โดย ลูกชาวนาไทย
ปลุก "กลุ่มนวพล/กระทิงแดง"ต่อต้าน No. 9 สะท้อนความอับจนของอำมาตย์ในสงครามประชาชน
จากการที่กลุ่มที่เรียกว่า "แนวร่วมกู้วิกฤิตชาติ" ได้ขึ้นป้ายปลุกระแสเผาบ้านเผาเมือง แล้วมีการประชุมกันในวันที่ 20 กุมภาพันธุ์ ที่ผ่านมา เพื่อออกมากู้ชาติ อะไรบ้าบอตามตำนานของพวกขวาจัด ยุคสงครามเย็น หรือ พวก พธม.ในรอบ 6 ปีที่ผ่านมา ผมถึอว่า "พวกอำมาตย์ฝ่ายขวา" นั้น "อับจนปัญญาสิ้นหนทางในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงของสังคมแล้ว
พวกนี้เลยไป "ขุดเอายุทธวิธีเก่า ๆ " ในยุคสงครามเย็น สมัยหลัว 14 ตุลาคม 2516 ขึ้นมา ซึ่งยุคนั้นนักศึกษาเรียกร้องประชาธิปไตย พวกทหารฝ่ายขวา ก็ไปก่อตั้ง กลุ่มนักเรียน อาชีวะ ต่างๆ ขึ้นมาก่อกวนนักศึกษา เช่น กลุ่มนวพล หรือ กลุ่มกระทิงแดงเป็นต้น กลุ่มพวกนี้ ยุคนั้นมี พล.ต.สุตสาย หัสดิน เพื่อนร่วมรุ่น พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นแกนหลักในการก่อตั้ง
ยุคนั้นก็ได้ผลครับ เพราะนักศึกษาส่วนใหญ่ก็เด็กอายุ 20-25 ปี มีแต่อุดมการณ์แต่ก็ไม่มีเครือข่ายประสบการณ์อะไร การเอาเด็กอาชีวะ ไปก่อกวน ขวางระเบิดตอนปราศรัย ก็ได้ผลพอสมควร และยุคนั้น พวก "เผด็จการฝ่ายขวา" ก็สามารถกุมสื่อ ทั้งทีวี และหนังสือพิมพ์ วิทยุได้หมด เพราะเป็นยุค Mass Media ทางเดียว ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็เป็นสังคมเกษตรกรรม ไม่ได้มีอุดมการณ์ทาางการเมืองอะไรนัก นอกจากความเชื่อในระบอบความคิดพุทธศาสนาดั้งเดิมที่ผมเรียกว่า "โลกทรรศน์แบบไตรภูมิพระร่วง" ที่เชิดชู เรื่องบุญบารมี ข้ามภพข้ามชาติ ส่งเสริมให้คนยอมรับบทบาทของเจ้าหรือชนชั้นนำ ว่า"เป็นผู้มีบุญ" จึงมีสิทธิ์ในการปกครอง
ระบบความเชื่อสังคมช่วงนั้นก็เป็นแบบนั้น การปลุกกลุ่มขวาจัด นวพล /กระทิงแดง มาก่อกวนจึงได้ผล แล้วก็ใส่ความว่า ฝ่ายตรงข้ามจะล้มล้างสถาบันกษัตริย์ เป็นคอมมิวนิสต์
แต่ยุค 2556 ปีนี้ สังคมเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม สื่อเป็นแบบสองทางในระบบอินเตอร์เนต และ ฝ่ายเสื้อแดง/ฝ่ายประชาธิปไตย ก็ไม่ได้เป็นเด็กอายุ 20-25 ปี แต่เป็นคนในสังคม ทีมีอาชีพ มีเครือข่ายครอบคลุมทั้่วประเทศ การปลุกกลุ่มนวพล/กระทิงแดง ก่อกวน แบบขวางระเบิดในการปราศรัย คงทำไม่ได้
ความคิดความเชื่อของคนยุคนี้ก็เปลี่ยนไป ไม่ใช่อยู่ในกรอบ "ไตรภูมิพระร่วง" อีกแล้ว แต่เป็น "พุทธ" ที่แท้จริง คือ จะเชื่อก็แค่เรื่องกรรม การกระทำ ไม่ใช่ "บุญบารมี" แต่เชื่อการกระทำในปัจจุบัน ดังนั้นจะให้นับถือชนชั้นนำ ว่าเป็นผู้มีบุญ มีสิทธิในการปกครองคงยาก
ดังนั้นการปลุกกลุ่ม นวพล/กระทิงแดง ของพวก ฝ่ายขวา จึงเป็นยุทธวิธีที่ "อับจนสิ้นท่า จนปัญญา" ของพวกฝ่ายขวาในการทำสงครามประชาชน
ก็ "อุมดการณ์ความเชื่อของประชาชนเปลี่ยนไป" เป็น "นิยมระบอบประชาธิปไตย ความเท่าเทียมกัน ความยุติธรรม ซึ่งเป็นกรอบหลักด้านอุดมการณ์
คุณจะมาปลุกกระแส เทวราชา บุญบารมี ใช้สถาบันพระมหากษัตริย์ในรูปแบบยุคเกษตรกรรม มันคงไปไม่รอดอยู่แล้ว ทุกวันนี้คนก็เชื่อแค่สถาบันกษัตริย์เป็นประมุขของชาติตาม รธน. ไม่ใช่ยืนบนพื้นฐาน บุญบารมี ที่ต้องมีเหนือประชาชน อันนั้นมันยุคเก่าๆ คนยุคใหม่สักกี่คนที่จะมีอุดมการณ์ล้าหลังแบบนั้น
สถาบันพระมหากษัตริย์ จะอยู่ได้ต้องสอดคล้องกับอุดมการณ์ของสังคม "คือสนับสนุนประชาธิปไตย" ไม่ใช่แบบเดิม ที่เป็นเทวราชา ใครจะเชื่อเรื่องเทวดาอีกในยุคศตวรรษที่ 21
ข้อห้ามในการทำสงครามนั้น มีอย่างสำคัญคือ "อย่าใช้ยุทธวิธีเก่า ในสงครามใหม่" เพราะฝ่ายตรงข้ามคุณก็เรียนรู้และปรับตัว รู้ว่าจะรับมือยังไง ตอบโต้ยังไง นี่หันไปปลุกกระแสแบบเก่าๆ คง "อับจนปัญญากันเต็มทนแล้ว"
ผมไม่ได้กลัวกลุ่มนี้นะครับ แต่ผมสังเวช ในความอับจนปัญญากันแล้วมากกว่า
พวกนี้เลยไป "ขุดเอายุทธวิธีเก่า ๆ " ในยุคสงครามเย็น สมัยหลัว 14 ตุลาคม 2516 ขึ้นมา ซึ่งยุคนั้นนักศึกษาเรียกร้องประชาธิปไตย พวกทหารฝ่ายขวา ก็ไปก่อตั้ง กลุ่มนักเรียน อาชีวะ ต่างๆ ขึ้นมาก่อกวนนักศึกษา เช่น กลุ่มนวพล หรือ กลุ่มกระทิงแดงเป็นต้น กลุ่มพวกนี้ ยุคนั้นมี พล.ต.สุตสาย หัสดิน เพื่อนร่วมรุ่น พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นแกนหลักในการก่อตั้ง
ยุคนั้นก็ได้ผลครับ เพราะนักศึกษาส่วนใหญ่ก็เด็กอายุ 20-25 ปี มีแต่อุดมการณ์แต่ก็ไม่มีเครือข่ายประสบการณ์อะไร การเอาเด็กอาชีวะ ไปก่อกวน ขวางระเบิดตอนปราศรัย ก็ได้ผลพอสมควร และยุคนั้น พวก "เผด็จการฝ่ายขวา" ก็สามารถกุมสื่อ ทั้งทีวี และหนังสือพิมพ์ วิทยุได้หมด เพราะเป็นยุค Mass Media ทางเดียว ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็เป็นสังคมเกษตรกรรม ไม่ได้มีอุดมการณ์ทาางการเมืองอะไรนัก นอกจากความเชื่อในระบอบความคิดพุทธศาสนาดั้งเดิมที่ผมเรียกว่า "โลกทรรศน์แบบไตรภูมิพระร่วง" ที่เชิดชู เรื่องบุญบารมี ข้ามภพข้ามชาติ ส่งเสริมให้คนยอมรับบทบาทของเจ้าหรือชนชั้นนำ ว่า"เป็นผู้มีบุญ" จึงมีสิทธิ์ในการปกครอง
ระบบความเชื่อสังคมช่วงนั้นก็เป็นแบบนั้น การปลุกกลุ่มขวาจัด นวพล /กระทิงแดง มาก่อกวนจึงได้ผล แล้วก็ใส่ความว่า ฝ่ายตรงข้ามจะล้มล้างสถาบันกษัตริย์ เป็นคอมมิวนิสต์
แต่ยุค 2556 ปีนี้ สังคมเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม สื่อเป็นแบบสองทางในระบบอินเตอร์เนต และ ฝ่ายเสื้อแดง/ฝ่ายประชาธิปไตย ก็ไม่ได้เป็นเด็กอายุ 20-25 ปี แต่เป็นคนในสังคม ทีมีอาชีพ มีเครือข่ายครอบคลุมทั้่วประเทศ การปลุกกลุ่มนวพล/กระทิงแดง ก่อกวน แบบขวางระเบิดในการปราศรัย คงทำไม่ได้
ความคิดความเชื่อของคนยุคนี้ก็เปลี่ยนไป ไม่ใช่อยู่ในกรอบ "ไตรภูมิพระร่วง" อีกแล้ว แต่เป็น "พุทธ" ที่แท้จริง คือ จะเชื่อก็แค่เรื่องกรรม การกระทำ ไม่ใช่ "บุญบารมี" แต่เชื่อการกระทำในปัจจุบัน ดังนั้นจะให้นับถือชนชั้นนำ ว่าเป็นผู้มีบุญ มีสิทธิในการปกครองคงยาก
ดังนั้นการปลุกกลุ่ม นวพล/กระทิงแดง ของพวก ฝ่ายขวา จึงเป็นยุทธวิธีที่ "อับจนสิ้นท่า จนปัญญา" ของพวกฝ่ายขวาในการทำสงครามประชาชน
ก็ "อุมดการณ์ความเชื่อของประชาชนเปลี่ยนไป" เป็น "นิยมระบอบประชาธิปไตย ความเท่าเทียมกัน ความยุติธรรม ซึ่งเป็นกรอบหลักด้านอุดมการณ์
คุณจะมาปลุกกระแส เทวราชา บุญบารมี ใช้สถาบันพระมหากษัตริย์ในรูปแบบยุคเกษตรกรรม มันคงไปไม่รอดอยู่แล้ว ทุกวันนี้คนก็เชื่อแค่สถาบันกษัตริย์เป็นประมุขของชาติตาม รธน. ไม่ใช่ยืนบนพื้นฐาน บุญบารมี ที่ต้องมีเหนือประชาชน อันนั้นมันยุคเก่าๆ คนยุคใหม่สักกี่คนที่จะมีอุดมการณ์ล้าหลังแบบนั้น
สถาบันพระมหากษัตริย์ จะอยู่ได้ต้องสอดคล้องกับอุดมการณ์ของสังคม "คือสนับสนุนประชาธิปไตย" ไม่ใช่แบบเดิม ที่เป็นเทวราชา ใครจะเชื่อเรื่องเทวดาอีกในยุคศตวรรษที่ 21
ข้อห้ามในการทำสงครามนั้น มีอย่างสำคัญคือ "อย่าใช้ยุทธวิธีเก่า ในสงครามใหม่" เพราะฝ่ายตรงข้ามคุณก็เรียนรู้และปรับตัว รู้ว่าจะรับมือยังไง ตอบโต้ยังไง นี่หันไปปลุกกระแสแบบเก่าๆ คง "อับจนปัญญากันเต็มทนแล้ว"
ผมไม่ได้กลัวกลุ่มนี้นะครับ แต่ผมสังเวช ในความอับจนปัญญากันแล้วมากกว่า
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar