บทวิเคราะห์ — กษัตริย์วชิราลงกรณ์รวยแค่ไหน
ผู้ที่ครองอันดับ 1 คือกษัตริย์ภูมิพล ที่ Forbes คาดการณ์ว่ามีทรัพย์สมบัติมูลค่า 35,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ก่อนปี พ.ศ.2552 มูลค่าทรัพย์สินของภูมิพลลดลงมาอยู่ที่ 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐเพราะพิษวิกฤติเศรษฐกิจ แต่ก็ยังครองตำแหน่งพระราชาที่รวยที่สุดในโลกอยู่ดี forbes.com/2009/06/17/mon 3/47
การคาดการณ์ของ Forbes ทำให้ Guinness Book บันทึกให้รัชกาลที่ 9 เป็นพระราชาที่รวยที่สุดในโลกเป็นเวลาติดกันหลายปี 4/47
นี่เป็นเรื่องที่น่าอับอายขายหน้าประชาโลกของเจ้าไทย เพราะฝ่ายโฆษณาชวนเชื่อปั่นนิยายตลอดมาว่าราชวงศ์ไทยทรงงานหนักเพื่อพัฒนาชาติบ้านเมืองและบริจาคเงินให้คนจนผู้ยากไร้มากมาย หากสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องจริง ภูมิพลจะรวยล้นฟ้าขนาดนี้ได้อย่างไร 5/47
นิยายขายฝันนี้เริ่มฟังดูน่าสงสัยเมื่อคนไทยได้รับเสพย์ข่าวว่าพระราชาของพวกเขาเป็นคนประหยัดมัธยัสถ์ ขนาดว่ากว่าจะยอมทิ้งหลอดยาสีฟัน ก็ต้องตะบี้ตะบันรีดหลอดเอาหยอดออกจนหยาดสุดท้าย และไม่ยอมควักเงินซื้อดินสอแท่งใหม่จนกว่าแท่งที่ใช้อยู่จะกุดจนเขียนไม่ได้ 7/47
การที่ Guinness Book ประกาศชื่อเขาว่าเป็นพระราชาที่รวยที่สุดในโลกจึงเป็นการฉีกหน้ากากนักบุญที่มีภาพลักษณ์ประหยัดอดออมแบบไม่มีชิ้นดี เพื่อรักษาหน้า สมาชิกราชวงศ์คนอื่นๆต้องพยายามสร้างภาพว่าพวกเขาไม่ใช่คนร่ำรวยอะไร 9/47
ฝ่ายวังออกมาปัดว่าทรัพย์สินส่วนพระองค์นั้นไม่ได้มีมากมายและส่วนใหญ่อยู่ในความดูแลของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นทรัพย์สมบัติของชาติและประชาชนทุกคน ไม่ใช่ของพระราชาเพียงผู้เดียว ซึ่งไม่เป็นความจริง 10/47
หลังจากการปฏิวัติที่ยุติระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช ในปี พ.ศ. 2475 ผู้ปกครองใหม่ของสยามได้เข้าควบคุมทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ทั้งหมด 11/47
กรมพระคลังข้างที่ ถูกลดบทบาทมาเป็น "สำนักงานพระคลังข้างที่" - ซึ่งต่อมาในปัจจุบันคือ สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ – และได้ตัดงบรายจ่ายประจำปีของราชวงศ์ ซึ่งนำไปสู่การสละราชบัลลังก์ของรัชกาลที่ 7 12/47
ในปี พ.ศ. 2490 ฝ่ายทหารร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ได้รวบอำนาจก่อรัฐประหาร ทำให้ผู้นำฝ่ายประชาธิปไตย นายปรีดี พนมยงค์ ต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ ในปี พ.ศ. 2491 รัฐบาลใหม่ที่เป็นฝ่ายนิยมเจ้าได้แก้กฎหมายให้คืนอำนาจการควบคุมสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์กลับไปอยู่ในมือของกษัตริย์ 13/47
แม้ว่าฝ่ายวังจะพยายามเล่นละครตบตาประชาราษฎร์มาโดยตลอดว่าสำนักงานทรัพย์สินฯ เป็นของชาติ แต่ความจริงก็ปรากฏหลังจากภูมิพลสวรรคต bbc.co.uk/news/world-asi
พ.ศ. 2561 วชิราลงกรณ์ ออกมาประกาศอย่างอุกอาจว่าเขาจะฮุบรวบเอาทรัพย์สินทั้งหลายทั้งปวงของ สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ให้ถ่ายมาขึ้นอยู่ใต้อำนาจการครอบครองโดยตรงของเขาเอง ซึ่งรัฐบาลเผด็จการก็เห็นดีเห็นงามด้วย 15/47
มูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดที่วชิราลงกรณ์ฮุบไปจากสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์เป็นสิ่งที่คาดการณ์ได้ยากเพราะทรัพย์สินทั้งหมดแบ่งได้หลักๆ เป็น 4 ส่วน โดย 2 ส่วนแรกนั้นมีความชัดเจน แต่ในขณะที่อีก 2 ส่วนเราทำได้เพียงคาดการณ์คร่าวๆ เริ่มจากส่วนที่ชัดเจนก่อน: 16/47
รัพย์สินหลักของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ที่ในปัจจุบันถูกวชิราลงกรณ์ฮุบไปแล้วมีอยู่ 3 อย่างคือ — หุ้นจำนวนมหาศาลของธนาคารไทยพานิชย์ หุ้นปูนซิเมนต์ไทยที่มีมูลค่ามากกว่าหุ้น ธ. ไทยพานิชย์ เสียอีก และท้ายสุดคือ อสังหาริมทรัพย์จำนวนมหาศาลในประเทศไทย 17/47
มูลค่าหุ้นของ ธ.ไทยพานิชย์และปูนซิเมนต์ไทยที่วชิราลงกรณ์ถืออยู่คิดคำนวณออกมาได้ง่ายมากเพราะมีข้อมูลการซื้อขายอย่างเปิดเผยอยู่ในตลาดหุ้น 18/47
วชิราลงกรณ์ถือหุ้น ธ.ไทยพานิชย์ อยู่ 23.53 เปอร์เซ็นต์ ปัจจุบันราคาหุ้นละ 87.75 บาท รวมมูลค่าทั้งหมด 70,980 ล้านบาท หรือ 2,340 ล้านเหรียญสหรัฐ scb.co.th/en/investor-re 19/47
ถือหุ้นปูนซิเมนต์ไทย 33.64 เปอร์เซ็นต์ ปัจจุบันราคาหุ้นละ 368 บาท รวมมูลค่าทั้งหมด 149,760 ล้านบาท หรือ 4,940 ล้านเหรียญสหรัฐ scc.listedcompany.com/shareholder_st มูลค่าหุ้นรวมทั้งหมดจากทั้ง ธ.ไทยพานิชย์และปูนซิเมนต์ไทยเป็นจำนวน 7,280 ล้านเหรียญสหรัฐ 20/47
หากรวมกับมูลค่าของบริษัทเทเวศประกันภัย ซึ่งไม่สามารถทราบตัวเลขทั้งหมดได้เนื่องจากกษัตริย์ครอบครองทั้งหมดเพียงผู้เดียว วชิราลงกรณ์น่าจะมีทรัพย์สินในรูปของหุ้นอย่างต่ำประมาณ 7,500 ล้านเหรียญสหรัฐ 21/47
ทรัพย์สินของสำนักทรัพย์สินพระมหากษัตริย์อีกส่วน ซึ่งเป็นส่วนที่ใหญ่ที่สุดและไม่สามารถประเมินได้ชัดเจนคือ อสังหาริมทรัพย์ 22/47
สถาบันกษัตริย์เป็นเจ้าของที่ดินจำนวน 41,000 ไร่ ซึ่งในจำนวนนี้ 8,835 ไร่อยู่ในกรุงเทพฯ และประมาณ 33,000 ไร่อยู่นอกเมืองหลวง กระจายอยู่แถบหัวเมืองใหญ่ในต่างจังหวัด แต่ทว่าการประเมินราคาทำได้ยากเป็นอย่างยิ่ง สถาบันกษัตริย์มิได้มีความโปร่งใสให้ข้อมูลว่าครอบครองที่ดินที่ไหนบ้าง 23/47
พอพันธ์ อุยยานนท์ ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับสำนักทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ได้ประเมินมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ ของสำนักทรัพย์สินฯ ว่ารวมได้ประมาณ 1.037 ล้านล้านบาทในปี พ.ศ. 2557 และคาดการณ์มูลค่า iseas.edu.sg/images/pdf/Tre 24/47
และคาดการณ์มูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดของสำนักทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ในปีนั้นว่ามีประมาณ 43.8 ล้านเหรียญสหรัฐ 25/47
ทรัพย์สินส่วนสุดท้ายของสำนักทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ที่กลายเป็นของวชิราลงกรณ์คือผลกำไรประจำปีทั้งหมด หุ้นบรรษัทจะให้ผลกำไรเป็นเงินปันผลประจำปีและอสังหาริมทรัพย์จะสร้างรายได้จากค่าเช่าที่ 27/47
ธ.ไทยพานิชย์จ่ายเงินปันผล 6.25 บาทต่อหุ้นในปี พ.ศ. 2562 ทำให้วชิราลงกรณ์ได้ปันผล 4,990 ล้านบาท หรือ 165 ล้านเหรียญสหรัฐ scb.co.th/en/investor-re ปูนซีเมนต์ไทยจ่ายเงินปันผล 14 บาทต่อหุ้น ทำให้วชิราลงกรณ์ได้ปันผล 5,650 ล้านบาท หรือ 187 ล้านเหรียญสหรัฐ scc.listedcompany.com/financial_over 28/47
ส่วนรายได้จากค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นประเมินได้ยาก สำนักทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ดูแลสัญญาเช่า 40,000 ราย รวม 17,000 รายในกรุงเทพฯ 29/47
ผู้เช่ามีตั้งแต่สำนักงานราชการ ที่ดินและอาคารย่านธุรกิจสำคัญซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงแรมห้าดาวและห้างสรรพสินค้ายักษ์ใหญ่ ไปจนถึงชุมชนแออัดและอาคารเก่าแก่ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 30/47
ก่อนหน้านี้สำนักทรัพย์สินพระมหากษัตริย์เก็บค่าเช่าในราคาถูกมาโดยตลอด แต่ไม่กี่ปีที่ผ่านมามีการขึ้นค่าเช่าให้เท่ากับราคาตลาด หากคาดการณ์คร่าวๆ ในช่วงหลายปีมานี้รายได้ที่ได้จากค่าเช่าที่น่าจะหลายล้านดอลลาร์ 31/47
งานวิจัยของพอพันธ์ระบุว่ารายได้ต่อปีของสำนักทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ระหว่างปี พ.ศ. 2552 และ 2554 อยู่ที่ระหว่าง 9,000 และ 11,000 ล้านบาท หรือ 296 ถึง 362 ล้านเหรียญสหรัฐ จนถึงปัจจุบันรายได้ต่อปีน่าจะอยู่ที่ประมาณระหว่าง 500 ล้าน และ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ 32/47
คำถามคือ จะเกิดอะไรขึ้นกับเงินเหล่านี้ เงินเหล่านี้ไม่น่าจะถูกนำไปเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ ของราชวงศ์เพราะพวกเขาได้เงินส่วนนี้จากภาษีของประชาชนอยู่แล้ว ในปีงบประมาณล่าสุดราชวงศ์ได้รับงบประมาณ 29,000 ล้านบาท หรือเกือบ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ 33/47
ด้วยจำนวนพลเมืองทั้งประเทศ แค่ 69 ล้านคน เมื่อหารกันแล้ว คนไทยแต่ละคนต้องเสียภาษีบำรุงบำเรอสถาบันฯ จำนวน 420 บาท หรือ 13.86 เหรียญสหรัฐ ต่อปี ในขณะที่ประชาชนแต่ละคนในสหราชอาณาจักรจ่ายเงินเลี้ยงราชวงศ์ของพวกเขาเพียง 1.23 เหรียญสหรัฐต่อปีเท่านั้น 34/47
เมื่อเทียบเฉพาะอัตราภาษีต่อหัวต่อปีของประชากร ก็มีเพียงประเทศเดียวในโลกที่งบใช้จ่ายของกษัตริย์สูงกว่าของไทยคือ ราชอาณาจักรสวาตีนี่ หรือที่เคยเป็นที่รู้จักกันในชื่อ สวาซีแลนด์ ซึ่งปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช โดย กษัตริย์ อึมสวาติ ที่สาม (Mswati III) 35/47
ดังนั้นถึงแม้ว่าวชิราลงกรณ์และครอบครัวจะใช้จ่ายเงินมากมาย เงินส่วนใหญ่นั้นมาจากภาษีประชาชน ซึ่งหมายความว่ารายได้มหาศาลที่มาจากสำนักทรัพย์สินพระมหากษัตริย์อาจจะถูกนำไปลงทุนต่อเพื่อเพิ่มพูนความมั่งคั่ง 36/47
หากประมาณแบบต่ำ รายได้ต่อปีประมาณ 250 ล้านเหรียญสหรัฐที่ได้มาช่วง 20 ปีที่ผ่านมา จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นมาอีก 5 พันล้านเหรียญ หากนำไปลงทุนอย่างเหมาะสม ในปัจจุบันมูลค่าจะเพิ่มขึ้นอีกอย่างต่ำ 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ 37/47
เมื่อคำนวนทรัพย์สมบัติทั้งหมดในสำนักทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ — ที่ดิน 49,000 - 66,000 ล้านเหรียญ หุ้นบรรษัท 7,500 ล้านเหรียญ และผลกำไรที่ได้ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมาประมาณ 10,000 ล้านเหรียญ เราก็น่าจะพอประมาณความมั่งคั่งของราชวงศ์ไทยได้ 38/47
แต่นี่ไม่ใช่ทั้งหมดของทรัพย์สินที่วชิราลงกรณ์มี นอกจากทรัพย์สินในสำนักทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ตระกูลมหิดลยังมีทรัพย์สินส่วนตัวอีกจำนวนมหาศาลที่เกิดขึ้นตอนที่ภูมิพลยังมีชีวิตอยู่ อภิมหาเศรษฐีจำนวนมากบริจาคเงินให้ราชวงศ์เพื่อได้รับการอุปถัมภ์ 40/47
เราไม่สามารถรู้แน่ชัดว่าทรัพย์สินส่วนตัวของภูมิพลมีจำนวนเท่าไร และที่ตกทอดมาถึงวชิราลงกรณ์มีจำนวนเท่าไร แต่คาดว่าน่าจะหลายพันล้านดอลลาร์ 41/47
กลุ่ม CP Group นำโดยเจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ ตระกูลเจียรวนนท์เป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดเป็นอันดับสองในประเทศไทยรองจากตระกูลมหิดล มีมูลค่าทรัพย์สินมากกว่า 35,000 ล้านเหรียญสหรัฐ 43/47
กลุ่ม ThaiBev นำโดยเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี รวยที่สุดเป็นอันดับ 3 มีมูลค่าทรัพย์สินมากกว่า 14,500 ล้านเหรียญสหรัฐ 44/47
เอมอร ศรีวัฒนประภา ภรรยาหม้ายของ เจ้าสัววิชัย ผู้ก่อตั้ง King Power ธุรกิจร้านขายสินค้าปลอดภาษีที่ได้รับสัมปทานผูกขาด รวยที่สุดเป็นอันดับ 4 มีมูลค่าทรัพย์สินมากกว่า 5,900 ล้านเหรียญสหรัฐ 45/47
นี่คือหน้าตาของวงจรคอรัปชั่นซึ่งได้รับผลประโยชน์และสิทธิพิเศษจากราชวงศ์ เพื่อแลกกับความมั่งคั่งที่อภิมหาเศรษฐีเหล่านี้จะให้กลับคืนมา 46/47
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมผู้ชุมนุมจึงจัดการประท้วงที่บริเวณหน้าสำนักงานใหญ่ธนาคารไทยพานิชย์
กษัตริย์ของพวกเขาเป็นหนึ่งในอัครมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลก
แต่ยังหวังให้คนไทยจ่ายภาษีหล่อเลี้ยงไลฟ์สไตล์สุดหรูหราในเยอรมนี
คนไทยส่วนใหญ่หมดความอดทนกับสิ่งเหล่าแล้ว 47/47
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar