นำเสนอต่อมหาชนโดย จอห์น ลี
ตาสว่างที่4:เลขากษัตริย์คือซุปเปอร์ปลัดกระทรวง
เมื่อกษัตริย์ภูมิพลคุมกองทัพและศาล (ตามที่กล่าวรูปธรรมไว้ในตาสว่างที่ 2,3) อำนาจบริหารรัฐจึงอยู่ในกำมือของกษัตริย์
ด้วยเหตุนี้
รัฐสภาและรัฐบาลที่มาจากประชาชนจึงไม่มีความมั่นคงและโดยพระราชประสงค์ของพระองค์ก็ไม่ชื่นชมต่อระบอบประชาธิปไตย เพียงแต่โลกสมัยใหม่ไม่อาจจะปฏิเสธได้ ดังจะเห็นได้จากตลอดรัชสมัยของพระองค์,
พระองค์ก็ไม่เคยแสดงออกใดๆหรือไม่เคยมีพระราชดำรัสใดๆที่ชื่นชมหรือปกป้องระบอบประชาธิปไตยเลย
แต่ในทางตรงข้ามพระองค์กลับทรงตำหนินักการเมืองและระบอบประชาธิปไตยในที่สาธารณะอยู่เสมอ รวมตลอดทั้งมีการแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งให้ทหารพระราชาทำการยึดอำนาจล้มรัฐบาลประชาธิปไตยอยู่เสมอ
เช่นเปิดทางให้ประธานองคมนตรีพลเอกเปรม
ตินสูลานนท์ ออกมายุยงให้ทหารทำการรัฐประหาร เช่นคำกล่าวของ พลเอก
เปรมที่โด่งดังในช่วงปี 2549 เรื่อง " จ๊อกกี้ไม่ใช่เจ้าของม้าแต่ม้าเป็นของเจ้าของคอกม้า ดังนั้นม้าไม่ต้องฟังจ๊อกกี้" และก็ตามมาด้วยการรัฐประหาร 19 กันยา 2549
และล่าสุดก็กล่าวต่อหน้าคณะของพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ในโอกาสเข้าอวยพรปีใหม่เมื่อต้นปี 2558
ว่า "พลเอกประยุทธ์ทำการรัฐประหารก็เพื่อพระเจ้าอยู่หัว"
และหลักฐานที่เป็นประจักษ์พยานเมื่อเกิดการรัฐประหารตามการชี้นำของประธานองคมนตรีแล้ว
กษัตริย์ภูมิพล
ก็เปิดทางให้ประธานองคมนตรีนำคณะผู้ยึดอำนาจเข้าเฝ้าและพระองค์ก็จะลงนามอนุมัติให้โดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ
และที่สำคัญพระองค์ก็ยังทรงชุบเลี้ยงผู้ที่เกี่ยวข้องกับการรัฐประหารโดยตรงมาตลอดอย่างยาวนานแล้ว
ตั้งแต่นายธานินทร์
กรัยวิเชียร ในปี 2519 จนถึง พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุขในปี 2549 ในฐานะองคมนตรี
ในการบริหารงานรัฐที่เป็นงานของข้าราชการประจำ พระองค์ก็ทำหน้าที่เหมือนนายกรัฐมนตรี,
มีคณะองคมนตรีทำหน้าที่เหมือนคณะรัฐมนตรี
และมีราชเลขาธิการคือท่านแก้วขวัญ
วัชชโรทัย ทำหน้าที่เหมือนเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
โดยนำนโยบายจากวังทั้งหมดรวมถึงโครงการพระราชดำริผลักเข้าไปในทุกกระทรวง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทรวงศึกษาธิการ, กระทรวงเกษตร, กระทรวงการต่างประเทศ จะมีสายตรงจากสำนักพระราชวังไปเป็นปลัดกระทรวง, อธิบดี,
เอกอัครราชฑูต
(ในประเทศที่สำคัญที่มีผลประโยชน์ของราชสำนักลงทุนหรือมีพระราชวังที่เชื้อพระวงศ์จะเสด็จไปพักตากอากาศเช่นสหรัฐอเมริกา, อังกฤษ,เยอรมัน
เป็นต้น
และฑูตในประเทศเหล่านี้จะเป็นผู้ใกล้ชิดและทุกครั้งที่มีการยึดอำนาจฑูตเหล่านี้จะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี
และรัฐมนตรีเช่นนายอานัน
ปันยารชุณเป็นต้น)
รวมถึงการออกแบบโครงสร้างให้คนของวังเข้าไปนั่งเป็นกรรมการคุมนโยบายและใช้งบประมาณของกระทรวงโดยตรง
เช่นนายพารณ
อิสระเสณา และนายแพทย์เกษม วัฒนชัย (องคมนตรี)
นั่งเป็นกรรมการนโยบายทางการศึกษาในกระทรวงศึกษาที่มีฐานะสูงกว่ารัฐมนตรีและไม่ต้องออกตามวาระและทั้งหมดนี้อยู่นอกการควบคุมจากรัฐสภา
เพื่อให้เห็นชัดเจนดังตัวอย่างหนึ่งในหลายร้อยตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมที่ต้องพูดถึงคือการประชุมคณะปลัดกระทรวงประจำเดือนซึ่งเป็นการประสานงานในฐานะผู้ปฏิบัติงานระดับสูงที่มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการประชุมคณะรัฐมนตรีปรากฎว่านายแก้วขวัญ
วัชชโรทัย
ราชเลขาธิการก็เข้าร่วมประชุมด้วยซึ่งแน่นอนที่สุดก็จะได้รับความเกรงใจจากที่ประชุมจนเป็นที่มาของคำว่า
"ซุปเปอร์ปลัดกระทรวง"
เมื่อความจริงปรากฎเช่นนี้การปกครองของไทยจึงเป็น "ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช" สมบูรณ์แบบ เพียงแต่อยู่ในโลกยุคใหม่กษัตริย์จึงจำเป็นต้องคุมอำนาจอธิปไตยแฝงอยู่ในระบอบรัฐสภา
ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยว่าทำไมตลอดระยะเวลากว่า 50
ปีจึงเกิดการรัฐประหารล้มระบอบการปกครองที่มาจากประชาชนอยู่เสมอและก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมพระองค์จึงเป็นกษัตริย์ที่รวยที่สุดในโลกแต่ประชาชนยากจน?
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar