่านจึงได้รับพระราชทานสมณศักดิ์คืนกลับมาดังเดิม
สาเหตุเบื้องหลังเหตุการณ์อันอยุติธรรม
และความขัดแย้งที่รุนแรงทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้
อาจกล่าวได้ว่ามีรากเหง้ามาจากอำนาจกิเลส มิจฉาทิฐิ ความริษยา
และการผูกใจอาฆาตอย่างที่คนทั่วไปนึกไม่ถึง ว่าพระผู้ใหญ่ระดับชั้นสมเด็จฯ
และสังฆมนตรีบางรูปในสมัยนั้นจะเป็นไปได้ถึงเพียงนี้
ดังที่จะขอกล่าวต่อไปโดยลำดับ
ประวัติโดยสังเขป
พระพิมลธรรม (อาจ อาสโภ) มีนามเดิมว่า อาจ ดวงมาลา ถือกำเนิดเมื่อวันที่ ๘
พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๖ ณ ตำบลบ้านโต้น อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุ ๑๔ ปี ได้ศึกษาพระพุทธศาสนา
ทั้งทางด้านปฏิบัติและปริยัติเรื่อยมา เมื่ออายุย่างเข้า ๑๘
ปีก็ได้ย้ายเข้ามาศึกษาวิชาพระพุทธศาสนาในกรุงเทพฯ ณ
วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ โดยได้พำนักอยู่ ณ วัดมหาธาตุฯ นั้นเอง
ต่อมาท่านได้รับอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดมหาธาตุฯ
โดยมีท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารี) เป็นพระอุปัชฌาย์
ได้รับฉายาว่า “อาสโภ”
ท่านได้หมั่นเพียรศึกษาเรื่อยมาจนสอบได้เป็นเปรียญธรรม ๘ ประโยค
และได้เป็นครูสอนประจำสำนักวัดมหาธาตุฯ เป็นเวลาถึง ๗ ปี (๒๔๖๗–๒๔๗๕)
ต่อมาจึงได้ถูกส่งไปเป็นเจ้าอาวาส ณ วัดสุวรรณดาราราม
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อไปฟื้นฟูการงานพระพุทธศาสนาที่นั่น
ภายหลังได้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยาอีกด้วย
ท่านได้ทำงานฟื้นฟูพระพุทธศาสนาที่นั่นเป็นระยะเวลาถึง ๑๖ ปี (๒๔๗๕–๒๔๙๑)
ในระหว่างนั้นท่านได้สร้างผลงานด้านการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาไว้ไม่น้อย
และได้ดำรงตำแหน่งสำคัญ ๆ หลายประการ เป็นต้นว่า
สังฆมนตรีช่วยว่าการองค์การศึกษา เจ้าคณะตรวจการภาค แม่กองธรรมสนามหลวง
และยังได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่
พระศรีสุธรรมมุนี และเลื่อนชั้นเรื่อยมาจนเป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่
พระธรรมไตรโลกาจารย์
ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๑
ท่านได้ย้ายกลับเข้ามาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์
กรุงเทพฯ และได้เลื่อนสมณศักด์เป็นพระราชาคณะชั้นเจ้ารองสมเด็จที่
“พระพิมลธรรม” ในปี พ.ศ. ๒๔๙๒
ซึ่งในระหว่างที่ท่านดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสนั้น
ท่านยังได้รับแต่งตั้งเป็นสังฆมนตรีว่าการองค์การปกครองถึง ๔ สมัย
เหตุแห่งความขัดแย้ง
เหตุความขัดแย้งและความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับพระพิมลธรรม
จนท่านถึงกับต้องถูกปลดออกจากตำแหน่ง ถูกถอดถอนสมณศักดิ์
ตลอดจนจับกุมคุมขังนั้น
อาจกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องที่สืบเนื่องมาตั้งแต่เมื่อครั้งที่ท่านดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุฯ
และสังฆมนตรีว่าการองค์การปกครอง
เพราะในช่วงเวลาที่ท่านได้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว
ท่านได้สร้างสรรค์งานทางด้านการศึกษา และการเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างใหม่
ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวงการสงฆ์
อันก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก
เพราะมีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
และมีทั้งผู้ที่ริษยาในความสำเร็จและชื่อเสียงเกียรติคุณของท่านอยู่ไม่น้อย
งานสำคัญ ๆ ที่ท่านได้บุกเบิกไว้ในยุคนั้นมีสามประการคือ
๑.การขอพระอาจารย์ชั้นธัมมาจริยะจากประเทศพม่ามาช่วยสอนพระอภิธรรมปิฎกในเมืองไทย
๒. การส่งพระภิกษุนักเรียนพุทธศาสนบัณฑิตไปศึกษาต่อ ณ ต่างประเทศ
เพื่อต่อปริญญาโท และปริญญาเอก ดังที่ยังคงดำเนินเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
๓.การฟื้นฟูวิปัสสนาธุระ คือตั้งสำนักวิปัสสนากัมมัฏฐานขึ้นที่วัดมหาธาตุฯ
เป็นแห่งแรก แล้วขยายให้กว้างขวางมากขึ้นโดยลำดับไปสู่อำเภอและจังหวัดต่าง ๆ
เกือบทั่วประเทศ
นอกจากงานสำคัญทั้งสามประการนี้แล้ว ท่านยังได้มีการทำงานด้านอื่น ๆ
ที่ท้าทายความรู้สึกของคนยุคนั้นและมหาเถระสมาคมอีกไม่น้อย เช่น
การไม่ออกกฎห้ามคอมมิวนิสต์บวชในพระพุทธศาสนา
การเป็นประธานนำคณะพระสังคีติการกะไทยไปร่วมประชุมกระทำฉัฏฐสังคยานาพระไตรปิฎก
ณ กรุงย่างกุ้ง ประเทศพม่า การนำพระพุทธศาสนาไปเผยแพร่ในต่างประเทศ เช่น
มาเลเซีย กัมพูชา อังกฤษ อินเดีย และเนเธอร์แลนด์ เป็นต้น
และการทำงานร่วมกับองค์กรฟื้นฟูศีลธรรรมจากต่างประเทศ (Moral Rearmament :
M.R.A. ) หรือที่คนทั่วไปรู้จักในชื่อว่า เอ็ม. อาร์. เอ.
โดยไม่ยึดถือศาสนาไหนของใครว่าเป็นสำคัญ เป็นต้น
งานเหล่านี้เป็นสิ่งที่พระมหาเถระชั้นผู้ใหญ่บางท่านไม่เห็นด้วย
โดยเฉพาะพระมหาเถระระดับสังฆนายกในสมัยนั้น คือสมเด็จพระวันรัต (ปลด
กิตฺติโสภณมหาเถร) และสังฆมนตรีบางท่าน
เพราะท่านเหล่านั้นไม่เข้าใจและมองไม่เห็นว่าจะเป็นประโยชน์แก่พระศาสนาในทางใด
แต่ไม่กล้าขัดขวางโดยตรง ได้แต่แสดงความเห็นคัดค้าน
ด้วยการวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ นานา
ก่อให้เกิดเป็นพลังกดดันและความขัดแย้งที่ค่อย ๆ
สะสมเพิ่มมากขึ้นภายในสังฆสมาคมชั้นสูง
สาเหตุที่สำคัญอีกประการ ที่นำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงก็คือ
ความอิจฉาริษยาในชื่อเสียงเกียรติคุณของพระพิมลธรรมที่เฟื่องฟูมากในยุคนั้น
เนื่องจากงานบุกเบิกใหม่ ๆ
ที่พระพิมลธรรมได้มุ่งมั่นทำขึ้นเหล่านี้ยังผลให้ชื่อเสียง
เกียรติคุณของท่านขจรขจายไปไกลยังนานาประเทศ
ได้รับความเชื่อถือจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น พม่า และกัมพูชา
และยังได้รับเชิญเป็นรูปแรกให้เดินทางไปร่วมงานกับองค์กรทางศีลธรรมและศาสนาระดับนานาชาติ
เช่น เอ็ม. อาร์. เอ. เป็นต้น
เพื่อให้เห็นสาเหตุและประเด็นความขัดแย้งที่ชัดเจนขึ้น
เราอาจทำได้ด้วยการย้อนพิจารณาถึงงานสำคัญ ๆ
ที่พระพิมลธรรมได้บุกเบิกทำขึ้นในยุคนั้นตามลำดับดังนี้
งานประการแรก คือ
การขอพระอาจารย์ชั้นธัมมาจริยะจากประเทศพม่ามาช่วยสอนพระอภิธรรมปิฎกในเมืองไทย
ในปีพ.ศ. ๒๔๙๑ พระพิมลธรรมได้เคยปรึกษากับเอกอัครราชฑูตพม่า
เพื่อขอให้ทางพม่าช่วยจัดส่งพระภิกษุ
ชั้นธัมมาจริยะที่มีความเชี่ยวชาญแตกฉานในพระไตรปิฎกมายังประเทศไทย
พร้อมทั้งจัดส่งพระไตรปิฎกภาษาบาลี อรรถกา และฎีกาฉบับอักษรพม่ามาให้ด้วย
ทั้งนี้เพราะท่านเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ในการทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาร่วมกันเป็นอย่างมาก
ดังนั้นในปี พ.ศ. ๒๔๙๒
สภาการพุทธศาสนาแห่งสหภาพพม่าจึงได้จัดส่งพระภิกษุระดับบัณฑิต
ชั้นธัมมาจริยะ มายังประเทศไทย ๒ รูปคือ ท่านสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ
และท่านเตชินทะ ธัมมาจริยะ ธัมมกถิกะ
ซึ่งท่านอาจารย์ทั้งสองนี้ได้ช่วยฝังรากฐานวิชาความรู้พระอภิธรรมปิฎกไว้ให้อย่างดี
เป็นระเบียบ เป็นหลักฐาน
คือได้เขียนและแปลทำเป็นหลักสูตรไว้ให้ได้ใช้ศึกษาสืบต่อกันมาจนปัจจุบัน
ในปี ๒๔๙๓ ทางพม่าได้จัดส่งสมณฑูต พร้อมทั้งอัญเชิญพระไตรปิฎกภาษาบาลี
อักษรพม่าพร้อมอรรถกถาและฎีกามายังประเทศไทยอีก ๓ ชุด ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ.
๒๔๙๔ ทางการคณะสงฆ์แห่งประเทศไทย
จึงได้จัดส่งพระสมณฑูตพร้อมทั้งพระไตรปิฎกฉบับอักษรไทย
ไปเยี่ยมตอบและมอบให้ประเทศพม่าด้วย
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ พระพิมลธรรมได้ขอให้สภาการพุทธศาสนาสหภาพพม่า
จัดส่งพระเถระฝ่ายวิปัสสนาจารย์ ให้มาสอนวิปัสสนาในเมืองไทย ๒ รูปคือ
ท่านอูอาสภะ กัมมัฏฐานาจริยะ และท่านอูอินทวํสะ กัมมัฏฐานาจริยะ
ซึ่งท่านพระอาจารย์ทั้งสองน
ี้ก็ได้ช่วยเป็นกำลังเสริมสร้างการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานให้เจริญขึ้นในประเทศไทย
โดยเริ่มเปิดฝึกสอนขึ้นที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ก่อนเป็นแห่งแรก
และได้ดำเนินสืบเนื่องเรื่อยมาดังที่ปรากฏผลให้เห็นในปัจจุบัน
แม้งานเหล่านี้จะปรากฏผลให้เห็นว่า
ได้สร้างประโยชน์ให้กับการศึกษาพระพุทธศาสนาในประเทศไทยอย่างมาก
แต่เนื่องจากในยุคนั้นยังมีคนไทยและพระภิกษุอีกไม่น้อยที่ยังมีอคติต่อพม่า
จึงเป็นไปได้ว่างานที่พระพิมลธรรมได้ริเริ่มขึ้นนี้
คงมีฆราวาสและพระเถระหลายรูปที่นึกค้านไม่เห็นด้วย
แต่ไม่กล้าออกมาต่อต้านขัดขวางโดยตรงในตอนนั้น
านประการที่สอง คือ การส่งพระภิกษุนักเรียนพุทธศาสนบัณฑิตไปศึกษาต่อ ณ
ต่างประเทศ เมื่อพระพิมลธรรมได้ประกาศถึงความตั้งใจในการนี้ออกไปในปี พ.ศ.
๒๔๙๕ ปรากฏว่ามีเสียงคัดค้านอย่างหนักหน่วง
เพราะเป็นงานใหม่ที่ผู้บริหารคณะสงฆ์ไทยไม่เคยคิดมาก่อน
และมองไม่เห็นว่าจะเป็นประโยชน์ได้อย่างไร
แต่พระพิมลธรรมยังคงยืนยันในเจตนาเดิมต่อคณะสังฆมนตรี
เพราะเห็นว่าจะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมากต่อการศาสนา
และยังอาจได้เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างพุทธศาสนิกในประเทศต่าง ๆ อีกด้วย
(แม้จะมีผู้พบในภายหลังว่า
การส่งพระเดินทางไปศึกษาต่อยังต่างประเทศจะให้ทั้งคุณและโทษไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
แต่ข้าพเจ้าไม่ขอกล่าวถึงรายละเอียดไว้ ณ ที่นี้
หากท่านสนใจประเด็นดังกล่าวสามารถอ่านเพิ่มเติมได้จากหนังสือ
ความเข้าใจในเรื่องพระรัตนตรัย จากมุมมองของ ส.ศิวรักษ์ –ผู้เขียน)
เมื่อพระพิมลธรรมซึ่งดำรงตำแหน่งสังฆมนตรีในขณะนั้นได้แสดงเจตจำนง
และแจ้งเรื่องไปว่า
จะเดินทางไปส่งพระภิกษุสามเณรไปศึกษาวิชาพระพุทธศาสนายังประเทศพม่า
อธิบดีกรมการศาสนา (นายบุญช่วย สมพงศ์)
กับท่านสังมนตรีในสมัยนั้นต่างพากันคัดค้านโดยอ้างเหตุผลหลายประการ
อาทิเช่น
“ประเทศพม่าเพิ่งหลุดจากความเป็นทาสของอังกฤษมาไม่นาน (คือเมื่อ ๔ มกราคม
๒๔๙๑) ส่วนประเทศไทยมีเอกราชสมบูรณ์เป็นประเทศอิสระมาเป็นเวลานาน
ตามรูปการณ์นี้แสดงว่า สถาบันของประเทศพม่าย่อมต่ำกว่าของประเทศไทย
ไม่ควรไปศึกษาในประเทศที่ต่ำกว่า” ๑
เหตุผลอีกประการที่นำมาอ้างก็คือ “พระพุทธศาสนาของประเทศไทย
มีค่าสูงกว่าพระพุทธศาสนาของประเทศใดในโลก ไม่มีชาติใดสู้ได้
การนำนักศึกษาของเราไปศึกษาพระพุทธศาสนาของเขา จึงไม่เป็นการสมควร
แต่ควรให้คนอื่นมาศึกษาในประเทศของเราจึงจะถูก ข้อสำคัญยิ่งกว่านั้นคือ
การที่ท่านเจ้าคุณสังฆมนตรีนำพระภิกษุไปศึกษาในประเทศพม่าคราวนี้
จะเป็นการเสียสถาบันของประเทศ...” ๒
พระพิมลธรรมมิได้ต่อรองเป็นทำนองหักล้างข้ออ้างของอธิบดีกรมการศาสนามากนัก
ท่านปรารภเพียงแต่ว่า
การเดินทางในครั้งนี้ได้รับความเห็นชอบจากกรรมสัมปาทิก
ของสภามหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยพร้อมกันแล้ว และได้เตรียมการทุกอย่าง
พร้อมทั้งติดต่อเป็นการส่วนตัวกับผู้รู้จักในประเทศพม่า
โดยการช่วยเหลือของอุปฑูตพม่าไว้พร้อมแล้ว จึงยากที่จะระงับการเดินทางได้
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar