กองทัพสมัยใหม่ของสยามนั้นกำเนิดขึ้นมาในรัชสมัยของพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมีภารกิจที่แท้จริงคือการสร้างรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์และรักษาความมั่นคงของราชบัลลังก์ ดังภารกิจของทหารประจำการที่เขียนไว้อย่างชัดเจนว่า “ทุกคนจะได้รับการฝึกอบรมให้มีความซื่อสัตย์กตัญญูต่อพระเจ้าแผ่นดิน เพราะถือว่าพระเจ้าแผ่นดินเป็นผู้ปกครองให้บรรดาทหารได้รับความร่มเย็นเป็นสุข เป็นผู้พระราชทานเงินเดือนและเบี้ยเลี้ยง เครื่องใช้สอยให้ทหาร ดังนั้นหน้าที่ของทหารจึงต้องพร้อมที่จะพลีชีพจนเลือดหยดสุดท้ายเพื่อเป็นประโยชน์และเกียรติยศแห่งสิ่งที่รักและนับถืออยู่เสมอทุกเมื่อ”
ขณะที่กองทัพของสยามไม่ต้องทำหน้าที่ป้องกันประเทศจากศัตรูภายนอกอย่างจริงจัง นอกจากรบกับ “ศัตรูภายใน” หน้าที่หลักของกองทัพในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์จึงได้แก่ การรักษาความมั่นคงภายในของกษัตริย์ และเป็นสัญลักษณ์ที่ใช้แสดงความทันสมัยอวดโลกภายนอก หรือเป็น “ทหารพระราชา” นั่นเอง
อย่างไรก็ดี ในเวลาไม่นานเชื้อมูลแห่งการเปลี่ยนแปลงก็บ่มเพาะขึ้นในกองทัพเสียเอง นั่นคือ นายทหารคณะ ร.ศ. 130 ซึ่งเตรียมการเปลี่ยนแปลงการปกครองให้ก้าวสู่ภาวะ “ศรีวิลัย” ซึ่ง “ราษฎรได้รับความอิศรภาพเสมอหน้ากัน ไม่มีใครที่จะมาเป็นเจ้าสำหรับกดคอกันเล่น” แม้ว่าจะล้มเหลว แต่อีก 20 ปีต่อมา นายทหารกลุ่มหนึ่งได้เข้าร่วมกับคณะราษฎรกระทำการยึดอำนาจจากกษัตริย์ และประกาศกลางพระนครว่า “ราษฎรทั้งหลายพึงรู้เถิดว่า ประเทศเรานี้เป็นของราษฎร ไม่ใช่ของกษัตริย์ตามที่เขาหลอกลวง”
ช่วงเวลา 15 ปีหลังการปฏิวัติสยาม 2475 ทหารได้เป็น “ผู้พิทักษ์รัฐธรรมนูญ” ปกป้องระบอบใหม่ของคณะราษฎรจากการโต้กลับของคณะเจ้า แต่ภารกิจดังกล่าวก็สิ้นสุดลงพร้อมกับการเมืองยุคคณะราษฎร เมื่อเกิดการรัฐประหารในปี 2490 ซึ่งเป็นการจับมือกันระหว่าง (เครือข่าย) สถาบันกษัตริย์กับทหารอีกกลุ่มหนึ่ง ฉีกรัฐธรรมนูญเป็นครั้งแรก
2 วันหลังรัฐประหาร หนังสือพิมพ์ เอกราช ได้พาดหัวข่าวว่า “ในหลวงรู้ปฏิวัติ 2 เดือนแล้ว” โดย พล.ท. กาจ กาจสงคราม ได้ให้สัมภาษณ์ว่า เขาส่งโทรเลขลับรายงานแผนการไปยังพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งขณะนั้นประทับอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ ล่วงหน้า 2 เดือนก่อนรัฐประหาร
การรัฐประหาร 2490 นำไปสู่การฟื้นฟูอำนาจทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของสถาบันกษัตริย์ ขณะเดียวกันก็เปิดทางให้ผู้นำกองทัพกลายเป็น “ขุนศึก” ซึ่งสามารถขึ้นมาเป็นผู้ปกครองและตัวแสดงที่มีฐานอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจเป็นของตนเองในเวลาต่อมา
ถึงยุคสงครามเย็น คอมมิวนิสต์กลายเป็นศัตรูหลักที่คุกคามความมั่นคงของชาติ ด้วยการสนับสนุนจากมหามิตรอเมริกัน อำนาจและบทบาททางการเมืองของทหารขึ้นสู่จุดสูงสุดภายใต้การนำของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ พร้อมๆ กับการสร้างความเข้มแข็งให้แก่สถาบันกษัตริย์ในฐานะหุ้นส่วนและแหล่งอ้างอิงความชอบธรรมของกองทัพ
ในระหว่างการทำสงครามต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ กองทัพและสถาบันกษัตริย์ยังได้ขยายบทบาทไปทำงาน “พัฒนา” ในฐานะเป็นยุทธวิธีสู้กับภัยคุกคามในชนบท และภายหลังได้หันมาใช้ “ประชาธิปไตย” เป็นยุทธวิธีในการสู้กับคอมมิวนิสต์ อันเป็นที่มาของนโยบาย 66/2523
หลังสงครามเย็นยุติลง ดูเหมือนภารกิจของกองทัพจะไม่มีความชัดเจน ขณะที่บทบาทและอำนาจทางการเมืองของตนก็ถูกลดทอนลงตามลำดับ แม้ผู้นำทหารจะก่อการรัฐประหารอีกในปี 2534 แต่ก็ต้องล่าถอยไปอย่างรวดเร็วเพื่อเปิดทางให้แก่กระบวนการพัฒนาประชาธิปไตย
แต่แล้ว เมื่อการเมืองในระบบการเลือกตั้งเข้มแข็งขึ้นจนท้าทายเครือข่ายอำนาจเก่าที่รวมศูนย์อยู่ที่สถาบันกษัตริย์ กองทัพจึงหวนคืนสู่เวทีการเมืองเต็มตัวอีกครั้งในฐานะ “ทหารของพระราชา” กระทั่งก่อการรัฐประหารในปี 2549 เพื่อรักษา “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” จนนำมาสู่ความขัดแย้งในสังคมไทยที่ยืดเยื้อและลงลึกถึงราก
ปัจจุบันแม้กองทัพจะได้มีบทบาทมากขึ้น แต่ก็ถูกท้าทายมากขึ้น รวมถึงสถาบันกษัตริย์ที่เป็นแหล่งอ้างอิงความชอบธรรมของกองทัพก็ถูกตั้งคำถามด้วยเช่นกัน
ท่ามกลางสภาวะแวดล้อมใหม่ทั้งภายในและภายนอกประเทศ ซึ่งเรียกร้องให้จัดวางบทบาทและตำแหน่งแห่งที่ของกองทัพเสียใหม่ด้วย โดยเฉพาะโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างทหารกับ (รัฐบาล) พลเรือน ดูเหมือนว่ากองทัพไทยจะยังคงยึดมั่นกับบทบาทการเป็น “ทหารพระราชา” อย่างไม่เปลี่ยนแปลง
ขณะที่สำนึกประชาธิปไตย สำนึกความเป็นพลเมืองของประชาชนขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ จนลงลึกถึงระดับรากหญ้าในขณะนี้ แต่กองทัพไทยที่เริ่มต้นจากการเป็น “ทหารพระราชา” จะยินดีที่จะเป็น “ทหารพระราชา” อยู่เช่นเดิม
สิ่งที่น่าตระหนักคือไม่เพียงแต่สำนึกทางการเมืองของกองทัพกลับย้อนไปสู่ยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พอใจอยู่กับการเป็น “ทหารของพระราชา” เท่านั้น แต่สถาบันกษัตริย์ในฐานะแหล่งอ้างอิงความชอบธรรม ก็อาจจะพอใจที่จะให้กองทัพดำรงสถานะเช่นนี้ตลอดไป ราวกับว่า 80 ปีของปฏิวัติสยาม ไม่เคยเกิดขึ้นในสังคมไทย
วารสารฟ้าเดียวกัน
ปีที่ 9 ฉบับที่ 3 : สัตว์สี่ขาของพระราชา
( ทเหี้ยเหล่ ผบทบ. ... ทาสที่ไม่ยอมปลดปล่อย สั่งสอนทหารให้จงรักภักดีต่อพระราชา ก็ให้ไปรับเงินเดือนจากพระราชาไม่ต้องมากินเงินเดือนจากภาษีประชาชน แม้แต่องค์ราชาเองยังต้องกินเงินจากภาษีของประชาชนปีละหลายหมื่นล้านรวมทั้งเงินบริจากต่างๆอีกมากมาย นอกจากนั้นยังปล้นทรัพยากรของชาติไปเป็นของตัวเองและครอบครัวเป็นจำนวนมหาศาล ขณะที่ตัวเองมีชีวิตอยู่อย่างหรูหลาฟุ่มเฟือยยังมีหน้ามาหลอกชาวไทยทั้งชาติอีกว่าให้มีชีวิตอยู่อย่างพอเพียง ขอถามว่า ทหารหาญทั้งหลายท่านจะเป็นทหารของประชาชนหรือจะเป็นทหารทาสของพระราชาโจรปล้นชาติ... )
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar