2020-03-28 08:48
เพราะรัฐบาลก็รู้ บางคนมีความจำเป็นต้องไปทำงาน หาซื้ออาหาร ของใช้ ฯลฯ ซึ่งในสถานการณ์โรคติดต่ออย่างนี้ไม่จำเป็นก็ไม่มีใครอยากออกจากบ้าน
เอาเข้าจริง สถานการณ์ฉุกเฉินที่ประกาศไป จึงยังไม่มีอะไรให้ตกใจ เพราะยังไม่ห้ามออกจากบ้าน ยังไม่ห้ามเดินทาง ยังไม่สั่งหยุดงาน ฯลฯ นอกจากที่สั่งไปแล้ว โดยใช้อำนาจผู้ว่าฯ
พูดอีกอย่างคือ รัฐบาลยังไม่ได้ใช้อำนาจ “ฉุกเฉิน” ควบคุมกักกันโรค นอกเหนือจากที่ใช้อำนาจไปแล้ว ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ
ข้อนี้ประชาชนอย่าสับสน อำนาจตรวจค้น อำนาจกักตัว อำนาจสั่งห้ามใช้อาคาร อำนาจสั่งห้ามใช้เส้นทาง เป็นอำนาจที่ผู้ว่าฯ มีอยู่แล้วในฐานะประธานคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด
เช่นการตั้งด่านบุรีรัมย์ก็ตั้งมาก่อน แต่พอใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินก็จะมีทหารไปร่วมด้วย คำสั่งผู้ว่าฯกทม. ปิด 26 สถานที่ชั่วคราว ก็ใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ ซึ่งฟ้องศาลปกครองไม่ได้เหมือนกัน
อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่ประกาศเพิ่ม จึงมีแค่ปิดช่องทางเข้ามาในราชอาณาจักร (ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ห้ามจนแทบเข้าไม่ได้อยู่แล้ว) ห้ามกักตุนสินค้า (ผิดอยู่แล้วแต่โทษหนักขึ้น) ห้ามชุมนุม (ปัดโธ่ ยังมีใครชุมนุม) และควบคุมการเสนอข่าว รวมถึงโซเชี่ยลมีเดีย
กระนั้น ในด้าน Social Distance ก็ยังไม่ห้ามพิธีการทางสังคม เช่น เช็งเม้ง
สถานการณ์ฉุกเฉินที่ประกาศมา แม้ทำให้บางคนตกใจ แห่ไปซื้อสินค้า แห่กลับต่างจังหวัด แต่เอาเข้าจริง ถ้าเทียบต่างประเทศ อินเดีย มาเลเซีย อิตาลี สเปน ของเราก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนมากนัก นอกจากตั้งด่านกั้นกรุงเทพฯ ปริมณฑล ที่คนขับรถข้ามไปข้ามมาทุกวัน
ภาพรวมของสถานการณ์ฉุกเฉิน 2-3 วันแรก จึงเป็น "ฉุกเฉินชิวชิว" แค่เอาอำนาจมารวบไว้ แต่ยังไม่ได้ใช้ ขึ้นกับสถานการณ์ วิษณุ เครืองาม บอกว่าต้องประเมินรายวัน หากจำเป็นก็ต้องประกาศ "เคอร์ฟิว" ห้ามออกจากบ้าน
คำถามคือ เราจะไปถึงสถานการณ์นั้นหรือไม่ ถ้าไม่ ก็แปลว่าประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินไว้ แต่กลายเป็นไม่ต้องใช้เลย ที่จริงใช้แค่อำนาจตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อก็พอ
เพราะถ้าดูตัวเลขผู้ติดเชื้อ นอกจากวันที่ 22 มี.ค. ที่พุ่งพรวด 188 ราย (เพราะเปลี่ยนจากใช้ผลแล็บยืนยัน 2 แห่งมาเป็น 1 แห่งก็ประกาศทันที) หลังจากนั้นตัวเลขก็ไล่เรี่ยอยู่ที่ 100 กว่าคน จนถึงวันพฤหัสบดี ซึ่งผู้ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค บอกว่าถ้าพบผู้ติดเชื้อวันละร้อยรายไปอย่างนี้ ถึงวันที่ 30 เม.ย.จะสูงถึง 3,500 ราย แต่ถ้าประชาชนช่วยกันปฏิบัติตามมาตรการ Social Distance ก็คาดว่าจะไม่ถึง
ซึ่งแตกต่างกันลิบ กับที่มีแพทย์บางกลุ่มทำนายด้วย "กราฟเส้นตรง" ว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อจะพุ่งขึ้นวันละ 33% หากเราไม่ทำอะไร ถึงวันที่ 15 เมษายน จะขึ้นไปถึง 350,000 คน ตาย 7,000 ถ้าใช้มาตรการแรง จะเพิ่มขึ้นวันละ 20% เป็น 24,000 คน ตาย 485 ราย
ยอมรับว่าฟังแล้วกลัวหัวหด ประกอบกับอ่านข่าวต่างประเทศ อิตาลี สเปน ตายเพิ่มทุกวัน ทำให้เราตกอยู่ใน "บรรยากาศแห่งความหวาดกลัว" แม้ไม่ค่อยเห็นด้วยกับ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็ยังคล้อยตามว่าอาจจำเป็นต้องใช้ (คงเหมือนคนที่เห็นว่าสถานการณ์ปี 57 ไม่มีทางออกอื่นนอกจากรัฐประหาร)
จนผ่านไป 3-4 วัน "หมอเลี้ยบ" ออกมากระตุกให้ได้คิดว่า การทำนายด้วยกราฟเส้นตรงแม้อาจเป็นไปได้แต่ก็ผิดพลาดได้ อย่างน้อยที่สุด ตัวเลขหลังวันที่ 22 มี.ค.ก็ไม่ได้พุ่งเป็นกราฟเส้นตรง ถ้าพบผู้ติดเชื้อวันละ 100 กว่าคนอย่างนี้ ถึงวันที่ 15 เม.ย.อาจมี 3,000-3,500 คน ไม่ต่างมากกับที่กรมควบคุมโรคเคยทำนายไว้ 2,500 คน
บางคนอาจร้องว่า มองอย่างนี้ประมาท ย่ามใจไปหรือเปล่า เดี๋ยวคนไม่กลัว ไม่ระมัดระวังตัว จะลามไปใหญ่ แต่พูดอย่างนี้ก็ไม่ใช่ไม่ต้องทำอะไรเลย หมอเลี้ยบเห็นว่า สถานการณ์ของเราคล้ายเกาหลีใต้ ต้องเน้นการตรวจคัดกรองผู้ป่วย หาผู้เสี่ยงติดเชื้อ กักตัว รณรงค์ Social Distance จัดหาหน้ากาก เจลล้างมือ ให้เพียงพอ แล้วใช้มาตรการ "ตรึงเมือง" แบบที่ใช้คำสั่งผู้ว่าฯ กทม.ก็พอ ไม่ต้องถึงขั้น "ปิดเมือง" แบบอู่ฮั่น
ไม่ต้องถึงขั้นใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งมีผลกระทบเช่นอาจสร้างความหวาดกลัว ทำให้สื่อและประชาชนไม่กล้าแสดงความเห็น ไม่กล้าแจ้งเหตุ ไม่กล้าร้องเรียน เห็นว่าเจ้าหน้าที่หละหลวม โพสต์เฟซ ก็อาจผิดฐาน "เฟกนิวส์"
รอดูสัก 7-8 วัน ถ้าตัวเลขไม่เพิ่มมาก ศอฉ.ก็จะไม่มีมาตรการเพิ่ม จะมีคำถามมากขึ้นว่า นี่เราจำเป็นต้องประกาศฉุกเฉินจริงหรือ
เพียงแต่บางคนอาจเชียร์ว่า ไวรัสมันกลัวลุงประกาศขึงขัง เลยเผ่นหนีไปแล้วไง
ที่มา: ข่าวสดออนไลน์ www.khaosod.co.th/hot-topics/news_3829595
คลิกดู-ใบตองแห้ง: ผนงฉฉฉ.
2020-03-25 12:59
2020-03-25 12:48
"ประเทศไทยต้องชนะ" ไม่ใช่เพราะใครสักคน หน้าตาบักโกรกชูกำปั้น แต่เพราะประชาชนต้องร่วมมือกัน กดดันรัฐไม่เอาไหน ให้ทำตามคำแนะนำของผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญ ในการรับมือโควิด-19 แล้วรัฐนั่นแหละ ต้องทำตัวเป็นภาระให้น้อยที่สุด
ประเทศไทยโชคดี อากาศร้อนน่าจะทำให้เชื้อแพร่กระจายน้อยกว่า ระบบสาธารณสุขเข้มแข็ง มีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ที่ตกทอดมาจาก "ประชาธิปไตยกินได้" 30 บาทรักษาทุกโรค มีสถาบันวิชาการ ผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญอิสระ ในภาคประชาสังคม
แต่โชคร้าย ดันมีอำนาจรัฐไม่เอาไหน บริหารจัดการไร้ประสิทธิภาพ ไม่รู้จักใช้ภูมิปัญญาแก้ปัญหา รู้จักแต่ใช้อำนาจ เกิดวิกฤตทีไร ก็ตั้งโต๊ะรับบริจาค บอกประชาชนให้พึ่งหลักศาสนา "ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน" แล้วส่งทหารออกมาฉีดน้ำ
โควิด-19 มันอัตตาหิอัตตโนนาโถไม่ได้ ต้องใช้ความรู้ ใช้มาตรการรัฐ ทั้งการตรวจกักคนเข้าประเทศ ทั้งการระงับกิจกรรม การสื่อสารทำความเข้าใจ รวมไปถึงเตรียมอุปกรณ์การแพทย์การป้องกัน
ซึ่งแต่ละเรื่องแต่ละอย่าง กว่าจะออกมา ก็โดนประชาชนกดดัน (รุมด่าจนเมื่อยปาก) เช่นหน้ากากอนามัยขาดแคลน ยังเถียงอยู่ได้ว่าไม่ขาด พอยอมจำนนว่าขาด ก็เอามาแจกตะบี้ตะบัน แจกไปแจกมา โรงพยาบาลขาดแคลน ไล่จับคนกักตุน จับไปจับมา เจอพวกเดียวกัน
พอชาวบ้านหวาดผวา "ผีน้อย" จากเกาหลี รัฐมนตรีก็ประกาศตั้งค่าหัว เอาไปกักตัวสนามกีฬา แต่ไม่รู้ทำไม จู่ๆ เลิกกัก กลายเป็น "ผีใหญ่" มาจากยุโรป แพร่เชื้อสนามมวย
ล่าสุดคนไทยจากสเปน โพสต์ว่าเดินผ่านสุวรรณภูมิชิลๆ ไม่มีเจ้าหน้าที่ตรวจ รัฐมนตรีด่ากราด ไม่หวังดีต่อชาติ แล้วคมนาคมก็พลิกมาตรการ ต่อไปนี้คนไทยจะกลับบ้านต้องมีใบรับรองแพทย์ ใบรับรองสถานทูต วุ่นกันไปหมด
นี่คือรัฐราชการ เดี๋ยวหย่อนยาน เดี๋ยวล้นเกิน ไม่มีวิธีแก้ปัญหาที่เหมาะสม เก่งแต่ใช้อำนาจ แบบจะ "ปิดจังหวัด" ก็ผลักความรับผิดชอบให้ผู้ว่าฯ
นับนิ้วได้เลย ผลงานรัฐบาล จับเฟกนิวส์ จับขายหน้ากากเกินราคา แล้วก็ไล่จับผับบาร์ แต่เรื่องป้องกันเยียวยาทำไม่เป็น เรียกร้องให้ประชาชนอยู่กับบ้าน "หยุดเชื้อ เพื่อชาติ" แม่ค้าลาบส้มตำ แท็กซี่ มอไซค์รับจ้าง ไม่มีเงินเดือนกินจนตายเหมือนพวกท่าน "หยุดเชื้อ" เมื่อไหร่ อดตายเมื่อนั้น
ปิดผับบาร์ นวดแผนโบราณ ก็มีลูกจ้างขาดรายได้ 14 วัน คิดช่วยเขาบ้างหรือเปล่า สิ่งที่รัฐบาลนี้คิดได้ก่อนกลับเป็น "กองทุนพยุงหุ้น"
รู้ไหม รัฐบาลฝรั่งเศส ประกาศปิดเมืองพร้อมกับคำมั่น "จะยังคงให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ด้อยโอกาสในสังคม" "จะไม่ให้บริษัทใดต้องล้มละลาย และไม่ให้ชาวฝรั่งเศสคนใดไม่มีรายได้" โดยมีมาตรการขั้นต้น เช่น งดจ่ายภาษี ประกันสังคม ค่าน้ำ ค่าไฟ ฯลฯ อเมริกาก็ "แจกเงินฟรี" ตามฐานรายได้ (ไม่ใช่อยู่ๆ ก็จะแจกซี้ซั้ว สิ้นคิด หาเสียง ซ้ำซาก แบบเดิม)
ศาสตราจารย์กิตติคุณท่านหนึ่งเพิ่งโพสต์ความเห็นคนไทยในเยอรมัน "อยากให้คนไทยในบ้านเรามองรัฐบาลในเรื่องนี้ใหม่ รัฐบาลทำดีมาก ดีจริงๆ อยากให้ไอ้พวกที่ด่ารัฐบาลมาเห็นในยุโรปแล้วจะรู้ว่าฟ้ากับเหวเลย รักเมืองไทยค่ะ แต่ต้องอยู่เพื่อครอบครัว ลุงตู่ทำดีที่สุดแล้วนะคะ"
ปรากฏว่าทัวร์ลงสนั่นจนต้องลบโพสต์ทิ้ง ขณะที่ธนาธร คุณหญิงสุดารัตน์ ไลฟ์สด มีคนดูเป็นล้าน
อยากเทียบเยอรมันก็ลองอ่านสปีชนายกฯ แมร์เคิล คุณธีรภัทร เจริญสุข แปลให้อ่านในเฟสบุ๊ค
"เราเป็นชาติประชาธิปไตย เราไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างถูกบังคับ แต่อยู่ได้โดยการแบ่งปันข้อมูลความรู้และความร่วมมือกัน นี่คืองานชิ้นประวัติศาสตร์ และจะสำเร็จลงได้ด้วยการร่วมมือกัน
ข้าพเจ้ามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า เราจะข้ามผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้ แต่ด้วยผู้เสียหายจำนวนเท่าใด? เราต้องเสียคนที่เรารักไปมากเท่าใด? คำตอบนั้นอยู่ที่สองมือของเราลงมือทำ"
สปีชอย่างนี้มีแต่ผู้นำจิตวิญญาณประชาธิปไตยเท่านั้น สามารถพูดกับประชาชนได้ สามารถผนึกประชาชนเผชิญวิกฤตไปด้วยกัน
ประเทศนี้ไม่มีโอกาสเห็นหรอก แต่ประชาชนสามารถผนึกพลังของเราได้ ส่งเสียงสะท้อน ตีแผ่ปัญหา รวมเสียงคนเล็กคนน้อย สร้างพลังเรียกร้อง กดดัน ให้รัฐบาลต้องทำในสิ่งที่ควรทำ
เช่นวิกฤตโควิด 19 ก็ต้องกดดันให้ตัดสินใจตามความเห็นแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ ไม่ใช่มัวพะวงตามหอการค้า ปิดประเทศเศรษฐกิจเสียหาย 2.4 แสนล้าน หรือกลัวเสียหน้า กลัวไม่ชนะ
เราอยู่ในยุครัฐล้มเหลว ที่ต้องตั้งธง "ประเทศชนะ รัฐแพ้" ไม่มีอำนาจใดให้เชื่อถือ นิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ มีแต่ต้องสร้างพลังประชาชนขึ้นมา เป็นผู้ชนะ เป็นผู้นำ
ที่มา: ข่าวสดออนไลน์ www.khaosod.co.th/hot-topics/news_3795248
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar