tisdag 28 juli 2020

Update : เพราะทหารเป็นของพระราชาประชาธิปไตยไทยจึงไม่มี

นำเสนอต่อมหาชนโดย จอห์น ลี

ตาสว่างที่ 2. เพราะทหารเป็นของพระราชาประชาธิปไตยไทยจึงไม่มี





นับตั้งแต่กษัตริย์ภูมิพลแสดงตัวอย่างเปิดเผยในการทำรัฐประหารเมื่อเมื่อปี2500  โดยจับมือกับจอมพลสฤษธิ์ ธนะรัฐโค่นล้มรัฐบาลจอมพลป.พิบูลย์สงคราม  ซึ่งเป็นรัฐบาลสุดท้ายเชื้อสายของคณะราษฎรที่ภูมิพลเกลียดชัง   
เพราะนอกจากจอมพลป.จะเป็นกำลังสำคัญของคณะราษฎรโค่นล้มอำนาจราชวงศ์จักรีในการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ24มิถุนายน2475และจับเชื้อพระวงศ์เข้าคุกในการปราบกบฏพระองค์เจ้าบวรเดชรวมตลอดถึงประเด็นสำคัญที่ภูมิพลหวาดกลัวที่สุดคือรัฐบาลจอมพลป.พิบูลย์สงคราม  
ในขณะนั้นกำลังเตรียมการจะรื้อฟื้นคดีที่ภูมิพลเป็นผู้สังหารรัชกาลที่8ขึ้นพิจารณาเพราะรู้ว่ากษัตริย์ภูมิพลกำลังจะเล่นไม่ซื่อกับคณะรัฐบาลของเขา(ความเคียดแค้นนี้แสดงออกชัดเจนคือทุกคนของคณะราษฎรที่ลี้ภัยไปต่างประเทศจะกลับแผ่นดินไทยได้เพียงกระดูกเท่านั้น)

ด้วยเหตุนี้กษัตริย์ภูมิพลจึงแสดงตัวชัดเจนในการการประกาศให้ประชาชนสนับสนุนการยึดอำนาจของจอมพลสฤษธิ์อย่างเปิดเผย   เป็นเอกสารโดยไม่มีผู้ลงนามสนองพระบรมราชโองการ   
ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฏหมายและไม่ชอบด้วยประเพณีการปกครอง  ที่ต้องการปกป้องไม่ให้กษัตริย์ต้องมีความผิดตามหลักปรัชญาที่ว่า "The King can do nowrong" 
และนับแต่นั้นหลักการของคณะราษฎรที่ให้ทหารเป็นของประชาชนก็เปลี่ยนเป็น"ทหารเป็นของพระราชา"
และนับแต่นั้นกษัตริย์ภูมิพลก็ใช้ทหารกระทำการรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลต่างๆไม่หยุดหย่อนไม่ว่ารัฐบาลนั้นจะมาจากการเลือกตั้งหรือมาจากการรัฐประหารที่ตนสนับสนุนเองก็ตาม  หากตนรู้สึกระแวงว่ารัฐบาลนั้นจะมีความมั่นคง  ซึ่งจะทำให้การเผด็จอำนาจของระบอบกษัตริย์เสื่อมคลายได้   เช่นรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุนหะวัณ, รัฐบาลพตท.ทักษิณ ชิณวัตร
โดยเฉพาะรัฐบาลของพลเอกสุจินดา คราประยูร   ที่กษัตริย์ภูมิพลพึ่งลงนามอนุญาติให้ทำรัฐประหารล้มรัฐบาลพลเอกชาติชายได้   เพียงแต่เกิดความระแวงว่าพลเอกสุจินดาและนายทหารรุ่น5   มีความสามัคคีเหนียวแน่นกำลังจะวางฐานอำนาจเข้มแข็งและเป็นเสี้ยนหนามของตนในอนาคตเป็นต้น   
โดยไม่สนใจวิธีการว่าการล้มนายกรัฐมนตรีที่ตัวเองลงนามอนุญาติให้ไปนั้นจะเป็นไปตามครรลองแห่งกฎหมายหรือไม่   รวมทั้งใช้วิธีการที่เลวร้ายด้วยการยุให้กลุ่มการเมืองที่ขัดแย้งกันตามภาวะการธรรมชาติของสังคม   ก่อม็อบปะทะกันเพื่อให้เกิดจลาจล   แล้วก็ตามมาด้วยรัฐประหารซ้อนหรือเข้ามาเผด็จอำนาจด้วยตนเอง   เช่นยุให้ทหารรุ่น7ที่นำโดยพลตรีจำลอง ศรีเมือง และพลเอกพัลลภ ปิ่นมณี   ที่ขัดแย้งกับทหารรุ่น5ที่นำโดยพลเอกสุจินดา   จนกลายเป็นจลาจลในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬปี2535และเมื่อกลุ่มรุ่น7เพลี่ยงพล้ำ  

กษัตริย์ภูมิพลก็แสดงตนเป็นพ่อพระลงมาห้ามทัพ   แล้วก็บีบให้พลเอกสุจินดาลาออกจากนายกฯ  แล้วก็แต่งตั้งคนของตนคือนายอานันท์ปันยารชุณขึ้นเป็นนายกฯตามอำเภอใจ   ทั้งๆที่ในขณะนั้นมีสภาผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนและพลตรีจำลองลูกสมุนของภูมิพลที่ก่อจลาจล  โดยชูประเด็นการต่อสู้ว่า"ประชาชนต้องการนายกฯที่มาจากการเลือกตั้ง"จนผู้คนต้องล้มตาย

จากการต่อสู้เรียกร้องและนี้คือตัวอย่างหนึ่งของบันทึกประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยอัปยศว่า"นายกฯพ่อสายบัวแต่งตัวรอเก้อ"  เพราะรถที่อัญเชิญพระบรมราชโองการโปรดเกล้านายกฯเลยบ้านว่าที่นายกฯคือพลอากาศเอกสมบุญ ระหงษ์  หัวหน้าพรรคที่มีเสียงข้างมากในสภาและมาจากการเลือกตั้ง  โดยรถเลยไปจอดที่บ้านนายอานันท์ทำให้นายอานันท์ได้เป็นนายกฯรอบที่สองและเป็นต้นแบบของผู้ที่ไม่ชอบประชาธิปไตย  แต่ก็เป็นนายกฯได้สบายๆหากทำตัวเป็นที่โปรดปรานของกษัตริย์ภูมิพล,  จนกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ใครอยากจะได้เป็นนายกฯจากการเลือกตั้ง  โดยให้ความสำคัญกับเสียงประชาชนถือเป็นความโง่
ลายเซนต์ของกษัตริย์ภูมิพลที่ลงนามในฐานะประมุขแห่งรัฐ   

โดยหลักการมีความสำคัญอย่างยิ่ง  แต่ในความเป็นจริงมีความสำคัญน้อยกว่าอารมณ์ที่ผันแปรขึ้นๆลงๆของกษัตริย์ภูมิพล  ซึ่งกระทำตามอำเภอใจตั้งแต่ปี2500เป็นต้นมา
เพราะกษัตริย์ภูมิพลเป็นผู้ถือปืนเองในนามว่า"ทหารเป็นของพระราชา"และในทางกฎหมายภูมิพลก็เป็นผู้เลือกและลงนามแต่งตั้งผู้บัญชาการเหล่าทัพสูงสุดเอง  เพียงแต่มีความฉลาดคือใช้เครือข่ายสั่งการผ่านองคมนตรีและบุคคลที่ตนแสดงให้สังคมเห็นว่าเป็นคนที่ไว้วางพระราชหฤทัย
ดังเช่นใช้ให้พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นตัวแสดงในการผ่านอำนาจเป็นต้นและหากผู้ใดฝ่าฝืนพระราชประสงค์  ผู้นั้นก็จะได้รับอันตรายแม้จะเป็นนายกฯที่ประชาชนชื่นชมเช่นพตท.ทักษิณ ชินวัตร หรือผู้ที่กุมอาวุธมั่นคงในตำแหน่งทางการทหารเช่นพลเอกสุจินดาก็ไม่อาจจะต้านทานได้เป็นต้น
การบริหารอำนาจภายใต้หลักการณ์ทหารเป็นของพระราชาทั้งที่กินเงินเดือนจากภาษีของประชาชน  โดยมีการแสดงอำนาจที่ไร้หลักเกณฑ์แห่งกฎหมายให้เห็นอยู่เสมอด้วยเช่นสั่งให้ทหารทำการล้มรัฐบาลและทำให้หายตัวลึกลับของบางคน   

รวมตลอดถึงการสังหารบุคคล โดยทหารทั้งเปิดเผยและไม่เปิดเผยกลางเมืองเช่นการสังหารนายสนธิ ลิ้มทองกุล และการฆ่าประชาชนอย่างโหดร้าย   ด้วยปืนสไนเปอร์ในเหตุการณ์"สังหารโหดราชประสงค์"ซึ่งใครๆก็รู้ว่าเป็นฝีมือทหาร   แต่ผู้เกี่ยวข้องและผู้กระทำการชั่วช้าก็ไม่ถูกลงโทษตามกฎหมาย   แต่ยังกลับได้ดีอีกด้วย, 
ด้วยเหตุเช่นนี้ทำให้ราชอาณาจักรไทยกลายเป็นราชอาณาจักรแห่งความกลัวที่สื่อมวลชน,ปัญญาชนและประชาชนทั่วไปต่างเอาตัวรอดโดยเชื่อในปรัชญาร่วมกันว่า"รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี".....
ไทยจึงกลายเป็นรัฐล้มเหลวจากการกระทำของกษัตริย์ไทยที่โกหกประชาชนมายาวนานว่า"เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม"
ทหารของพระราชาจึงกลายเป็นฐานอำนาจของระบอบราชาธิปไตยใหม่และกลายเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตยที่ต่อท้ายด้วยคำว่า"อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข"

ดังนั้นการสร้างประชาธิปไตยของไทยจึงจำเป็นต้องถอนอำนาจทหารออกจากพระราชาให้ทหารเป็นของประชาชนซึ่งตามวิถีทางปกติในทางปฏิบัติไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย


Inga kommentarer:

Skicka en kommentar