tisdag 28 juli 2020

ใบตองแห้ง: ไม่แยแสม็อบ?

2020-07-26 21:09
ท่าทีของรัฐบาล และผู้มีอำนาจทุกฝ่าย คือไม่แยแสม็อบ อาศัยกลุ่มผู้สนับสนุนหน้าเดิมๆ โหมให้ร้าย มีเบื้องหลัง โทษอนาคตใหม่ อย่าก้าวล่วง ผบ.ทบ.น้ำตาคลอ ไม่ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่ให้ตำรวจงัดสารพัดกฎหมายมายัดใส่ แล้วก็ไปขู่คุกคามไม่ให้จัดม็อบ ทั้งขู่ถึงบ้าน ทั้งเรียกพบ จนบางจังหวัดเช่นเพชรบูรณ์ต้องเลิกจัด

กฎหมายศักดิ์สิทธิ์จัง เก่งกฎหมายกับเด็ก เผารูปตู่ป้อมก็ขู่เอาผิดฐานหมิ่นประมาท จัดชุมนุมที่ขอนแก่นก็จะยัดข้อหากบฏ ขู่กระทั่งรถสองแถว ที่ปทุมก็ขอตรวจบัตร อ้างสงสัยไม่ใช่คนไทย

อพิโถ ตำรวจไทย ทำไมเก่งจัง แต่ไม่มีปัญญาเอาผิดทายาทกระทิงแดงขับรถชนตำรวจตาย

ท่าทีรัฐบาลคือไม่ตระหนัก ว่าพลังนักเรียนนักศึกษาครั้งนี้ ร้อนแรงกว่าครั้งก่อน ยิ่งดูเสียงสะท้อนในโลกออนไลน์ ยิ่งชัดเจนว่าคนรุ่นใหม่ อายุ 15-30 ไม่พอใจระบอบอำนาจที่ควบคุมประเทศเบ็ดเสร็จ โดยคนรุ่นถัดไป ก็ไม่ใช่พวกคุณเสียหมด เสียงแตกเป็นสองฝ่าย จนขัดแย้งกันมา 15 ปีนี่ไง

แน่ละ พลังนักเรียนนักศึกษาทำอะไรระบอบอำนาจที่กุมทั้งปืนทั้งกฎหมายไม่ได้หรอก รัฐบาลจึงย่ามใจ เชื่อว่าตัวเองมีทั้งตำรวจทหารองค์กรอิสระ มีมวลชนสุดโต่งสนับสนุน คนส่วนใหญ่ไม่กล้าออกมา กระแสสื่อก็เอาแต่ดราม่า ใจจดจ่อใครฆ่าน้องชมพู่

แต่ไม่คิดเลยหรือว่า ปัญหารอบด้านกำลังรุมเร้า ทั้งการเมืองเน่าในรัฐบาลเอง ทั้งปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งวิบัติแน่ไม่ว่าเอาใครมา ในสถานการณ์โลกาวิบัติ เศรษฐกิจโลกจะตกเป็นรูปตัว U หรือไม่ก็ W เศรษฐกิจไทยที่พึ่งส่งออกท่องเที่ยวยิ่งหายนะ คนจะตกงานหนี้ท่วมนับสิบล้าน

ไม่ต้องรอนาน อีกไม่กี่เดือนได้เห็นกัน พึงสังวรว่า เศรษฐกิจตกต่ำเป็นพื้นฐานของความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ไม่ใช่แค่เปลี่ยนรัฐบาล แต่กระทบถึงโครงสร้าง ข้อสำคัญพึงจำว่า ความเปลี่ยนแปลงมันมาจากประชาชนอดอยากแร้นแค้น แล้วเห็นความเหลื่อมล้ำอยุติธรรมตำตา เช่น 14 ตุลาก็มีชนวนจากอภิสิทธิ์ทหาร พาดาราขึ้น ฮ.ล่าสัตว์ทุ่งใหญ่

ฉะนั้น ในขณะที่ ผบ.ทบ.น้ำตาคลออ้างทฤษฎีสมคบคิด มอง 10 ล้านทวีตเป็นอวตาร ก็ควรตอบชาวบ้านด้วยว่า กองทัพบกจะยังซื้อเครื่องบิน VIP 1,348.5 ล้านหรือไม่

ผู้ที่น้ำตาคลอด้วยความจริงใจ ควรไปฟัง ทิม พิธา อภิปรายในสภา ว่าสิ่งที่นักเรียนนักศึกษาสะท้อนออกมาเป็น “ความจริงอันน่ากระอักกระอ่วนใจ” ซึ่งต้องยอมรับและแก้ไขปัญหา ไม่ใช่มองว่าพวกเขาเป็นภัย ไม่เช่นนั้นประเทศก็จะไม่มีทางออก

ว่าที่จริง วิธีแก้ปัญหาไม่น่ายาก ถ้าพยายามสร้าง Consensus ของระบอบ เปิดพื้นที่ให้ทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันได้ ก็จะลดแรงกดดัน ฝ่ายอนุรักษนิยมชอบยกตัวอย่าง “ประชาธิปไตยครึ่งใบ” แต่ไม่ตระหนักว่านั่นคือการรู้จักปรับตัว

6 ตุลา พลังจารีตฆ่านักศึกษากลางเมือง ทำให้การต่อสู้ด้วยอาวุธลุกลาม รัฐบาลหอยประกาศจะอยู่ 12 ปี อบรมคนไทยให้พร้อมเลือกตั้ง แต่ทหารส่วนหนึ่งฉุกคิด เห็นท่าจะไปไม่รอด จึงทำรัฐประหารล้มเผด็จการหอย ประกาศเลือกตั้ง นิรโทษกรรม แม้ทหารยังคุมอำนาจ ก็ผ่อนคลายให้ทุกฝ่ายมีพื้นที่ต่อรอง ทั้งพรรคการเมือง กลุ่มทุน สื่อ นักวิชาการ ประชาสังคม

แต่ระบอบทุกวันนี้หา Consensus ไม่เจอ แข็งขืนยืนกรานกับตู่ ผูกขาดอำนาจอยู่ยาว ถอยหลังยิ่งกว่าประชาธิปไตยครึ่งใบ มันจึงบีบให้จุดปะทุ

รัฐมีสมองคิดไหม ทำไมนักเรียนต่อต้าน หรือเชื่อแต่ว่าธนาธรล้างสมอง ทั้งที่ให้ท่องค่านิยม 12 ประการ เด็กรุ่นนี้โตไม่ทันปี 53 แต่ทำไมมีอารมณ์ร่วมย้อนไปถึง 6 ตุลา 2475 ก็เพราะระบอบอำนาจกดดัน ปิดกั้นทางเลือก ตั้งแต่ครอบงำในโรงเรียน มาจนถึงการเมือง วิถีชีวิต พวกเขาโตมาในยุค disrupt ความคิด ค่านิยม เปลี่ยนไปหมดแล้ว ระบอบอำนาจไม่เข้าใจ

แน่ละ การยุบพรรคอนาคตใหม่จุดความโกรธ เพราะเป็นทางเลือก แต่ไม่มีอนาคตใหม่แรงปะทุนี้ก็เกิดอยู่ดี

ถ้าคิดว่าจะกดคนรุ่นใหม่ต่อไปอย่างนี้ รอให้โตขึ้น มันก็รู้จักเอาตัวรอด ไม่กล้าออกมาซ่าอีกแล้ว ก็เอาที่สบายใจ แต่อย่าลืมว่าระเบิดเวลารออีกหลายลูก โดยเฉพาะวิบัติเศรษฐกิจที่จะขยายปัญหาความเหลื่อมล้ำอยุติธรรม

อันที่จริง ถ้าเข้าใจปัญหา แค่รับข้อเสนอแก้รัฐธรรมนูญเฉพาะหน้า วางระบบเลือกตั้งใหม่ แล้วยุบสภา ตั้งนายกฯ โดยไม่ใช้ 250 ส.ว. ตั้ง ส.ส.ร.ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ก็ผ่อนคลายแรงกดดันต่อทุกฝ่าย อยู่ได้อีกยาว เผลอๆ ตู่กลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้ง เว้นแต่พรรคพลังประชารัฐไม่เอา

เครือข่ายอนุรักษนิยมก็คลายแรงกดดัน และยังกุมอำนาจไว้อีกมาก เป็นเรื่องยากที่จะไล่รื้อได้หมด ทั้งอำนาจกฎหมาย องค์กรอิสระ ปฏิรูปกองทัพ ฯลฯ

แต่น่าประหลาดใจ ทำไมไม่ถอยบ้าง หรือกลัวพังทีละ step อยู่ดี จึงต้องแข็งขืนอย่างนี้

ที่มา: ข่าวสดออนไลน์ www.khaosod.co.th/newspaper-column/news_4579167
 

ใบตองแห้ง: ดูหมิ่นม็อบมุ้งมิ้ง

"ม็อบมุ้งมิ้ง" อะไรเอ่ย มากันมากมาย แพร่กระจายไปหลายจังหวัด คนมามากกว่า ร้อนแรงกว่า ท้าทายกว่า แฟลชม็อบหลังยุบพรรคอนาคตใหม่ด้วยซ้ำ เพราะออกนอกมหาวิทยาลัย "ลงถนน" โดยไม่สะทกสะท้าน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

อยากเรียก "ม็อบมุ้งมิ้ง" ก็เอาที่สบายใจ ดีเหมือนกัน สะท้อนความใสซื่อของเด็กรุ่นใหม่ ซึ่งเซอร์ไพรส์ ไม่ได้มีแค่นักศึกษา เด็กมัธยมมาเต็มไปหมด ที่มหาสารคาม คนแห่แชร์นักเรียนหญิงไฮด์ปาร์กกันล้นหลาม โคตรทึ่ง เด็กรุ่นนี้โผล่มาจากไหนกัน พูดทั้งเรื่องเสรีภาพ รัฐสวัสดิการ

อ้อๆ คงถูกธนาธรล้างสมองมั้ง เก่งจัง ล้างสมองเด็กได้เป็นแสนเป็นล้าน เอาชนะระบบการศึกษา โรงเรียน ครู และลุงตู่ ที่ให้เด็กท่องอาขยานค่านิยม 12 ประการมา 6 ปี

เรียก "ม็อบมุ้งมิ้ง" คงใจชื้นกว่า #เยาวชนปลดแอก แฮชแท็กที่รีทวีตไป 10 กว่าล้านครั้ง มากที่สุดนับแต่มีทวิตเตอร์ในประเทศไทย "ม็อบมุ้งมิ้ง" ช่วยบรรเทาความหวาดกลัวพร้อมหมิ่นหยาม ทำนองว่าเด็กแค่เนียะ จะทำอะไรได้

ไม่กลัวแล้วทำไมต้องให้ทหารตำรวจไปคุกคาม เรียกคนจัดม็อบไปขู่ ครูจะไม่เซ็นใบจบให้ถ้าม็อบ อธิการบดีห้ามชุมนุม ทั้งที่เมื่อ 6 ปีก่อน ประกาศให้นักศึกษาอาจารย์ไปเป่านกหวีดโดยไม่ถือว่าขาดลา
น่าสงสาร "สลิ่ม" ที่ออกมาหมิ่นหยาม โพสต์ในโลกออนไลน์โดนทัวร์ลงกระหน่ำ ห้ามเด็กยุ่งการเมือง ผู้ใหญ่เลือกพรรคเชียร์ลุง แล้วก็มาผิดหวัง ด่านักการเมืองเสือหิวเสือโหยแย่งชิงตำแหน่ง

ระวังเน้อ เด็กสมัยนี้มัน "แหก" ได้เจ็บแสบ คนแก่ตามไม่ทัน IO โคตรขยันก็ต้านไม่อยู่ แถมยังสำแดงความเงิบ ส่งไลน์กันกระหน่ำ อ้างคำพูดเสกสรรค์ ประเสริฐกุล กระทั่งลูกต้องออกมายืนยันไม่ใช่

เออ ก็น่าสงสัย จะตอบโต้เด็กรุ่นใหม่ทำไมต้องอ้างคำพูดผู้นำ 14 ตุลาโค่นล้มเผด็จการ ผู้นำทางความคิดของพวกท่านไม่เหลือแล้วหรือไร

หน่วยงานความมั่นคงทำลิสต์ชื่อ พวกหนุนม็อบ 12 กลุ่ม หัวร่อตาย หน่วยข่าวเดินไปเจอใครมีประวัติก็จดชื่อส่งนาย ไม่เบิ่งตาดูว่า แกนนำนักเรียนนักศึกษาล้วนคนรุ่นใหม่ ผลัดเปลี่ยนกันมาชนิดที่ฝ่ายประชาธิปไตยรุ่นเก่ายังงง ใครหว่า "ฟอร์ด ทัตเทพ" นิสิตจุฬาฯ ไม่เคยเห็นหน้า เนติวิทย์? ก็มา แต่มาขายคุกกี้ ภาณุพงศ์ จาดนอก เพิ่งชูป้ายด่าประยุทธ์ที่ระยอง ไม่กี่วันกลายเป็นดาวปราศรัย หันไปดูมหาวิทยาลัยต่างๆ ก็เปลี่ยนหน้ากันตั้งแต่แฟลชม็อบ

หมดยุค ไผ่ จ่านิว ลูกเกด แมน ปกรณ์ ฯลฯ "ประชาธิปไตยใหม่" เมื่อ 5 ปีก่อน แก่ไปแล้ว วันนี้เป็นเรื่องของเด็ก รุ่นพี่ได้แค่แนะนำให้กำลังใจแม้บางคนขึ้นเวที

พวกเขาไม่มีแกนนำหรอก ใครก็ขึ้นเป็นแกนนำได้ หรือแกนนำบางคน นักศึกษาด้วยกันก็ใช่ว่าจะยอมรับ จะมีการผลัดรุ่นใหม่เสมอ ฝ่ายรัฐจึงหนักใจ จับหรืออุ้มใครไปยิ่งเกิดแสน

นี่คล้ายม็อบประชาธิปไตยฮ่องกง ไม่ต้องมีโจชัว หว่อง, นาธาน หลอ ก็เคลื่อนได้ แล้วเป็นม็อบที่ไม่กลัว อาจเพราะความมุ้งมิ้งซื่อใส ผู้ใหญ่อาจแห่ติงอย่าล้ำเส้นเป็นอันตราย เด็กไม่สนใจ เพราะอะไร? เด็กอาจไร้ประสบการณ์ ไม่เคยผ่านความเจ็บปวด แต่พวกเขาเชื่อมั่นพลังของพวกเขา 10 กว่าล้านทวีต คิดไปทางเดียวกันหมด

พวกเขาอาจไร้เดียงสา อยู่แต่ในโลกไซเบอร์ บัญชีอวตาร ฯลฯ แต่ความจริงอีกด้านคือ คนรุ่นใหม่มีความคิดมีอารมณ์ร่วมไปด้วยกันหมด

"อันตราย" ที่ผู้ใหญ่ควรคิด คือคน Gen-Z และ Gen-Y อีกร่วมครึ่ง คิดตรงข้ามพวกคุณ ตั้งแต่คนอายุ 30 ลงไปถึง 15 และตัวเปี๊ยกๆ ที่จะโตมาเป็นอนาคตของชาติ ล้วนปฏิเสธระบอบอำนาจที่เห็นอยู่ โดยอายุเกินกว่านั้นก็ไม่ใช่พวกคุณเสียหมด ยังแบ่งเป็น 2 ขั้ว เพียงอาจไม่ร้อนแรงเท่าคนรุ่นใหม่

ไม่เห็นหรือ นางงาม ดารา ร้านยำ ยังกล้าสนับสนุนโดยไม่กลัวเสียลูกค้าเสียความนิยม

นี่คือคนรุ่นที่เติบโตหลังรัฐประหาร 49 ความขัดแย้งยาวนาน 14 ปีทำลายอนาคตพวกเขา รัฐอนุรักษนิยมสุดโต่งเข้ามายึดอำนาจ ประชาธิปไตย เสรีภาพ ถอยหลัง ในเชิงการปกครอง ความกลัวทำให้ไม่สามารถกลับไปเป็นประชาธิปไตย ในด้านความคิด วัฒนธรรม ก็พยายามเอาจารีตมาจำกัดความคิดเสรี กราบไหว้ครู เสื้อผ้าหน้าผม ไถหัว ทั้งที่โลกไปถึงไหนกันแล้ว
ระบอบอำนาจควรตระหนักเถอะว่า คนรุ่นใหม่ทั้งเจเนอเรชั่นกำลังระบายความอัดอั้น คนรุ่นเก่ากว่านั้นก็มีทั้งสองข้าง ขณะที่เศรษฐกิจกำลังดิ่งเหว คนตกงานเพิ่มทุกวัน

แม้แน่ละ ประชาชนไม่สามารถโค่นล้มรัฐที่มีทั้งปืนทั้งกฎหมาย แต่ก็จะเข้าสู่หลุมดำไปด้วยกันทั้งหมด ถ้าผู้มีอำนาจไม่หาหนทางยืดหยุ่นเพื่ออยู่ร่วมกัน

ที่มา: ข่าวสดออนไลน์ www.khaosod.co.th/newspaper-column/news_4566161


 
2020-07-26 21:03

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar