lördag 25 juli 2020

อ.ปวินขออัฟเดทเรื่องคุณทิวากร

อ.ปวินขออัฟเดทเรื่องคุณทิวากร เพราะคุณทิวากรขอมา มีบางจุดอาจจะคลาดเคลื่อน และมีรายละเอียดเพิ่มเติม



กลุ่มนักศึกษารวมตัวเรียกร้องให้ปล่อยตัวนายทิวากรออกจาก รพ.จิตเวชขอนแก่นฯ เมื่อวันที่ 17 ก.ค.
ภาพจาก บีบีซีไทย
...


เมื่อวานเขียนเรื่องคุณทิวากร คุณทิวากรได้อ่านแล้ว ขอแก้ไข ดังนี้

โพสต์ของอ. ปวิน อันที่เกี่ยวกับวันที่เจ้าหน้าที่มาอุ้มตัวผม มันมีบางจุดที่อาจจะคลาดเคลื่อนนะครับ

1. “คุณแม่เป็นคนขอให้เค้ามาพาตัวลูกชายไปโรงพยาบาล”
อันนี้คลาดเคลื่อน ผมเพิ่งไปถามแม่ผมมา ความจริงคือ แม่ผมไม่เคยโทรไปบอกเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือโรงพยาบาลให้มาเอาตัวผมไปเลย แม่บอกว่า ชุดเล็กที่มาในครั้งแรก แค่เป็นทีมเจ้าหน้าที่จิตแพทย์จำนวน 6 คน มาซักถามอาการผมเท่านั้นครับ ส่วนชุดใหญ่ที่ยกมารอบ 2 นั้น มาถามแม่ผมว่าจะให้เอาผมไปรักษาที่โรงพยาบาลหรือไม่ แม่ก็ตอบไปว่า ให้เอาตัวไปรักษาได้ (ผมมาคิดๆ ดูแล้ว ก็สงสัยว่าถ้าหากว่าแม่ตอบปฏิเสธว่าไม่ให้เอาตัวผมไป แล้วเจ้าหน้าที่จะฟังแม่ผมมั๊ย)

2. “ตลอดเวลาที่อยู่ในสถานจิตเวช คุณทิวากรได้รับการดูแลอย่างดี เพราะเป็นคนไข้เก่า และรู้จักคุณหมอ”
อันนี้มีส่วนที่คลาดเคลื่อนครับ คือผมไม่ได้รู้จักนักจิตวิทยา หรือจิตแพทย์ เป็นการส่วนตัวเลยครับ

3. “คุณหมอให้ยา 2 ประเภทแก่คุณทิวากร เม็ดแรกเป็นยากระตุ้นสารสื่อสมอง (เป็นศัพท์ของคุณทิวากร) และอีกเม็ดเป็นยานอนหลับ ทานทุกคืนประมาณ 10 คืนแรก จนมาหยุดยากระตุ้นประมาณ 5 วันก่อนออกจากโรงพยาบาล แต่ยังกินยานอนหลับอยู่ตลอดและไม่หยุดจนปัจจุบัน ตอนนี้ ยังเหลือยานอนหลับที่หมอให้มาอีก 15 เม็ด”

อันนี้ ผมก็ฟังๆ มาจากจิตแพทย์เจ้าของไข้ผม แล้วก็ฟังๆมาจากพยาบาลที่จัดยาให้ผม ที่บอกว่า เป็นยาก่อนนอนที่ทำให้หลับได้ดีขึ้น แต่ในศัพท์ทางการแพทย์ที่แท้จริง ผมก็ไม่รู้แน่ชัดครับ แล้วที่ อ. ปวิน บอกว่าเป็นยากระตุ้นสารสื่อสมองนั้น จริงๆแล้วที่ผมได้ยินจากหมอเจ้าเของไข้ว่า “เป็นยาลดสารสื่อประสาทตัวหนึ่ง” ครับ

4. “ดิชั้นถามถึงสาเหตุการปล่อย ทั้งๆ ที่มีข่าวว่า ศาลไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวออกมา”

อันนี้เข้าใจว่า เป็นคดีที่คุณไผ่-ดาวดิน ฟ้องศาลให้ปล่อยตัวผม แต่ถ้าในทางคดีความที่เกี่ยวกับผมโดยตรง มันไม่มีคดีอะไรเลยครับ การ อนุญาต หรือไม่อนุญาต ให้ผมออกจาก ร.พ. คืออำนาจของ ผ.อ. ร.พ. ครับ แต่ในกรณีของผมนั้น ผ.อ. รพ. ถูกเจ้าหน้าที่ระดับสูงกว่านั้นเข้าแทรกแซงครับ ซึ่งผมคิดว่าการแทรกแซงนั้นน่าจะเป็นเหตุผลทางการเมืองล้วนๆครับ

ในส่วนของคดีความของผมโดยตรงผมขออธิบายดังนี้ครับ

ในคืนวันเดียวกับที่เจ้าหน้าที่มาอุ้มตัวผมไปเมื่อคืนวันที่ 9 ก.ค. นั้น มีเจ้าหน้าที่(น่าจะเป็นตำรวจ)อีกชุดหนึ่ง มาค้นห้องผมครับ นอกจากจะยึดโทรศัพท์ ipad และคอมพิวเตอร์หลายรายการไปแล้ว ยังค้นตามกล่องเก็บพลาสติกเก็บของ ค้นตู้ต่างๆ ค้นกระเป๋า นู่นนี่นั่น ฯลฯ แล้วยังยึดเอาเสื้อเราหมดศรัทธาฯ 3 ตัว และเสื้อแดงอีกหลายตัว ไปด้วยครับ

ซึ่งในช่วงก่อนที่ผมจะออกจาก ร.พ. 2-3 วัน ผมได้ออกตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ผมยินดีที่จะเปิดอุปกรณ์ทุกอย่างให้เจ้าหน้าที่ดูทั้งหมด เพื่อเป็นการแสดงความบริสุทธิ์ใจ เจ้าหน้าที่เลยนำอุปกรณ์ต่างๆ ไปให้ผมเปิดให้ดูที่ ร.พ. ด้วยครับ

ซึ่งผลสรุปออกมาว่า การค้นที่ห้องผมและการตรวจตรวจอุปกรณ์ต่างๆ ไม่พบสิ่งผิดกฏหมายใดๆเลย และผมก็ไม่โดนคดีความอะไรเลยครับ แล้วเจ้าหน้าที่ก็เอาอุปกรณ์ต่างๆ ทั้งหมดมาคืนผม ก่อนที่ผมจะออกจาก ร.พ. ครับ

แต่ในส่วนของเสื้อยืดเราหมดศรัทธา และเสื้อแดง จำนวนหลายตัว ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่คืนให้ผมครับ แต่ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะผมเข้าใจ (จากฝันร้ายในคืนก่อนที่ผมจะออกจาก ร.พ.) แล้วว่า เสื้อพวกนั้น อาจจะไปสะกิดจิตใต้สำนึก และความเชื่อ ของฝ่ายสถาบันกษัตริย์+คนที่ยังศรัทธาสถาบันกษัตริย์ จนเป็นแรงกดดันมหาศาลให้กับฝ่ายสถาบันกษัตริย์ อันอาจจะนำไปสู่ความรุนแรง ทำให้คนไทยฆ่ากันเอง โดยไม่รู้ตัว (เหมือนในฝันร้ายนั้น) เป็นการนองเลือดแบบเดียวกับ 6 ต.ค. 19 แต่คราวนี้ ไม่ใช่แค่ที่ มธ. สนามหลวง และจุดอื่นในกทม. แต่มันจะเกิดขึ้นทั่วทุกหัวระแหงของประเทศไทย แม้แต่คนในครอบครัวเดียวกัน ก็จะฆ่ากันเอง โดยไม่รู้ตัว

หมายเหตุ: ผมแปลกใจอย่างหนึ่งว่า ทำไมใน 3 วันสุดท้ายก่อนที่ผมจะออกจากโรงพยาบาล ผมถึงฝันได้สมจริงมากๆ ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะยาฉีดและยาทานที่ผมได้รับในช่วงที่ผมไปอยู่ ร.พ. หรือเปล่า

แต่ผมรู้สึกได้ชัดเจนว่า หลังจากผมออกจาก ร.พ. แล้ว ร่างกายผมมันไม่เหมือนเดิม มันดูแข็งๆเกร็งๆ ไม่คล่องแคล่วเหมือนเดิม มันดูอ่อนล้า หัวใจเต้นในจังหวะที่ไม่ปกติเหมือนแต่ก่อน การหายใจก็ไม่เหมือนแต่ก่อน มันรู้สึกเบลอๆ สลืมสะลือ อยู่ตลอดเวลา ไม่ค่อยกระปรี้กระเปร่าเหมือนแต่ก่อน ผมคิดว่าน่าจะเป็นเพราะยาฉีดและยาทานที่ผมได้รับในตอนที่ผมไปอยู่โรงพยาบาลแน่ๆ

คือที่ผมบอกว่า ยาที่ผมได้รับหลังจากที่ผมออกจาก ร.พ. เป็นยานอนหลับนั้น มาจากการที่ผมถามบรุษพยาบาลตอนที่ผมตื่นจากฝันร้ายกลางดึก(ในคืนสุดท้ายก่อนที่ผมจะออกจาก ร.พ.) ผมถามบุรุษพยาบาลว่า ยาก่อนนอนเม็ดสีขาวๆเล็กๆรูปรีๆ มันคือยาอะไร บุรุษพยาบาลตอบว่า น่าจะเป็นยานอนหลับธรรมดา ซึ่งผมก็เชื่อตามนั้น แต่ก็รู้สึกสงสัยว่ามันจริงตามนั้นหรือเปล่า

ยาที่ว่านั้นว่า คือยา Risperidone 1 mg รับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ 1 เวลา ก่อนนอน
คำเตือน: อาจทำให้เกิดอาการตัวแข็ง ลิ้นแข็ง

ผมลอง Search ดูใน Google แต่ผมก็ไม่ค่อยรู้ศัพท์ทางการแพทย์ครับ เลยไม่รู้ว่ามันเป็นยานอนหลับจริงหรือเปล่า

ผมได้ยินหมอเจ้าของไข้ของผม คุยโทรศัพท์ กับเจ้าหน้าที่ระดับสูง (ผมก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ได้ยินคำเรียกว่า “ท่าน”) หมอเจ้าของไข้ของผมบอกกับ “ท่าน” คนนั้นว่า ผมไม่ได้เป็นอะไร*** จึงไม่จำเป็นต้องให้ยา แต่ “ท่าน” คนนั้นย้ำว่า ยังไงก็ต้องให้ยากับผม

หมายเหตุ*** ก่อนหน้าที่จะได้ยินการคุยโทรศัพท์นี้ หมอเจ้าของไข้ของผมมาบอกข้อสรุปกับผมแล้วว่า ผมไม่ได้เป็นอะไร ซึ่งผลสรุปนี้เป็นไปตามขั้นตอนตามมาตรฐานของ ร.พ. จิตเวชขอนแก่นตามปกติ ดังนี้ครับ

1. การทดสอบสุขภาพจิตในหลายรูปแบบ ได้แก่ ทดสอบความจำ, ทดสอบไอคิว, ทดสอบดูรูปภาพแล้วบอกความรู้สึก, ทดสอบบุคลิกภาพที่มีคำถาม 500 กว่าข้อ

2. จิตแพทย์จำนวน 3 ท่าน เข้ามาพูดคุยและซักถามคนไข้ แบบตัวต่อตัว (จำได้ว่า จิตแพทย์ 2 คน มาพูดคุยและซักถามผมจำนวน 2 ครั้ง กับ 4 ครั้ง ส่วนจิตแพทย์คนที่ 3 พูดคุยและซักถามผมแค่ครั้งเดียว)

3. หลังจากผ่านกระบวนการ 1 และ 2 แล้ว ก็ทำการ Conference เพื่อหาข้อสรุปผลการวินิจฉัยโรค ซึ่งมีจิตแพทย์ และเจ้าหน้าที่ทางจิตเวช รวมกันราวๆ 9 ท่าน และมีอาจารย์ของจิตแพทย์ที่สอนในมหาวิทยาลัยขอนแก่น มาซักผมเป็นการเฉพาะ อีก 1 ท่าน

หลังจากการ Conference ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้าย ผ่านไป 1 วัน จิตแพทย์เจ้าของไข้ของผม ก็มาบอกผลการวินิจฉัยโรคของผม โดยบอกว่า “ผมไม่ได้เป็นโรคจิต”, “ผมไม่ได้ป่วยทางจิตเวชใดๆ” และ “ผมไม่ได้เป็นบ้า”

....จบการสนทนารอบสอง

(https://www.facebook.com/pavinchachavalpongpun/posts/2709301449171601)
.....

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar