โดย แอนดรูว์ แม็คเกรเกอร์ มาร์แชล
ประเทศไทยคือราชอาณาจักรที่อยู่ในห้วงวิกฤติ ที่เคลื่อนคล้อยเข้าใกล้วันเวลาแห่งความโกลาหลอย่างยากที่จะหยุดยั้งได้ ถูกหลอกหลอนด้วยผีศักดินาและผีเผด็จการแห่งอดีตกาลที่ยังพากันส่งเสียงระงมเซ็งแซ่ และกำลังทุรนทุรายอยู่ในความกลัวแห่งการโดดเดี่ยวตัวเองในโลกอนาคต ได้กลายเป็นประเทศที่ถูกแช่แข็งในกาลเวลา ตกอยู่ในกับดักแห่งวัฏจักรพิษของความรุนแรงและการปราบปรามความรุนแรงที่ทวีมากขึ้นอันเนื่องมาจากความขัดแย้งทางสังคมและทางการเมืองที่ปกคลุมปัจจุบันสมัยของไทยนั้นก็คือการต่อสู้เพื่อที่จะค้นหาคำตอบที่แท้จริงต่อ
คำถามอันสำคัญยิ่งที่ว่า:
-คนไทยทั้งหลายทั้งมวลนั้นมีความชอบธรรมที่จะอยู่ในความเท่าเทียมกันหรือไม่?
-ประชาธิปไตยของประเทศไทยควรจะดำเนินไปในรูปแบบใด?
-และ “การเป็นคนไทย” หมายถึงอะไร?
คำถามเหล่านี้เป็นคำถามที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อีกต่อไป เพราะสังคมไทยได้ขยับเคลื่อน ดังนั้นจึงมีความตื่นตัวและอ่อนไหวต่อสถานการณ์ต่างๆ มากขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน
ประชาชนในประเทศนี้ต้องการที่จะค้นหาคำตอบที่จะเชื่อมสมานบาดแผลแห่งความเจ็บปวดที่เกิดจากการกีดกั้น และหนทางที่จะยอมให้ประเทศไทยก้าวไปข้างหน้าได้ มีเพียงทางเดียว คือจะต้องค้นพบซึ่งคำตอบ ซึ่งมันจำเป็นยิ่งที่คนไทยจำเป็นจะต้องพูดคุยเกี่ยวกับคำถามเหล่านี้
แต่มันมีการบังคับเงียบจนแทบจะหายใจไม่ออกในประเทศไทย อำนาจที่ทรงพลังได้ตัดสินใจที่จะต่อต้านการถกเถียงอย่างตรงไปตรงมาต่อประเด็นที่ว่า ประชาชนต้องการเห็นประเทศเป็นเช่นใร
ในศตวรรษสมัยที่ 21 คนไทยไม่ได้รับอนุญาตแม้แต่จะรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นความจริงขั้นพื้นฐานเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และการเมืองของพวกเขา การพูดความจริงถูกทำให้เป็นอาชญากรรมได้อย่างง่ายดาย ประชาชนถูกคาดหวังให้เชื่อชุดข้อมูลแห่งเทพนิยายและตำนานขุนศึกต่างๆ - หรืออย่างน้อยก็ต้องแกล้งทำเป็นว่าพวกเขาเชื่อเรื่องเหล่านั้น - และปิดตาต่อปรากฎการณ์แห่งความรุนแรงที่เกิดขึ้นในประเทศ
ดังนั้นแล้ว ราวกับว่าติดอยู่อยู่ในห้วงแห่งความฝันร้ายที่ไม่อาจตื่น ประเทศไทยเดินอย่างเลื่อนลอยสู่อนาคตที่ทุกผู้คนต่างก็ประจักษ์ว่ามันคือสภาวะอันตรายยิ่ง แต่ก็รู้สึกว่าไร้ซึ่งอำนาจใดใดจะป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้น คำถามเร่งด่วนที่ท้าทายประชาชนในประเทศไทยเหล่านี้จะไม่ถูกทำให้หมดไปได้ด้วยการเพิกเฉยต่อมัน และถ้าคำถามเหล่านี้ไม่สามารถหาคำตอบได้จากการถกเถียงแลกเปลี่ยน มันก็จะได้ข้อยุติบนการนองเลือด
มันค่อนข้างประจักษ์ชัดต่อผู้สังเกตการณ์ประเทศไทยที่รู้จักเหตุผลว่ามีเพียงวิถีทางเดียวที่จะแก้ปัญหาวิกฤติประเทศไปได้อย่างสันติภาพ คือ : สำนักพระราชวังจำเป็นจะต้องปรับตัว และปรับรูปแบบพระราชพิธีของพระราชสำนักภายใต้วิถีกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญที่คล้ายคลึงกับประเทศทั้งหลายในโลกนี้ที่ปกครองด้วยวิถีประชาธิปไตยในรูปแบบเดียวกัน
ไม่ว่ารอยัลลิสต์ชาวไทยจะมีความปรารถนาว่าจะสามารถหยุดยั้งนาฬิกาไม่ให้หมุนเดินหน้า และแช่แข็งกาลเวลาไว้กับยุคแห่งอดีตกาลก็ตาม พวกเขาก็ไม่มีทางที่จะทำเช่นนั้นได้ โลกรอบตัวของพวกเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว และสถาบันพระมหากษัตริย์ก็จำเป็นจะต้องเปลี่ยนไปพร้อมกับโลกด้วยเช่นกัน
อันตรายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย และต่อพัฒนาการของประเทศไทย ที่จะขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้สำเร็จด้วยสันติวิธีและเป็นประเทศประชาธิปไตย ก็จะมาจากพวกคลั่งรอยัลลิสต์ใจคับแคบที่ปฎิเสธที่จะพูดถึงการเปลี่ยนแปลงแม้แต่นิดเดียว ทั้งรัฐประหาร 2549 การแทรกแซงของรอยัลลิสต์ในปี 2551 และการปราบปรามผู้ประท้วงชาวเสื้อแดงในปี 2553 ความรุนแรงอย่างน่าตระหนกของคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และในยามนี้ อันได้แก่ ปฏิกริยาแห่งความบ้าคลั่งและไม่เป็นมิตรแม้แต่น้อยต่อข้อเสนอที่มีเหตุมีผลของกลุ่มนิติราษฎร์
ทั้งหลายทั้งมวลนี้ชี้ให้เห็นว่า นอกจากไม่ยอมรับความจำเป็นที่จะต้องปฏิรูปแล้ว พวกรอยัลลิสต์สุดโต่งกำลังขุดสนามเพลาะเพื่อเตรียมตัวทำสงคราม การกระทำของพวกเขาเป็นอันตรายยิ่งต่อทั้งกับวังและต่อประเทศไทย
มันเนิ่นนามมามากแล้ว ที่พวกรอยัลลิสต์สุดโต่งเหล่านี้ ได้เป็นผู้กำหนดนโยบายทางการเมืองของประเทศไทย วิถีความคิดที่น่ารังเกียจของพวกเขาได้ถูลู่ถูกังประเทศไทยจากความรุนแรงหนึ่งสู่อีกความรุนแรงอย่างไม่หยุดหย่อน มันจำเป็นจะต้องหยุดได้เสียที
มันถึงเวลาแล้วที่คนไทยฝ่ายก้าวหน้าและมีความคิดทุกคน - ไม่ว่าจะมีความคิดความเชื่อในทฤษฏีการเมืองแบบใดและมีจุดยื่นต่อสถาบันพระมหากษัตริย์แบบไหน - จำเป็นต้องลุกขึ้นสู้เพื่อนำประเทศไทยกลับมาจากการกำกับของรอยัลลัสติ์สุดโต่งที่กำลังนำพาประเทศไปสู่ความแตกสลาย
คนไทยจำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจว่าการถกเถียงเกี่ยวกับบทบาทสถาบันพระมหากษัตริย์และสถาบันทหารในอนาคตของพวกเขาไม่ใช่เป็นเพียงความชอบธรรมที่พึงกระทำเท่านั้น แต่ยังจำเป็นอย่างยิ่งอีกด้วย มันถึงเวลาที่จะต้องเริ่มต้นการพูดคุยถกเถียงระหว่างกันด้วยท่าที่แห่งการให้เคารพเกียรติ เปิดเผย และซื่อสัตย์ เพื่อนำพาประเทศไทยให้พ้นจากขอบเหว
ศัตรูที่แท้จริงของประเทศไทยไม่ใช่คนที่ต้องการถกเถียงเกี่ยวกับอนาคต แต่จากคนที่ป้องกันไม่ให้มีการถกเถียงในประเด็นเหล่านี้ต่างหาก มันถึงเวลาที่จะต้องชัดเจนกันเสียทีว่า : คนที่ต่อต้านไม่ให้มีการถกเถียง และต่อต้านการแก้ไขมาตรา 112 ไม่ได้กระทำด้วยเจตนาบริสุทธิ์ต่อประชาชนคนไทย วันเวลาของพวกเขามันหมดไปแล้ว
มันไม่จำเป็นจะต้องเปลี่ยนด้วยความรุนแรง และไม่จำเป็นจะต้องผ่านการปฏิวัติ ถ้าคนไทยที่รักประเทศของตัวเองต้องการทำอะไรที่เป็นผลดีตต่อประเทศชาติ พวกเขาจำต้องทำความเข้าใจว่าการสนทนาและถกเถียงเกี่ยวกับอนาคตเป็นสิทธิของพวกเขาและพวกเขาก็ควรจะกระทำได้โดยปราศจากความกลัว ความกล้าหาญแพร่กระจายได้ทางการสัมผัส ยิ่งทำมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนมากยิ่งขึ้นเท่านั้น
นี่จึงเป็นหนทางที่จะนำพาประเทศไทยก้าวสู่ศตวรรษที่ 21
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar