söndag 10 februari 2013

อาจารย์ เกษียร เตชะพีระ คือตัวอย่างความจริงที่ปัญญาชนและนักวิชาการต่างๆถูกจำกัดสิทธิ ถูกรังแกโดยระบอบเผด็จการศักดินา

เขาลือกันว่า บทความนี้ทำให้ ศ. เกษียร เตชะพีระ ยุติการเขียนบทความลงมติชน หลังจากเขียนต่อเนื่องมา 14 ปี


ที่มา Blogazine “บรรหารบุรีใต้ร่มพระบารมี

บรรหารบุรีใต้ร่มพระบารมี





ในการวิเคราะห์ปรากฏการณ์ลัทธิจังหวัดนิยมหรือเอกลักษณ์จังหวัดแบบบรรหาร บุรีในหนังสือ Political Authority and Provincial Identity in Thailand: The Making of Banharn-buri(ค.ศ. ๒๐๑๑) ดร. โยชิโนริ นิชิซากิ ได้ประยุกต์แนวคิดของ Katherine Verdery ศาสตราจารย์ด้านมานุษยวิทยาแห่ง City University of New York ผู้ค้นพบจากการศึกษาลัทธิชาตินิยมในยุโรปตะวัน-ออกหลังสิ้นสุดระบอบ สังคมนิยมลงไปว่า มีเหตุปัจจัย ๒ ประกาที่เอื้อให้ลัทธิชาตินิยมรุ่งเรืองขึ้นได้แก่มี “ฮีโร่” หรือคนดีศรีแผ่นดินปรากฏตัวขึ้น และคนทั่วไปรู้สึกร่วมกันว่าพวกตนตกเป็นเหยื่อถูกข่มเหงรังแกเอารัดเอา เปรียบและต้องทนทุกข์ลำเค็ญแสนสาหัส

นิชิซากิเห็นว่าเหตุปัจจัยทั้งสองก็มีในสุพรรณบุรีเช่นกันกล่าวคือมีทั้ง คุณบรรหารเป็นคนดีศรีสุพรรณฯและคนสุพรรณฯก็รู้สึกว่าถูกรัฐราชการส่วนกลาง ทอดทิ้งละเลยให้ลำบากล้าหลังไม่พัฒนาอยู่นานปี ฉะนั้นมันจึงเอื้ออำนวยให้ลัทธิจังหวัดนิยมแบบบรรหารบุรีรุ่งเรืองขึ้นได้ใน ทำนองเดียวกัน เพียงแต่ย่อส่วนลัทธินิยมเอกลักษณ์รวมหมู่จากปรากฏการณ์ระดับประเทศ (ชาตินิยม) ลงมาเป็นระดับจังหวัด (จังหวัดนิยม) แค่นั้นเอง

คำถามชวนคิดก็คือแล้วเอกลักษณ์ระดับจังหวัดหรือลัทธิจังหวัด นิยมในประเทศหนึ่งเชื่อมโยงสัมพันธ์ดำรงอยู่คู่กันอย่างไรกับเอกลักษณ์แห่ง ชาติหรือลัทธิชาตินิยมที่มีขอบเขตกินความใหญ่โตกว้างขวางครอบคลุมกว่าใน ประเทศนั้น ๆ เล่า?

จากกรณีศึกษาบรรหารบุรี นิชิซากิสรุปว่าการดำรงอยู่เคียงคู่สัมพันธ์เชื่อมโยงกันระหว่างเอกลักษณ์ ระดับจังหวัดกับเอกลักษณ์แห่งชาติเป็นไปด้วยดีเมื่อเอกลักษณ์จังหวัด ระมัดระวังจำกัดขอบเขต ไม่ก้าวล้ำก้ำเกินเอกลักษณ์แห่งชาติซึ่งมีสถาบันกษัตริย์เป็นแกนกลาง สรุปรวบยอดก็คือเอกลักษณ์จังหวัดนิยมแบบบรรหารบุรีอยู่ใต้ร่มพระบารมีราชา ชาตินิยมอย่างราบรื่นกลมกลืนเรื่อยมา โดยตามรอยเบื้องพระยุคลบาทในแบบอย่างแนวทางพระราชอำนาจนำในการดูแลทุกข์สุข ทำนุบำรุงชีวิตความเป็นอยู่และรักษาความมั่นคงของพื้นที่และอาณาราษฎรชาว สุพรรณบุรี

อาทิเช่น เมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ ได้มีการจัดพระราชพิธีเปิดโรงเรียนบรรหาร-แจ่มใส ๓ ที่ก่อสร้างด้วยเงินอุดหนุนของคุณบรรหารขึ้นที่อำเภอด่านช้างซึ่งอยู่เหนือ สุดและทุร-กันดารที่สุดของสุพรรณบุรี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถได้เสด็จ พระราชดำเนินไปในพระราชพิธี ณ อำเภอด่านช้างด้วยพระองค์เองเป็นครั้งแรก ปรากฏว่าชาวอำเภอด่านช้างพากันมารับเสด็จด้วยความตื่นเต้นที่จะได้ชื่นชมพระ บารมีของทั้งสองพระองค์ถึง ๕ - ๖ พันคนรวมทั้งชนชาติกะเหรี่ยงและโซ่งที่เป็นประชากรราวกึ่งหนึ่งของอำเภอด้วย

ในวโรกาสนี้ คุณบรรหารได้ริเริ่มโครงการหลายอย่างเกี่ยวกับลูกเสือชาวบ้านขึ้นที่ อ.ด่าน-ช้างด้วย โดยคุณหมอบัณฑิต เลขวัต รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช น้องเขยของคุณบรรหารและแกนนำลูกเสือชาวบ้านสุพรรณบุรี เป็นกำลังสำคัญ เนื่องจากอ.ด่านช้างเป็นเขตชนชาติส่วนน้อยและทุรกันดารไกลปืนเที่ยง จึงกลายเป็นพื้นที่เคลื่อนไหวของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประ-เทศไทยอย่างเข้มข้น มาตั้งแต่สมัยรัฐบาลปฏิวัติของจอมพลสฤษดิ์ พระราชพิธีนี้จึงเป็นโอกาสให้ราษฎรชาวด่านช้างได้รับเสด็จและชมพระบารมีองค์ พระประมุขของชาติอย่างใกล้ชิดกว่าที่เคยมีมาแต่ก่อน คุณบรรหารยังได้ทูลเกล้าฯถวายเงิน ๑ แสนบาทเพื่อสนับสนุนกิจกรรมลูกเสือชาวบ้านทั่วประเทศในครั้งนี้ด้วย หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของสุพรรณบุรีและสถานีวิทยุแห่งประเทศไทยได้รายงานข่าว พระราชพิธีครั้งนี้และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องอย่างครึกโครม

ชั่วสองสัปดาห์ให้หลัง ในวันที่ ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ คุณบรรหารยังได้ร่วมกับสมาคมชาวสุพรรณบุรีจัดแสดงละครปลุกใจอิง ประวัติศาสตร์เรื่อง “เลือดสุพรรณ” ของหลวงวิจิตรวาทการขึ้นที่โรงละครแห่งชาติ เพื่อสดุดีเกียรติประวัติความกล้าหาญและสามัคคีของชาวสุพรรณฯในการลุกขึ้น ต่อต้านพม่าข้าศึก และพระวีรกรรมของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชที่ทรงกระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุป ราชาฝ่ายพม่า ณ หนองสาหร่าย สุพรรณบุรีในครั้งนั้น ละครเรื่องนี้เคยเป็นที่นิยมมากสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง แต่เรื้อร้างไปหลังสงคราม การรื้อฟื้นละครเรื่องนี้มาจัดแสดงใหม่ได้การสนับสนุนจากภรรยาม่ายของหลวงวิ จิตรฯด้วย

เนื้อเรื่องและเพลงหลักของละครนี้สื่อสาระสำคัญทางการเมืองที่เกี่ยวร้อย ลัทธิชาตินิยมไทยซึ่งมีพระมหากษัตริย์นักรบเป็นแก่นแกนหลักชัย เข้ากับเอกลักษณ์จังหวัดนิยมของสุพรรณบุรีอย่างสอดบรรสานเชื่อมโยงคล้องจอง กลมกลืนไปด้วยกัน ปลุกทั้งจิตใจรักชาติและรักสุพรรณฯไปพร้อมกันในคราวเดียว ดังเห็นได้จากเนื้อเพลง “เลือดสุพรรณ” ที่แต่งโดยหลวงวิจิตรวาทการว่า:

“มาด้วยกัน มาด้วยกัน เลือดสุพรรณเอ๋ย
เลือดสุพรรณนี้เข้าประจัญ อย่าได้พรั่นเลย.....
เลือดสุพรรณเหยหาญในการศึก เหี้ยมฮึกกล้าสู้ไม่รู้หนี
ไม่ครั่นคร้ามถามใจต่อไพรี ผู้ใดมีมีดพร้าคว้ามารบ
อยู่ไม่สุขเขามารุกแดนตระหน่ำ ให้ชอกช้ำแสนอนาถชาติไทยเอ๋ย
เขาเฆี่ยนฆ่าเพราะว่าเห็นเป็นเชลย จะนิ่งเฉยอยู่ทำไมพวกไทยเรา
อันเมืองไทยเป็นของไทยใช่ของอื่น มาต่อสู้ กู้คืนเถอะเราเอ๋ย
ถึงตัวตายอย่าเสียดายชีวิตเลย มาเถอะเหวยพวกเรามากล้าประจัญ”

นอกจากจัดแสดงที่โรงละครแห่งชาติแล้ว สองวันถัดมา สถานีโทรทัศน์ช่อง ๗ และ ๙ ยังได้ถ่ายทอดเทปบันทึกภาพการแสดงละครออกอากาศไปทั่วประเทศด้วย เปิดรายการด้วยการบรรเลงเพลง “เลือดสุพรรณ” โดยวงดุริยางค์ทหารภายใต้การอำนวยการของพลเรือเอกสงัด ชลออยู่ผู้บัญชาการทหารเรือขณะนั้นซึ่งเป็นคนสุพรรณฯด้วยเหมือนกัน อันที่จริงแล้ว ตัวแสดงทั้งหมดก็ล้วนเป็นชาวสุพรรณฯทั้งสิ้น ตั้งแต่พระเอกคือคุณยอดชาย สุจิตต์ นักธุรกิจเชื้อสายจีนชาวสุพรรณฯซึ่งเกี่ยวดองกับคุณบรรหารผ่านทางการ แต่งงาน, ไวพจน์ เพชรสุพรรณ, ขวัญจิต ศรีประจันต์, พ.อ.พิเศษนายแพทย์ถวัลย์ อภิรักษ์โยธิน, รวมทั้งคุณบรรหารก็ร่วมแสดงละครด้วยตัวเอง ว่ากันว่าในช่วงละครเรื่องนี้ออกอากาศทางทีวีนั้น ตลาดเมืองสุพรรณฯซึ่งปกติคึกคักกลับเงียบสงัดไปถนัดใจเพราะชาวบ้านร้านตลาด พากันอยู่บ้านเฝ้าหน้าจอโทรทัศน์ดูละครกันทั้งเมืองทีเดียว

คุณบรรหารได้ใช้โอกาสการรื้อฟื้นจัดแสดงละคร “เลือดสุพรรณ” ใหม่และถ่ายทอดออกอากาศทางทีวีนี้หาเงินสมทบทุนสนับสนุนภารกิจของกองทัพใน การต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ทั่วประ-เทศ โดยรวบรวมทั้งค่าบัตรผ่านประตูเข้าชมละครและเงินที่มีผู้บริจาคผ่านการระดม เรี่ยไรระหว่างฉายละครทางทีวีต่อมาได้เบ็ดเสร็จถึงกว่า ๑ ล้านบาท แล้วนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระองค์ก็ได้ พระราชทานให้ทางกองทัพนำไปดำเนินการต่อไป

กิจกรรมทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ส่งผลให้คุณบรรหาร ศิลปอาชาเป็นประหนึ่งตัวแทนและผู้นำของจังหวัดสุพรรณบุรี ในเครือข่ายผู้จงรักภักดีทั่วประเทศที่ตามรอยเบื้องพระยุคลบาทในการปกปัก รักษาความมั่นคงของชาติจากภัยคุกคามต่าง ๆ อย่างแข็งขันสืบมา จนท่านกลายเป็นชาวสุพรรณฯคนแรกที่ได้ขึ้นรับตำแหน่งสูงสุดของฝ่ายบริหาร โดยได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ ๒๑ ของประเทศในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๓๘ - ๒๕๓๙ ในที่สุด

ทุกวันนี้ คุณบรรหารก็ยังคงเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่ได้รับการนับหน้าถือตาในสุพรรณบุรี ในพรรคชาติไทยพัฒนาและในบ้านเมือง อันต่างจากชะตากรรมของอดีตนายกรัฐมนตรีบางท่านชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar