นำเสนอต่อมหาชนโดย จอห์น ลี
ตาสว่างที่ 2. เพราะทหารเป็นของพระราชาประชาธิปไตยไทยจึงไม่มี
นับตั้งแต่กษัตริย์ภูมิพลแสดงตัวอย่างเปิดเผยในการทำรัฐประหารเมื่อเมื่อปี2500 โดยจับมือกับจอมพลสฤษธิ์
ธนะรัฐโค่นล้มรัฐบาลจอมพลป.พิบูลย์สงคราม ซึ่งเป็นรัฐบาลสุดท้ายเชื้อสายของคณะราษฎรที่ภูมิพลเกลียดชัง
เพราะนอกจากจอมพลป.จะเป็นกำลังสำคัญของคณะราษฎรโค่นล้มอำนาจราชวงศ์จักรีในการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ24มิถุนายน2475และจับเชื้อพระวงศ์เข้าคุกในการปราบกบฏพระองค์เจ้าบวรเดชรวมตลอดถึงประเด็นสำคัญที่ภูมิพลหวาดกลัวที่สุดคือรัฐบาลจอมพลป.พิบูลย์สงคราม
ในขณะนั้นกำลังเตรียมการจะรื้อฟื้นคดีที่ภูมิพลเป็นผู้สังหารรัชกาลที่8ขึ้นพิจารณาเพราะรู้ว่ากษัตริย์ภูมิพลกำลังจะเล่นไม่ซื่อกับคณะรัฐบาลของเขา(ความเคียดแค้นนี้แสดงออกชัดเจนคือทุกคนของคณะราษฎรที่ลี้ภัยไปต่างประเทศจะกลับแผ่นดินไทยได้เพียงกระดูกเท่านั้น)
ด้วยเหตุนี้กษัตริย์ภูมิพลจึงแสดงตัวชัดเจนในการการประกาศให้ประชาชนสนับสนุนการยึดอำนาจของจอมพลสฤษธิ์อย่างเปิดเผย เป็นเอกสารโดยไม่มีผู้ลงนามสนองพระบรมราชโองการ
ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฏหมายและไม่ชอบด้วยประเพณีการปกครอง ที่ต้องการปกป้องไม่ให้กษัตริย์ต้องมีความผิดตามหลักปรัชญาที่ว่า
"The King can do nowrong"
และนับแต่นั้นหลักการของคณะราษฎรที่ให้ทหารเป็นของประชาชนก็เปลี่ยนเป็น"ทหารเป็นของพระราชา"
และนับแต่นั้นกษัตริย์ภูมิพลก็ใช้ทหารกระทำการรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลต่างๆไม่หยุดหย่อนไม่ว่ารัฐบาลนั้นจะมาจากการเลือกตั้งหรือมาจากการรัฐประหารที่ตนสนับสนุนเองก็ตาม หากตนรู้สึกระแวงว่ารัฐบาลนั้นจะมีความมั่นคง ซึ่งจะทำให้การเผด็จอำนาจของระบอบกษัตริย์เสื่อมคลายได้ เช่นรัฐบาลพลเอกชาติชาย
ชุนหะวัณ, รัฐบาลพตท.ทักษิณ ชิณวัตร
โดยเฉพาะรัฐบาลของพลเอกสุจินดา
คราประยูร ที่กษัตริย์ภูมิพลพึ่งลงนามอนุญาติให้ทำรัฐประหารล้มรัฐบาลพลเอกชาติชายได้ เพียงแต่เกิดความระแวงว่าพลเอกสุจินดาและนายทหารรุ่น5 มีความสามัคคีเหนียวแน่นกำลังจะวางฐานอำนาจเข้มแข็งและเป็นเสี้ยนหนามของตนในอนาคตเป็นต้น
โดยไม่สนใจวิธีการว่าการล้มนายกรัฐมนตรีที่ตัวเองลงนามอนุญาติให้ไปนั้นจะเป็นไปตามครรลองแห่งกฎหมายหรือไม่ รวมทั้งใช้วิธีการที่เลวร้ายด้วยการยุให้กลุ่มการเมืองที่ขัดแย้งกันตามภาวะการธรรมชาติของสังคม ก่อม็อบปะทะกันเพื่อให้เกิดจลาจล แล้วก็ตามมาด้วยรัฐประหารซ้อนหรือเข้ามาเผด็จอำนาจด้วยตนเอง เช่นยุให้ทหารรุ่น7ที่นำโดยพลตรีจำลอง
ศรีเมือง และพลเอกพัลลภ
ปิ่นมณี ที่ขัดแย้งกับทหารรุ่น5ที่นำโดยพลเอกสุจินดา จนกลายเป็นจลาจลในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬปี2535และเมื่อกลุ่มรุ่น7เพลี่ยงพล้ำ
กษัตริย์ภูมิพลก็แสดงตนเป็นพ่อพระลงมาห้ามทัพ แล้วก็บีบให้พลเอกสุจินดาลาออกจากนายกฯ แล้วก็แต่งตั้งคนของตนคือนายอานันท์ปันยารชุณขึ้นเป็นนายกฯตามอำเภอใจ ทั้งๆที่ในขณะนั้นมีสภาผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนและพลตรีจำลองลูกสมุนของภูมิพลที่ก่อจลาจล โดยชูประเด็นการต่อสู้ว่า"ประชาชนต้องการนายกฯที่มาจากการเลือกตั้ง"จนผู้คนต้องล้มตาย
จากการต่อสู้เรียกร้องและนี้คือตัวอย่างหนึ่งของบันทึกประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยอัปยศว่า"นายกฯพ่อสายบัวแต่งตัวรอเก้อ" เพราะรถที่อัญเชิญพระบรมราชโองการโปรดเกล้านายกฯเลยบ้านว่าที่นายกฯคือพลอากาศเอกสมบุญ
ระหงษ์ หัวหน้าพรรคที่มีเสียงข้างมากในสภาและมาจากการเลือกตั้ง โดยรถเลยไปจอดที่บ้านนายอานันท์ทำให้นายอานันท์ได้เป็นนายกฯรอบที่สองและเป็นต้นแบบของผู้ที่ไม่ชอบประชาธิปไตย แต่ก็เป็นนายกฯได้สบายๆหากทำตัวเป็นที่โปรดปรานของกษัตริย์ภูมิพล, จนกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ใครอยากจะได้เป็นนายกฯจากการเลือกตั้ง โดยให้ความสำคัญกับเสียงประชาชนถือเป็นความโง่
ลายเซนต์ของกษัตริย์ภูมิพลที่ลงนามในฐานะประมุขแห่งรัฐ
โดยหลักการมีความสำคัญอย่างยิ่ง แต่ในความเป็นจริงมีความสำคัญน้อยกว่าอารมณ์ที่ผันแปรขึ้นๆลงๆของกษัตริย์ภูมิพล ซึ่งกระทำตามอำเภอใจตั้งแต่ปี2500เป็นต้นมา
เพราะกษัตริย์ภูมิพลเป็นผู้ถือปืนเองในนามว่า"ทหารเป็นของพระราชา"และในทางกฎหมายภูมิพลก็เป็นผู้เลือกและลงนามแต่งตั้งผู้บัญชาการเหล่าทัพสูงสุดเอง เพียงแต่มีความฉลาดคือใช้เครือข่ายสั่งการผ่านองคมนตรีและบุคคลที่ตนแสดงให้สังคมเห็นว่าเป็นคนที่ไว้วางพระราชหฤทัย
ดังเช่นใช้ให้พลเอกเปรม
ติณสูลานนท์
เป็นตัวแสดงในการผ่านอำนาจเป็นต้นและหากผู้ใดฝ่าฝืนพระราชประสงค์ ผู้นั้นก็จะได้รับอันตรายแม้จะเป็นนายกฯที่ประชาชนชื่นชมเช่นพตท.ทักษิณ
ชินวัตร
หรือผู้ที่กุมอาวุธมั่นคงในตำแหน่งทางการทหารเช่นพลเอกสุจินดาก็ไม่อาจจะต้านทานได้เป็นต้น
การบริหารอำนาจภายใต้หลักการณ์ทหารเป็นของพระราชาทั้งที่กินเงินเดือนจากภาษีของประชาชน โดยมีการแสดงอำนาจที่ไร้หลักเกณฑ์แห่งกฎหมายให้เห็นอยู่เสมอด้วยเช่นสั่งให้ทหารทำการล้มรัฐบาลและทำให้หายตัวลึกลับของบางคน
รวมตลอดถึงการสังหารบุคคล โดยทหารทั้งเปิดเผยและไม่เปิดเผยกลางเมืองเช่นการสังหารนายสนธิ
ลิ้มทองกุล
และการฆ่าประชาชนอย่างโหดร้าย ด้วยปืนสไนเปอร์ในเหตุการณ์"สังหารโหดราชประสงค์"ซึ่งใครๆก็รู้ว่าเป็นฝีมือทหาร แต่ผู้เกี่ยวข้องและผู้กระทำการชั่วช้าก็ไม่ถูกลงโทษตามกฎหมาย แต่ยังกลับได้ดีอีกด้วย,
ด้วยเหตุเช่นนี้ทำให้ราชอาณาจักรไทยกลายเป็นราชอาณาจักรแห่งความกลัวที่สื่อมวลชน,ปัญญาชนและประชาชนทั่วไปต่างเอาตัวรอดโดยเชื่อในปรัชญาร่วมกันว่า"รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี".....
ไทยจึงกลายเป็นรัฐล้มเหลวจากการกระทำของกษัตริย์ไทยที่โกหกประชาชนมายาวนานว่า"เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม"
ทหารของพระราชาจึงกลายเป็นฐานอำนาจของระบอบราชาธิปไตยใหม่และกลายเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตยที่ต่อท้ายด้วยคำว่า"อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข"
ดังนั้นการสร้างประชาธิปไตยของไทยจึงจำเป็นต้องถอนอำนาจทหารออกจากพระราชาให้ทหารเป็นของประชาชนซึ่งตามวิถีทางปกติในทางปฏิบัติไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar