ตาสว่างที่5: ทำไมประชาชนไทยยากจนแต่ราชวงศ์จักรีรวยที่สุดในโลก? และทำไมต้องพอเพียง?
ข่าวจากนิตยสารฟอร์บประกาศต่อชาวโลกว่า องค์ประมุขไทย รวยที่สุดในโลก ติดต่อกันนานกว่า5ปีได้กลายเป็นประกายไฟไหม้ลามราชสำนักไทย ด้วยคำถามว่าแล้ว ทำไมประชาชนจึงยากจน?
แล้วทำไมกษัตริย์ภูมิพลจึงสั่งสอนให้ประชาชนอยู่อย่างพอเพียงแต่ตัวเองและลูกหลานกลับอยู่อย่างไม่รู้จักพอ?
คำถาม จากเบื้องลึกในหัวใจของประชาชนได้ผุดขึ้นทั่วไปทั้งในประเทศและต่างประเทศทั่วโลกว่า ข้อความข้างต้นนี้จริงหรือ?
และคำถามที่ติดตามมาก็คือทำไมประเทศญี่ปุ่นและหลายประเทศในกลุ่มประเทศสแกนดิเนียเวียที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยและมีกษัตริย์ด้วย ประชาชนเขาร่ำรวย แต่กษัตริย์กลับไม่ติดอันดับความร่ำรวยเลย?
ปรากฎว่าตลอดระยะเวลากว่า5ปี ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนี้ ไม่มีนักวิชาการในรั้วมหาวิทยาลัยแม้แต่คนเดียวที่กล้ากระโดดออกมาตอบโต้นิตยสารฉบับดังกล่าว รวมทั้งอาจารย์มหาวิทยาลัยที่ประกาศตัวว่า จะขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไปก็ไม่กล้าโผล่หัวออกมาโต้
อะไรคือที่มาของความร่ำรวยจนอื้อฉาวนี้?
1.ราชสำนักไทยได้สะสมทรัพย์สินทั้งทรัพย์สินส่วนพระองค์และทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่ปล้นมาจากราชวงศ์พระเจ้าตากสินและสะสมตกทอดทั้งที่เป็นทองคำเพชรนิลจินดาที่ดินมายาวนานกว่า200ปี ตั้งแต่ทำรัฐประหารยึดอำนาจจากพระเจ้ากรุงธนบุรีแล้ว
เริ่มต้นราชวงศ์จักรีและที่สำคัญคือในระยะหลังได้ขยายตัวเป็นทุนผูกขาดที่มีอำนาจเหนือรัฐ ที่สูบผลประโยชน์จากประชาชนโดยตรง ทั้งจากภาษีอากรและทรัพยากรของประชาชนอย่างมีสิทธิพิเศษ
โดยเฉพาะการผูกขาดในกิจการต่างๆที่เป็นพื้นฐานของการพัฒนาเศรษฐกิจ เช่น ธนาคาร,บริษัทเงินทุน,การก่อสร้าง,โรงปูนซิเมนต์,โรงงานกระดาษและโรงงานไม้อัด เป็นต้น
โดยผูกขาดอย่างมีอภิสิทธิ์นับตั้งแต่รัชการที่4 เป็นต้นมา เมื่อเปิดประเทศตามสนธิสัญญาเบาว์ริ่งและการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองของคณะราษฎรเมื่อ 24มิถุนายน2475 ก็มิได้ทำการยึดทรัพย์สินของกษัตริย์อันเป็นต้นทางของอำนาจทางการเมืองเหมือนการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในโลก
*(แม้ในช่วงจอมพล ป.ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีได้ดำเนินการออกกฎหมายให้ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่มีมูลค่ามหาศาล คือที่ดินที่อยู่กลางเมืองของทุกจังหวัด ทั่วประเทศ รวมทั้งดอกผลจากการเช่าให้เป็นของประชาชนทั้งหมด แต่ก็มีผลเพียงระยะสั้นเพราะหลัง จากจอมพลป.ถูกโค่นล้ม โดยกษัตริย์ที่เชิดจอมพลสฤษดิ์ขึ้นทำรัฐประหาร กษัตริย์ก็เข้าครอบครองเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ส่วนนี้เหมือนเดิมและยังมีการสะสมที่ดินที่เกิดใหม่จากเงินภาษีของประชาชนอีก เช่นที่ดินริมเขื่อนและริมอ่างเก็บน้ำในโครงการพระราชดำริเป็นต้น)
2.ราชสำนักไทยได้แสวงหาผลประโยชน์จากทุกกิจการทั้งการลงทุนในกิจการใหม่ๆ ทั้งรูปการลงทุน, การรับบริจาคหุ้นที่บริษัทธุรกิจถวายให้ เพื่อให้กิจการค้าของตนได้รับสิทธิพิเศษด้านต่างๆจากการตรวจสอบของรัฐ รวมทั้งหุ้นที่ซื้อด้วยราคาถูกพิเศษทั้งของเอกชนและของรัฐวิสาหกิจ ที่ถูกแปรรูป เช่น ปตท.และการบินไทย รวมทั้งการทำธุรกิจในโครงการส่วนพระองค์และของลูกหลานต่างๆ เช่น ดอยคำ,ภูฟ้า,จิตรลดา และ อีกมากมาย
โดยใช้เงินภาษีของประชาชน และ ทุนของรัฐหนุนช่วยกิจการส่วนตัว ดังจะเห็นร้านค้าต่างๆ ที่มีชื่อเหล่านี้อยู่ในทำเลที่ดีที่สุดของสนามบินสุวรรณภูมิโดยไม่ต้องเสียค่าเช่า
การขยายทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศในทุกกิจการของราชสำนัก กระทำอย่างต่อเนื่องตลอดรัชสมัยของกษัตริย์ภูมิพลที่ยาวนานกว่า 60 ปี อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย โดยไม่ใส่ใจต่อปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ซึ่งก็คือทั้งหลอกลวงและ ขูดรีดผลประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมจากประชาชนและสังคมมาเป็นทรัพย์สินส่วนตัว เช่น การขึ้นราคาค่าเช่าที่ดินที่พักอาศัย,การขับไล่ผู้เช่าที่อยู่อาศัย เพื่อสร้างศูนย์การค้า,การขอขึ้นราคาปูนซีเมนต์ และ วัสดุก่อสร้างซึ่งเป็นสินค้าควบคุมตามกฎหมายต่อกระทรวงพานิชย์
ที่รัฐมนตรีในทุกรัฐบาลต้องยอม,การขอสัมปทานเหมืองแร่รวมทั้งภูเขา เพื่อระเบิดทำปูนซีเมนต์เพื่อผลประโยชน์ส่วนพระองค์ รวมทั้งการ การเก็บสะสมเพิ่มทรัพย์สินที่ดินกระทำอยู่ตลอดเวลาไม่มีจบสิ้น
จากโครงการที่ใช้เงินภาษีของประชาชนสร้างเขื่อนและอ่างเก็บน้ำ ตามโครงการพระราชดำริต่างๆ ที่เกิดใหม่จะมีการกันส่วน ออกเอกสารสิทธิที่ริมน้ำเกือบทุกแห่งเป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์
รวมถึงที่ดินที่ไม่แน่ชัดในทางกฎหมาย เช่น ที่ดินของจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยที่รัชกาลที่ 5 ยกให้จุฬาฯ เก็บผลประโยชน์เพื่อใช้ในการศึกษาก็ถูกตีความทางกฎหมายใหม่ให้อยู่ในกรรมสิทธิ์ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นต้น
*(ตัวอย่างการให้ผลประโยชน์ตอบแทนที่เห็นชัดเป็นรูปธรรมแก่ผู้ที่รับใช้ใต้เบื้องยุคลบาท คือ อธิการบดีผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับที่ดินของจุฬาฯ ในช่วงการเปลี่ยนกรรมสิทธิ์และช่วยพัฒนาเป็นศูนย์การค้าทั้งที่สยามสแควร์ และ สามย่านคือ นายเทียนฉายและภรรยาซึ่งเป็นอธิการบดีจุฬาฯ ด้วยกันทั้งคู่ก็ได้กลายเป็นผู้ใกล้ชิดและได้รับผลประโยชน์ตอบแทนอย่างเต็มที่โดยสามีเป็นประธานสภาปฏิรูปการปกครองและภรรยาเป็นสมาชิกสภาในขณะนี้)
3.ราชสำนักไทยได้นำทรัพย์สินจากการขูดรีดประชาชน ส่งทุนออกนอกเพื่อหาประโยชน์และเก็บประโยชน์ไว้ในต่างประเทศ เพื่อความปลอดภัยในทรัพย์สินของตัวและครอบครัวหากเกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น การซื้อกิจการโรงแรมแคมเปนสกี้ที่เป็นโรงแรมระดับโลก 5 ดาว ที่ลงทุนอยู่ทั่วโลกโดยการขยายตลาดใหม่ๆที่จะให้ผลประโยชน์
โดยรัฐบาล โดยเฉพาะกระทรวงการต่างประเทศจะช่วยดูแลคุ้มครอง ในฐานะทรัพย์สินส่วนตัวของประมุขแห่งรัฐที่ขยายทุนกว้างขวาง โดยไม่คำนึงถึงระบอบการปกครองอาทิ เช่นโรงแรมปิรามิดในนครเปียงยางเกาหลีเหนือ และ ตัวอย่างที่โด่งดังคือ อภิมหาสวนน้ำสยามในสเปน ,รวมตลอดถึงกิจการทางตลาดหลักทรัพย์และกิจการสื่อสารโทรคมนาคมในต่างประเทศ อาทิ เช่น บริษัทเทมาเซกมหาชนและบริษัทสิงห์เทลในสิงคโปร์ (ที่เคยเกิดปัญหานำมาเชิดเล่นลครหลอกลวงประชาชนที่สร้างขึ้นเป็นข้ออ้างในการทำรัฐประหารล้มรัฐบาลทักษิณเมื่อ 19 กันยายน 2549 ที่ในเบื้องต้นทำท่าจะเอาเป็นเอาตายกับบุคคลที่เป็นตัวแทนถือหุ้นให้กับบริษัทชื่อแปลกๆแต่สุดท้ายก็โอละพ่อ)
4.ราชสำนักไทยได้ใช้อำนาจทางการเมืองและการทหารคุ้มครองธุรกิจส่วนตัวของตน ทั้งๆที่กิจการทั้งหมดก็เป็นกิจการที่ยากต่อการขาดทุนและยังได้รับสิทธิพิเศษจากรัฐอยู่แล้ว อาทิเช่นบริษัทเงินทุนและกิจการธนาคาร,ประกันภัยและวัสดุอุปกรณ์การก่อสร้าง แต่ธรรมชาติทางการค้าในตลาดเสรีของการแข่งขัน ที่แม้จะใช้อำนาจรัฐของพระองค์คุ้มครองไม่ให้ทุนที่มีศักยภาพสูงกว่าทั้งในและต่างประเทศ เข้ามาแข่งขันได้ แต่ก็ยังหนีไม่พ้นการขาดทุนได้อาทิ เช่นเกิดวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งปี 2540 เกิดการตกต่ำของค่าเงินบาทอย่างรุนแรง ทำให้หลายกิจการของกษัตริย์ภูมิพลเสียหายอย่างหนักถึงขั้นจะล้มละลาย เช่น ธนาคารไทยพาณิชย์และบริษัทปูนซีเมนต์เป็นต้น ก็มีการนำเงินภาษีอากรของประชาชนเข้าอุ้มกิจการอันเป็นผลประโยชน์ส่วนพระองค์
5.ราชสำนักไทยหาผลประโยชน์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น การรับเงินส่วยต่างๆจากบ่อนการพนัน,จากเจ้ามือหวยใต้ดิน,ของเถื่อน,การเลื่อนตำแหน่งทางราชการ,จากยาเสพติดในรูปของการนำเงิน,ที่ดินหรือหุ้นของบริษัทมาถวายหรือใช้อำนาจบีบให้นำเงินมาถวายในรูปของการเสด็จแทนพระองค์ไปในงานรับปริญญาบัตร,งานเผาศพ,งานยกช่อฟ้าตัดลูกนิมิตร ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดและข้าราชการที่รับผิดชอบในพื้นที่จะต้องรีดไถจากพ่อค้ารวบรวมเงินถวายหรือ ใช้อำนาจแกมบังคับบีบให้หน่วยราชการต่างๆบริจาคเงินเข้ามูลนิธิที่ตั้งกันดาดดื่นก็เพื่อหาเงินทั้งนั้นตามที่ปรากฎในโทรทัศน์ข่าวราชสำนักสองทุ่ม เช่น การเกณฑ์พ่อค้านายทุนเถ้าแก่เถ้าแกเนี๊ยแต่งชุดไทยใส่ส้นสูงเดินยักแย่ยักยันไปรับเข็มกลัดประจำพระองค์โดยต้องจ่ายเงินเข็มละ 20,000 บาท หรือกรณีพระราชทานปริญญาบัตร,มหาวิทยาลัยก็จะเก็บเงินจากบัณฑิตหัวละ 1,000 บาท รวบรวมถวายให้โดยเสด็จครั้งหนึ่งๆ เป็นเงินไม่น้อยกว่า1ล้านบาทโดยเงินที่รับทั้งหมดนี้ไม่ต้องเสียภาษี
ผลจากการกระทำดังกล่าวทำให้ผู้ที่ถวายหุ้นและเงินอย่างสม่ำเสมอ(เช่น เจ้าของกิจการบริษัทซีพี,เบียร์ช้าง,เบียร์สิงห์)ได้เป็นบุคคลที่ใกล้ชิดและเป็นกิจการในพระมหากรุณาธิคุณได้รับพระราชทานครุฑไปติดหน้าร้าน และ ทำให้พระองค์ทรงเป็นเจ้าของกิจการต่างๆมากมายในประเทศและบริษัทธุรกิจที่ถวายผลประโยชน์มากๆอย่างสม่ำเสมอก็จะได้รับผลตอบแทนเป็นอภิสิทธิ์ต่างๆในหลากหลายรูปแบบอาทิ เช่น กฎหมายคุ้มครองไม่ให้ทุนต่างประเทศเข้ามาทำอุตสาหกรรมเลี้ยงสัตว์แข่งด้วย,กฎหมายการคุ้มครองการลงทุนด้านกิจการธนาคารของเจ้าซัวในอดีตแม้แต่กิจการที่ไม่น่าเชื่อว่าจะได้สิทธิพิเศษ เช่น บริษัทการพิมพ์ก็สามารถใช้พื้นที่ที่ดีที่สุดในโรงพยาบาลศิริราชเปิดร้านหนังสือนายอินทร์กลางโรงพยาบาลทั้งที่พื้นที่ของโรงพยาบาลก็ไม่เพียงพอต่อการบริการความเจ็บป่วยของประชาชนอยู่แล้วรวมถึงทุกครั้งเมื่อมีการรัฐประหารจะมีบุคคลเหล่านี้หรือตัวแทนผลประโยชน์ของบริษัทเข้าไปนั่งเป็นสมาชิกสภาและเป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐประหารด้วย,โดยเฉพาะตัวอย่างเช่นบริษัทซีพีจะได้รับสิทธิพิเศษมากถึงขนาดมีตัวแทนของบริษัทไปนั่งเป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยที่เกียวกับการเกษตรทุกสถาบัน
จาการหาผลประโยชน์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายทั้งระบบจึงทำให้ไม่อาจจะแก้ปัญหาหวยเถื่อน,บ่อนเถื่อนและลอตเตอร์รี่ขายเกินราคาได้และเกิดวงจรอุบาทว์ทั้งระบบจากการแต่งตั้งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่จะต้องขูดรีดประชาชนเป็นลำดับชั้นเพื่อนำเงินไปถวายดังกรณีตัวอย่างพลตำรวจโทพงศ์ภัทรฉายาพันธ์ ผู้บัญชาการสอบสวนกลางและพวกที่อยู่ในตำแหน่งเงินตำแหน่งทองแต่ละที่ยาวนานเกินวาระปกติในฐานะญาติของพระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายา รวมทั้งคนสนิทที่อยู่ในตำแหน่งราชการระดับสูงที่ใกล้ชิดเชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์ก็จะเป็นผู้หาเงินผิดกฎหมายส่งถวายเช่นนี้และเมื่อใครผิดพลาดทำให้เสียหายถึงพระราชวงศ์ก็จะถูกประหารรับผิดชอบเป็นส่วนตัวไป
อีกลักษณะหนึ่งที่ราชสำนักไทยเอื้อมมือไปล้วงหาผลประโยชน์ตรงๆจากงบประมาณแผ่นดินในการจัดซื้อจัดจ้างในหลายกระทรวงโดยผ่านคนจัดการมานานแล้วและที่ยืนยันได้เพราะเกิดการทุจริตขนาดใหญ่อย่างเอิกเกริกที่สังคมรับรู้แต่ไม่อาจทำอะไรได้กับคนที่เป็นตัวแทนไปหาผลประโยชน์มาถวายคือโครงการประมูลงานสร้างโรงพัก964แห่งโดยผ่านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และการซื้อเครื่องบินกริฟฟินจากสวีเดนฝูงใหญ่ที่แพงเป็นกรณีพิเศษอย่างหาเหตุผลไม่ได้โดยเปรียบเทียบกับการซื้อของประเทศโรมาเนียโดยผ่านพลอากาศเอกชลิต พุกผาสุข ผู้บัญชาการทหารอากาศในขณะนั้นและผลลงเอยด้วยพลอากาศเอกชลิตได้รับโปรดเกล้าแต่งตั้งเป็นองคมนตรี และนายสุเทพทำอะไรก็ไม่ผิดแม้แต่สั่งฆ่าประชาชนและก่อจราจลปิดกรุงเทพ
เมื่อพระองค์เป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ติดต่อกันหลายปีด้วยการทำธุรกิจขูดรีดแบบโบราณและแบบสมัยใหม่ โดยเก็บรวบรวมผลประโยชน์อย่างไม่พอเพียงรวมทั้งลูกหลานของตนก็แสวงหาผลประโยชน์ในลักษณะเช่นนี้แล้ว ทำไมจึงต้องไปสั่งสอนคนทั้งประเทศให้พอเพียง?
คำตอบที่ง่ายที่สุดและสั้นที่สุดคือเพื่อสร้างภาพลักษณ์หลอกลวงประชาชน ว่าตนเองเป็นผู้มีคุณธรรมประหนึ่งนักบวชที่หลุดพ้นจากวัตรสงสารในโลกนี้ เหมือนในเทพนิยายทางศาสนาแล้ว,และกดให้ประชาชนโง่
โดยให้มีความคิดอยู่กับการหาอยู่หากินไปวันๆไม่ต้องมองการพัฒนาของโลกสมัยใหม่ เพราะพระองค์ทรงทราบดีว่าถ้าเปิดทางให้ประชาชนทุกคนโงหัวขึ้นมา มองไปข้างหน้าสู่การทำธุรกิจการค้าและเทคโนโลยีสมัยใหม่ทุกคนจะตาสว่างและเห็นความไม่เป็นธรรม ของระบบและความไม่เสมอภาค
ในโอกาสที่รัฐต้องให้กับประชาชนผู้เสียภาษีอย่างเท่าเทียม ซึ่งจะเป็นอันตรายกับระบอบราชาธิปไตย
ที่พระองค์แอบซ่อนอำนาจเก็บกำผลประโยชน์ส่วนตัวมายาวนาน,และนี้คือต้นเหตุแห่งความยากจนและความหล้าหลังของการพัฒนาประเทศที่ไม่อาจจะแข่งขันกับนานาประเทศได้
"ถ้าหากนักวิชาการท่านใดจะโจมตีนักการเมืองในรัฐบาลใดว่าเป็นกลุ่มทุนสามานย์ก็ขอให้พิจารณาการลงทุนและการขยายทุนและการทุจริตอย่างเปิดเผยของกษัตริย์ไทยประกอบด้วยเพื่อจะได้ชี้เป้าหมายความจริงได้ถูกต้อง...เพียงแต่ท่านจะกล้ามองและหาเหตุผลกับความเป็นจริงนี้หรือไม่"
ที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นนี้เป็นเพียงรูปธรรมส่วนหนึ่งที่เป็นที่มาของกษัตริย์ที่รวยที่สุดในโลกแต่ประชาชนกลับยากจนติดอันดับโลก, แต่ไม่น่าเชื่อว่าราชสำนักไทยและทหารพระราชาจะมีจิตใจโหดร้ายที่ไม่ยอมแม้แต่จะแบ่งเศษเงินงบประมาณให้แก่ประชาชน ในรูปของนโยบายรัฐสวัสดิการเพื่อดูแลคนจน ดังจะเห็นได้ว่าที่ผ่านมากษัตริย์และทหารพระราชาได้โจมตีนโยบายรัฐสวัสดิการ
ที่เริ่มต้นในสมัยทักษิณเป็นนายกฯว่าเป็นนโยบายประชานิยมบ้างหรือระบอบทักษิณบ้างและเป็นหนึ่งในข้ออ้างของการล้มรัฐบาลทักษิณตั้งแต่ปี2549และทุกรัฐบาลจากนั้นจนถึงรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ในวันนี้
------------------------------
ข่าวจากนิตยสารฟอร์บประกาศต่อชาวโลกว่า องค์ประมุขไทย รวยที่สุดในโลก ติดต่อกันนานกว่า5ปีได้กลายเป็นประกายไฟไหม้ลามราชสำนักไทย ด้วยคำถามว่าแล้ว ทำไมประชาชนจึงยากจน?
แล้วทำไมกษัตริย์ภูมิพลจึงสั่งสอนให้ประชาชนอยู่อย่างพอเพียงแต่ตัวเองและลูกหลานกลับอยู่อย่างไม่รู้จักพอ?
คำถาม จากเบื้องลึกในหัวใจของประชาชนได้ผุดขึ้นทั่วไปทั้งในประเทศและต่างประเทศทั่วโลกว่า ข้อความข้างต้นนี้จริงหรือ?
และคำถามที่ติดตามมาก็คือทำไมประเทศญี่ปุ่นและหลายประเทศในกลุ่มประเทศสแกนดิเนียเวียที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยและมีกษัตริย์ด้วย ประชาชนเขาร่ำรวย แต่กษัตริย์กลับไม่ติดอันดับความร่ำรวยเลย?
ปรากฎว่าตลอดระยะเวลากว่า5ปี ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนี้ ไม่มีนักวิชาการในรั้วมหาวิทยาลัยแม้แต่คนเดียวที่กล้ากระโดดออกมาตอบโต้นิตยสารฉบับดังกล่าว รวมทั้งอาจารย์มหาวิทยาลัยที่ประกาศตัวว่า จะขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไปก็ไม่กล้าโผล่หัวออกมาโต้
อะไรคือที่มาของความร่ำรวยจนอื้อฉาวนี้?
1.ราชสำนักไทยได้สะสมทรัพย์สินทั้งทรัพย์สินส่วนพระองค์และทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่ปล้นมาจากราชวงศ์พระเจ้าตากสินและสะสมตกทอดทั้งที่เป็นทองคำเพชรนิลจินดาที่ดินมายาวนานกว่า200ปี ตั้งแต่ทำรัฐประหารยึดอำนาจจากพระเจ้ากรุงธนบุรีแล้ว
เริ่มต้นราชวงศ์จักรีและที่สำคัญคือในระยะหลังได้ขยายตัวเป็นทุนผูกขาดที่มีอำนาจเหนือรัฐ ที่สูบผลประโยชน์จากประชาชนโดยตรง ทั้งจากภาษีอากรและทรัพยากรของประชาชนอย่างมีสิทธิพิเศษ
โดยเฉพาะการผูกขาดในกิจการต่างๆที่เป็นพื้นฐานของการพัฒนาเศรษฐกิจ เช่น ธนาคาร,บริษัทเงินทุน,การก่อสร้าง,โรงปูนซิเมนต์,โรงงานกระดาษและโรงงานไม้อัด เป็นต้น
โดยผูกขาดอย่างมีอภิสิทธิ์นับตั้งแต่รัชการที่4 เป็นต้นมา เมื่อเปิดประเทศตามสนธิสัญญาเบาว์ริ่งและการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองของคณะราษฎรเมื่อ 24มิถุนายน2475 ก็มิได้ทำการยึดทรัพย์สินของกษัตริย์อันเป็นต้นทางของอำนาจทางการเมืองเหมือนการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในโลก
*(แม้ในช่วงจอมพล ป.ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีได้ดำเนินการออกกฎหมายให้ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่มีมูลค่ามหาศาล คือที่ดินที่อยู่กลางเมืองของทุกจังหวัด ทั่วประเทศ รวมทั้งดอกผลจากการเช่าให้เป็นของประชาชนทั้งหมด แต่ก็มีผลเพียงระยะสั้นเพราะหลัง จากจอมพลป.ถูกโค่นล้ม โดยกษัตริย์ที่เชิดจอมพลสฤษดิ์ขึ้นทำรัฐประหาร กษัตริย์ก็เข้าครอบครองเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ส่วนนี้เหมือนเดิมและยังมีการสะสมที่ดินที่เกิดใหม่จากเงินภาษีของประชาชนอีก เช่นที่ดินริมเขื่อนและริมอ่างเก็บน้ำในโครงการพระราชดำริเป็นต้น)
2.ราชสำนักไทยได้แสวงหาผลประโยชน์จากทุกกิจการทั้งการลงทุนในกิจการใหม่ๆ ทั้งรูปการลงทุน, การรับบริจาคหุ้นที่บริษัทธุรกิจถวายให้ เพื่อให้กิจการค้าของตนได้รับสิทธิพิเศษด้านต่างๆจากการตรวจสอบของรัฐ รวมทั้งหุ้นที่ซื้อด้วยราคาถูกพิเศษทั้งของเอกชนและของรัฐวิสาหกิจ ที่ถูกแปรรูป เช่น ปตท.และการบินไทย รวมทั้งการทำธุรกิจในโครงการส่วนพระองค์และของลูกหลานต่างๆ เช่น ดอยคำ,ภูฟ้า,จิตรลดา และ อีกมากมาย
โดยใช้เงินภาษีของประชาชน และ ทุนของรัฐหนุนช่วยกิจการส่วนตัว ดังจะเห็นร้านค้าต่างๆ ที่มีชื่อเหล่านี้อยู่ในทำเลที่ดีที่สุดของสนามบินสุวรรณภูมิโดยไม่ต้องเสียค่าเช่า
การขยายทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศในทุกกิจการของราชสำนัก กระทำอย่างต่อเนื่องตลอดรัชสมัยของกษัตริย์ภูมิพลที่ยาวนานกว่า 60 ปี อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย โดยไม่ใส่ใจต่อปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ซึ่งก็คือทั้งหลอกลวงและ ขูดรีดผลประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมจากประชาชนและสังคมมาเป็นทรัพย์สินส่วนตัว เช่น การขึ้นราคาค่าเช่าที่ดินที่พักอาศัย,การขับไล่ผู้เช่าที่อยู่อาศัย เพื่อสร้างศูนย์การค้า,การขอขึ้นราคาปูนซีเมนต์ และ วัสดุก่อสร้างซึ่งเป็นสินค้าควบคุมตามกฎหมายต่อกระทรวงพานิชย์
ที่รัฐมนตรีในทุกรัฐบาลต้องยอม,การขอสัมปทานเหมืองแร่รวมทั้งภูเขา เพื่อระเบิดทำปูนซีเมนต์เพื่อผลประโยชน์ส่วนพระองค์ รวมทั้งการ การเก็บสะสมเพิ่มทรัพย์สินที่ดินกระทำอยู่ตลอดเวลาไม่มีจบสิ้น
จากโครงการที่ใช้เงินภาษีของประชาชนสร้างเขื่อนและอ่างเก็บน้ำ ตามโครงการพระราชดำริต่างๆ ที่เกิดใหม่จะมีการกันส่วน ออกเอกสารสิทธิที่ริมน้ำเกือบทุกแห่งเป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์
รวมถึงที่ดินที่ไม่แน่ชัดในทางกฎหมาย เช่น ที่ดินของจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยที่รัชกาลที่ 5 ยกให้จุฬาฯ เก็บผลประโยชน์เพื่อใช้ในการศึกษาก็ถูกตีความทางกฎหมายใหม่ให้อยู่ในกรรมสิทธิ์ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นต้น
*(ตัวอย่างการให้ผลประโยชน์ตอบแทนที่เห็นชัดเป็นรูปธรรมแก่ผู้ที่รับใช้ใต้เบื้องยุคลบาท คือ อธิการบดีผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับที่ดินของจุฬาฯ ในช่วงการเปลี่ยนกรรมสิทธิ์และช่วยพัฒนาเป็นศูนย์การค้าทั้งที่สยามสแควร์ และ สามย่านคือ นายเทียนฉายและภรรยาซึ่งเป็นอธิการบดีจุฬาฯ ด้วยกันทั้งคู่ก็ได้กลายเป็นผู้ใกล้ชิดและได้รับผลประโยชน์ตอบแทนอย่างเต็มที่โดยสามีเป็นประธานสภาปฏิรูปการปกครองและภรรยาเป็นสมาชิกสภาในขณะนี้)
3.ราชสำนักไทยได้นำทรัพย์สินจากการขูดรีดประชาชน ส่งทุนออกนอกเพื่อหาประโยชน์และเก็บประโยชน์ไว้ในต่างประเทศ เพื่อความปลอดภัยในทรัพย์สินของตัวและครอบครัวหากเกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น การซื้อกิจการโรงแรมแคมเปนสกี้ที่เป็นโรงแรมระดับโลก 5 ดาว ที่ลงทุนอยู่ทั่วโลกโดยการขยายตลาดใหม่ๆที่จะให้ผลประโยชน์
โดยรัฐบาล โดยเฉพาะกระทรวงการต่างประเทศจะช่วยดูแลคุ้มครอง ในฐานะทรัพย์สินส่วนตัวของประมุขแห่งรัฐที่ขยายทุนกว้างขวาง โดยไม่คำนึงถึงระบอบการปกครองอาทิ เช่นโรงแรมปิรามิดในนครเปียงยางเกาหลีเหนือ และ ตัวอย่างที่โด่งดังคือ อภิมหาสวนน้ำสยามในสเปน ,รวมตลอดถึงกิจการทางตลาดหลักทรัพย์และกิจการสื่อสารโทรคมนาคมในต่างประเทศ อาทิ เช่น บริษัทเทมาเซกมหาชนและบริษัทสิงห์เทลในสิงคโปร์ (ที่เคยเกิดปัญหานำมาเชิดเล่นลครหลอกลวงประชาชนที่สร้างขึ้นเป็นข้ออ้างในการทำรัฐประหารล้มรัฐบาลทักษิณเมื่อ 19 กันยายน 2549 ที่ในเบื้องต้นทำท่าจะเอาเป็นเอาตายกับบุคคลที่เป็นตัวแทนถือหุ้นให้กับบริษัทชื่อแปลกๆแต่สุดท้ายก็โอละพ่อ)
4.ราชสำนักไทยได้ใช้อำนาจทางการเมืองและการทหารคุ้มครองธุรกิจส่วนตัวของตน ทั้งๆที่กิจการทั้งหมดก็เป็นกิจการที่ยากต่อการขาดทุนและยังได้รับสิทธิพิเศษจากรัฐอยู่แล้ว อาทิเช่นบริษัทเงินทุนและกิจการธนาคาร,ประกันภัยและวัสดุอุปกรณ์การก่อสร้าง แต่ธรรมชาติทางการค้าในตลาดเสรีของการแข่งขัน ที่แม้จะใช้อำนาจรัฐของพระองค์คุ้มครองไม่ให้ทุนที่มีศักยภาพสูงกว่าทั้งในและต่างประเทศ เข้ามาแข่งขันได้ แต่ก็ยังหนีไม่พ้นการขาดทุนได้อาทิ เช่นเกิดวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งปี 2540 เกิดการตกต่ำของค่าเงินบาทอย่างรุนแรง ทำให้หลายกิจการของกษัตริย์ภูมิพลเสียหายอย่างหนักถึงขั้นจะล้มละลาย เช่น ธนาคารไทยพาณิชย์และบริษัทปูนซีเมนต์เป็นต้น ก็มีการนำเงินภาษีอากรของประชาชนเข้าอุ้มกิจการอันเป็นผลประโยชน์ส่วนพระองค์
5.ราชสำนักไทยหาผลประโยชน์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น การรับเงินส่วยต่างๆจากบ่อนการพนัน,จากเจ้ามือหวยใต้ดิน,ของเถื่อน,การเลื่อนตำแหน่งทางราชการ,จากยาเสพติดในรูปของการนำเงิน,ที่ดินหรือหุ้นของบริษัทมาถวายหรือใช้อำนาจบีบให้นำเงินมาถวายในรูปของการเสด็จแทนพระองค์ไปในงานรับปริญญาบัตร,งานเผาศพ,งานยกช่อฟ้าตัดลูกนิมิตร ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดและข้าราชการที่รับผิดชอบในพื้นที่จะต้องรีดไถจากพ่อค้ารวบรวมเงินถวายหรือ ใช้อำนาจแกมบังคับบีบให้หน่วยราชการต่างๆบริจาคเงินเข้ามูลนิธิที่ตั้งกันดาดดื่นก็เพื่อหาเงินทั้งนั้นตามที่ปรากฎในโทรทัศน์ข่าวราชสำนักสองทุ่ม เช่น การเกณฑ์พ่อค้านายทุนเถ้าแก่เถ้าแกเนี๊ยแต่งชุดไทยใส่ส้นสูงเดินยักแย่ยักยันไปรับเข็มกลัดประจำพระองค์โดยต้องจ่ายเงินเข็มละ 20,000 บาท หรือกรณีพระราชทานปริญญาบัตร,มหาวิทยาลัยก็จะเก็บเงินจากบัณฑิตหัวละ 1,000 บาท รวบรวมถวายให้โดยเสด็จครั้งหนึ่งๆ เป็นเงินไม่น้อยกว่า1ล้านบาทโดยเงินที่รับทั้งหมดนี้ไม่ต้องเสียภาษี
ผลจากการกระทำดังกล่าวทำให้ผู้ที่ถวายหุ้นและเงินอย่างสม่ำเสมอ(เช่น เจ้าของกิจการบริษัทซีพี,เบียร์ช้าง,เบียร์สิงห์)ได้เป็นบุคคลที่ใกล้ชิดและเป็นกิจการในพระมหากรุณาธิคุณได้รับพระราชทานครุฑไปติดหน้าร้าน และ ทำให้พระองค์ทรงเป็นเจ้าของกิจการต่างๆมากมายในประเทศและบริษัทธุรกิจที่ถวายผลประโยชน์มากๆอย่างสม่ำเสมอก็จะได้รับผลตอบแทนเป็นอภิสิทธิ์ต่างๆในหลากหลายรูปแบบอาทิ เช่น กฎหมายคุ้มครองไม่ให้ทุนต่างประเทศเข้ามาทำอุตสาหกรรมเลี้ยงสัตว์แข่งด้วย,กฎหมายการคุ้มครองการลงทุนด้านกิจการธนาคารของเจ้าซัวในอดีตแม้แต่กิจการที่ไม่น่าเชื่อว่าจะได้สิทธิพิเศษ เช่น บริษัทการพิมพ์ก็สามารถใช้พื้นที่ที่ดีที่สุดในโรงพยาบาลศิริราชเปิดร้านหนังสือนายอินทร์กลางโรงพยาบาลทั้งที่พื้นที่ของโรงพยาบาลก็ไม่เพียงพอต่อการบริการความเจ็บป่วยของประชาชนอยู่แล้วรวมถึงทุกครั้งเมื่อมีการรัฐประหารจะมีบุคคลเหล่านี้หรือตัวแทนผลประโยชน์ของบริษัทเข้าไปนั่งเป็นสมาชิกสภาและเป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐประหารด้วย,โดยเฉพาะตัวอย่างเช่นบริษัทซีพีจะได้รับสิทธิพิเศษมากถึงขนาดมีตัวแทนของบริษัทไปนั่งเป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยที่เกียวกับการเกษตรทุกสถาบัน
จาการหาผลประโยชน์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายทั้งระบบจึงทำให้ไม่อาจจะแก้ปัญหาหวยเถื่อน,บ่อนเถื่อนและลอตเตอร์รี่ขายเกินราคาได้และเกิดวงจรอุบาทว์ทั้งระบบจากการแต่งตั้งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่จะต้องขูดรีดประชาชนเป็นลำดับชั้นเพื่อนำเงินไปถวายดังกรณีตัวอย่างพลตำรวจโทพงศ์ภัทรฉายาพันธ์ ผู้บัญชาการสอบสวนกลางและพวกที่อยู่ในตำแหน่งเงินตำแหน่งทองแต่ละที่ยาวนานเกินวาระปกติในฐานะญาติของพระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายา รวมทั้งคนสนิทที่อยู่ในตำแหน่งราชการระดับสูงที่ใกล้ชิดเชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์ก็จะเป็นผู้หาเงินผิดกฎหมายส่งถวายเช่นนี้และเมื่อใครผิดพลาดทำให้เสียหายถึงพระราชวงศ์ก็จะถูกประหารรับผิดชอบเป็นส่วนตัวไป
อีกลักษณะหนึ่งที่ราชสำนักไทยเอื้อมมือไปล้วงหาผลประโยชน์ตรงๆจากงบประมาณแผ่นดินในการจัดซื้อจัดจ้างในหลายกระทรวงโดยผ่านคนจัดการมานานแล้วและที่ยืนยันได้เพราะเกิดการทุจริตขนาดใหญ่อย่างเอิกเกริกที่สังคมรับรู้แต่ไม่อาจทำอะไรได้กับคนที่เป็นตัวแทนไปหาผลประโยชน์มาถวายคือโครงการประมูลงานสร้างโรงพัก964แห่งโดยผ่านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และการซื้อเครื่องบินกริฟฟินจากสวีเดนฝูงใหญ่ที่แพงเป็นกรณีพิเศษอย่างหาเหตุผลไม่ได้โดยเปรียบเทียบกับการซื้อของประเทศโรมาเนียโดยผ่านพลอากาศเอกชลิต พุกผาสุข ผู้บัญชาการทหารอากาศในขณะนั้นและผลลงเอยด้วยพลอากาศเอกชลิตได้รับโปรดเกล้าแต่งตั้งเป็นองคมนตรี และนายสุเทพทำอะไรก็ไม่ผิดแม้แต่สั่งฆ่าประชาชนและก่อจราจลปิดกรุงเทพ
เมื่อพระองค์เป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ติดต่อกันหลายปีด้วยการทำธุรกิจขูดรีดแบบโบราณและแบบสมัยใหม่ โดยเก็บรวบรวมผลประโยชน์อย่างไม่พอเพียงรวมทั้งลูกหลานของตนก็แสวงหาผลประโยชน์ในลักษณะเช่นนี้แล้ว ทำไมจึงต้องไปสั่งสอนคนทั้งประเทศให้พอเพียง?
คำตอบที่ง่ายที่สุดและสั้นที่สุดคือเพื่อสร้างภาพลักษณ์หลอกลวงประชาชน ว่าตนเองเป็นผู้มีคุณธรรมประหนึ่งนักบวชที่หลุดพ้นจากวัตรสงสารในโลกนี้ เหมือนในเทพนิยายทางศาสนาแล้ว,และกดให้ประชาชนโง่
โดยให้มีความคิดอยู่กับการหาอยู่หากินไปวันๆไม่ต้องมองการพัฒนาของโลกสมัยใหม่ เพราะพระองค์ทรงทราบดีว่าถ้าเปิดทางให้ประชาชนทุกคนโงหัวขึ้นมา มองไปข้างหน้าสู่การทำธุรกิจการค้าและเทคโนโลยีสมัยใหม่ทุกคนจะตาสว่างและเห็นความไม่เป็นธรรม ของระบบและความไม่เสมอภาค
ในโอกาสที่รัฐต้องให้กับประชาชนผู้เสียภาษีอย่างเท่าเทียม ซึ่งจะเป็นอันตรายกับระบอบราชาธิปไตย
ที่พระองค์แอบซ่อนอำนาจเก็บกำผลประโยชน์ส่วนตัวมายาวนาน,และนี้คือต้นเหตุแห่งความยากจนและความหล้าหลังของการพัฒนาประเทศที่ไม่อาจจะแข่งขันกับนานาประเทศได้
"ถ้าหากนักวิชาการท่านใดจะโจมตีนักการเมืองในรัฐบาลใดว่าเป็นกลุ่มทุนสามานย์ก็ขอให้พิจารณาการลงทุนและการขยายทุนและการทุจริตอย่างเปิดเผยของกษัตริย์ไทยประกอบด้วยเพื่อจะได้ชี้เป้าหมายความจริงได้ถูกต้อง...เพียงแต่ท่านจะกล้ามองและหาเหตุผลกับความเป็นจริงนี้หรือไม่"
ที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นนี้เป็นเพียงรูปธรรมส่วนหนึ่งที่เป็นที่มาของกษัตริย์ที่รวยที่สุดในโลกแต่ประชาชนกลับยากจนติดอันดับโลก, แต่ไม่น่าเชื่อว่าราชสำนักไทยและทหารพระราชาจะมีจิตใจโหดร้ายที่ไม่ยอมแม้แต่จะแบ่งเศษเงินงบประมาณให้แก่ประชาชน ในรูปของนโยบายรัฐสวัสดิการเพื่อดูแลคนจน ดังจะเห็นได้ว่าที่ผ่านมากษัตริย์และทหารพระราชาได้โจมตีนโยบายรัฐสวัสดิการ
ที่เริ่มต้นในสมัยทักษิณเป็นนายกฯว่าเป็นนโยบายประชานิยมบ้างหรือระบอบทักษิณบ้างและเป็นหนึ่งในข้ออ้างของการล้มรัฐบาลทักษิณตั้งแต่ปี2549และทุกรัฐบาลจากนั้นจนถึงรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ในวันนี้
------------------------------
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar