tisdag 2 juli 2013

จักรภพ เพ็ญแข เปรียบเทียบ "การเมืองไทย" กับ "การเมืองที่ตึงเครียดในอียิปต์".....


 ความเห็นเพิ่มเติม
จากบทความของคุณ จักรภพ เพ็ญแข ... บทความนี้เขียนได้ดีมากที่นักต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบเก่าสู่ระบอบใหม่ต้องอ่านและศึกษาให้เข้าใจ  เพราะนี่คือทฤษฎีหลักของการปฎิวัติ   การจะนำพามวลชนทำการปฎิวัติได้สำเร็จต้องมีทฎษฎีที่ถูกต้องในการชี้นำและต้องมีพรรคนำหรือขบวนการนำ  ต้องมีกองกำลังสำหรับปกป้องพลังของการปฎิวัติ   เมื่อได้อำนาจรัฐแล้วต้องทำลายกลไกของสังคมเก่า  เช่น ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ ศาล องค์กรทางการเมือง ที่เป็นเครื่องมือของระบอบเก่า   ต้องทำลายลงให้หมดแล้วสร้างเครือข่ายต่างๆในการบริหารสังคมขึ้นมาทดแทนใหม่   ถ้ายังไปอาศัยกลไกของสังคมเก่าเป็นเครื่องมือในการบริหารประเทศ   พวกกลไกเก่าเหล่านั้นคือตัวทำให้เกิดปัญหาตามมาหลังจากได้อำนาจรัฐแล้ว   เหมือนที่ประเทศอียิปต์เผชิญอยู่ในเวลานี้    เราควรศึกษาบทเรียนการเปลี่ยนแปลงสังคมจากระบอบเก่าสู่ระบอบใหม่ในสามประเทศ อินโดจีนที่เขาทำสำเร็จมาแล้วเป็นตัวอย่าง รวมถึงวิธีการต่อสู้ของประชาชนในประเทศอินโดจีน....

แสงตะวัน 
๓ ก.ค. ๒๕๕๖

จักรภพ เพ็ญแข เปรียบเทียบ "การเมืองไทย" กับ "การเมืองที่ตึงเครียดในอียิปต์"

3 กรกฎาคม 2556
โดย จักรภพ เพ็ญแข

อียิปต์ขณะนี้ตึงเครียดขึ้นทุกนาทีที่ผ่านไป ขบวนการต่อต้านรัฐบาล หรือ ทามารอด (Tamarod) ก็เดินหน้าปลุกใจผู้ประท้วงนับล้านทั่วประเทศให้ฮึกเหิมเต็มที่ และประกาศว่าพร้อมจะเดินขบวนไปสู่ทำเนียบประธานาธิบดีได้ทุกเมื่อ หากประธานาธิบดีโมฮัมหมัด มอร์ซีไม่ยอมลาออกจากตำแหน่งตามที่พวกเขาเรียกร้อง ฝ่ายประธานาธิบดีก็ยืนหยัดแข็งกร้าวไม่แพ่้กัน เพิ่งออกโทรทัศน์แห่งชาติไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ประกาศว่าเขาคือประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้ง ได้รับเสียงข้างมากจากผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง ทั่วประเทศ และจะรักษารัฐธรรมนูญของชาติเอาไว้ด้วย “ชีวิต” 

ส่วนกองทัพแห่งชาติของอียิปต์ที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงกลาโหมและผู้บัญชาการทหารสูงสุดคือนายพลอับเดล ฟัตตา อัล-ซีซีที่แทรกตัวเข้ามาระหว่างกลาง ก็เผยแผนการของฝ่ายทหารว่าจะกระทำการ ๓ อย่างหากแต่ละฝ่ายไม่หยุดเผชิญหน้ากัน ได้แก่ พักใช้รัฐธรรมนูญ ยุบรัฐสภา และจัดเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งใหม่โดยเร็ว 
สหรัฐอเมริกาก็สอดเข้ามา (โดยประธานาธิบดีโอบามาต่อสายไปหาประธานาธิบดีมอร์ซี) และเสนอว่า อยากให้พิจารณาจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีเร็วขึ้น (เหลือเวลาตามวาระอีกเพียงหนึ่งปีเท่านั้น) และขณะเดียวกันก็เตือนฝ่ายทหารว่าระวังบทบาทในขณะนี้ให้ดี การออกมาสร้างแรงกดดันให้ทั้งสองฝ่ายหาทางรอมชอมกันในทางการเมืองนั้นเห็น ด้วย แต่ถ้าจะขยายบทบาทไปถึงรัฐประหาร ก็จะคัดค้านเต็มที่ รวมทั้งจะตัดความช่วยเหลือทางทหารประจำปีปีละเกือบห้าแสนล้านบาทนั้นด้วย 
ตอนนี้ทุกฝ่ายในอียิปต์ รวมทั้งประชาคมระหว่างประเทศ จึงกำลังกลั้นหายใจว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป
ผมเองมีประสบการณ์อยู่บ้างในเรื่องแบบนี้ นึกในใจว่ามวลชนคงจะหมดความอดทนและเริ่มเดินหน้าก่อน จากนั้นกองทัพแห่งชาติหรือรัฐบาลจะเป็น “ไม้สอง” ก็สุดที่จะรู้ได้ ใครนึกง่ายๆ ว่าฝ่ายทหารคงจะเข้าไปจับตัวประธานาธิบดีหรือตรึงเขาไว้ไม่ให้ใช้อำนาจสั่ง การใดๆ ควรรู้ด้วยว่า มวลชนฝ่ายประธานาธิบดีที่มาจากองค์กรภราดรภาพแห่งชาวมุสลิมก็กำลังกรีฑาทัพ ลงสู่สนามทั่วประเทศ เช่นเดียวกัน งานนี้มวลชนจะปะทะมวลชนก่อน ฝ่ายทหารจะ “เอาอยู่” หรือไม่ มหาอำนาจจะเข้าแทรกแซงหรือไม่ ยากที่พยากรณ์นัก รู้แต่ว่ากระบวนการพัฒนาประชาธิปไตยในอียิปต์กำลังถูกทดสอบครั้งใหญ่ที่สุด ครั้งหนึ่งในขณะนี้

ผมเขียนไว้เมื่อวานนี้ว่าประสบการณ์ของ อียิปต์จะเป็นบทเรียนที่สำคัญสำหรับไทย ไม่ว่าผลของอียิปต์จะออกมาอย่างไรก็ตาม จึงขอวิเคราะห์ถอยหลังไปสักหน่อยครับว่า อียิปต์เดินมาสู่ปากเหวอย่างนี้ได้อย่างไร อะไรเป็นปัจจัยร่วมของประชาธิปไตยในระยะตั้งไข่ มีอันตราย หลุมพราง มุมอับ หรือจุดบอดอยู่ตรงไหนบ้าง

ประการแรก โมฮัมหมัด มอร์ซี ก้าวเข้ามาเป็นประธานาธิบดีอียิปต์คนแรกที่มาจากการเลือกตั้ง มรดกจากระบอบศักดินาอำมาตย์เก่าที่นำมาสามสิบปีโดย ฮอสนี่ย์ มูบารัค ล้วนเป็นของชำรุดทรุดโทรม ใช้การต่อแทบไม่ได้ทั้งสิ้น 
กลไกบางอย่างที่ยังใช้การได้ก็เป็นกลไกเผด็จการที่อาสารับใช้ผู้มีอำนาจ กลุ่มใหม่ต่อไปเพื่อตนจะอยู่รอดได้ด้วย ผู้นำประชาธิปไตยจึงต้องทุบทำลายเสียหรือหาทางเปลี่ยนไปใช้ในทางที่สร้าง สรรค์ จะกลืนน้ำลายตนเองโดยไปรับกลไกเผด็จการเหล่านั้นมาใช้ต่อมิได้ 
รวมความแล้วก็สรุปได้ว่า ผู้นำหลังการปฏิวัติประชาธิปไตยมักจะได้รับมรดกเป็น ระบบที่ชำรุด (broken system) กันแทบทั้งนั้น โมฮัมหมัด มอร์ซี ก็ไม่ต่างจากคนอื่นๆ หันไปทางไหน ก็กลไกเก่าของมูบารัค แม้กระทั่งในศาล กองทัพ และระบบราชการ เพราะเขาวาง “เด็กสร้าง” ของเขาเป็นทอดๆ กันมานาน 
มอร์ซีจึงหันเหกลับมาทางกลไกที่ทำให้เขาได้มาเป็นประธานาธิบดี นั่นคือมวลชนอนุรักษ์นิยมเคร่งศาสนา โดยเฉพาะในเครือข่ายขององค์กรภราดรภาพแห่งชาวมุสลิม ผลด้านกลับก็คือประชาชนอียิปต์ส่วนใหญ่รู้สึกผู้นำละทิ้งตน จะเอาแต่มวลชนที่สนับสนุนตน และไม่สนใจความทุกข์ร้อนของมวลชนกลุ่มอื่นๆ เป็นผลให้มีความรู้สึกน้อยใจและลามมาเป็นความชิงชังโกรธแค้นในบัดนี้ 
ลองนึกถึงเมืองไทยของเราดูสิครับ เมื่อใดก็ตามที่ฝ่ายประชาธิปไตยประสบชัยชนะ เราจะพบกับเงื่อนไขที่ไม่ต่างจากมอร์ซีเลย กลไกรัฐที่เป็นศูนย์กลางอำนาจจริง เช่น กอ.รมน. ศรภ. กองบัญชาการหน่วยรบพิเศษ เป็นต้น จะยังคงภักดีต่อมือที่ให้อาหารเขามาก่อนเรา แถมมวลชนที่ถูกปลุกปั่นให้เกลียดชังทุกๆ รัฐบาลที่ไม่ได้มาจากระบอบเก่าที่คอยชักใยอยู่ ก็จะเดินสู่ถนนเหมือนในอียิปต์ทุกวันนี้ 
ที่พูดอย่างนี้มิใช่ว่า รัฐบาลของโมฮัมหมัด มอร์ซี เป็นเทวดาที่ใครจะแตะต้องมิได้เอาเลย แต่ผมกำลังห่วงว่า รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง โดยเฉพาะหลังการช่วงชิงอำนาจอย่างยิ่งใหญ่ จะไม่มีช่วงดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ใดๆ กับใครเขา แต่จะต้องเผชิญกับปิศาจร้ายรูปแบบต่างๆ จากกลุ่มอำนาจเก่าในทันที บ้างก็แสดงตนเป็นปิศาจอย่างชัดเจนเปิดเผย แต่บางตนจำแลงมาในรูปของผู้หวังดีเพื่อมาฆ่าเราเสียในบ้าน ถ้าขบวนประชาธิปไตยไม่คิดสร้างกลไกเพื่อพิทักษ์ระบอบประชาธิปไตยใหม่ไว้ล่วง หน้า เห็นทีจะต้องนองเลือดกันหลายหนหลายครั้งจนหัวใจสลาย คล้ายกับอียิปต์ขณะนี้

ประการที่สอง ผมเห็นด้วยกับคุณ Paul Hemovich ที่เขียนมาว่า มอร์ซีก้าวขึ้นมาได้เพราะพร้อมกว่าผู้สมัครคนอื่นๆ จริงครับ โมฮัมหมัด มอร์ซี ก้าวมาเป็นประธานาธิบดี หรือผู้นำระบอบประชาธิปไตยใหม่ในอียิปต์ได้ มิใช่เพราะตัวเขามีคุณสมบัติโดดเด่นที่สุดหรือได้รับความนิยมสูงสุด แต่เป็นเพราะองค์กรที่เขาสังกัดคือ The Muslim Brotherhood นับเป็นองค์กรจัดตั้งที่เพียบพร้อมที่สุดในขณะนั้น การวางเครือข่ายอย่างละเอียดลงไปจนถึงระดับชุมชนและครอบครัวของเขามีอยู่ แล้ว ถึงจะฟาดฟันมาบ้างกับระบอบมูบารัค แต่ก็ยังเหลือทุนเดิมอยู่มากกว่าใครทั้งหมด 
กรณีนี้เป็นบทเรียนที่สำคัญมากสำหรับเรา เรายังคิดกันไม่พอว่าจะจัดตั้งตัวเองอย่างไรเพื่อให้สามารถ เข้าสู่อำนาจรัฐได้ องค์กรที่จัดตั้งอยู่ในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อไทย นปช. และแนวร่วมต่างๆ เปี่ยมไปด้วยความแน่วแน่มุ่งมั่นก็จริงอยู่ แต่ยังไม่ถึงขั้นที่กลายเป็นกลไกที่บังคับให้มันเดินด้วยตัวมันเองเมื่อถึง คราวได้ เหตุผลก็เพราะเราบริหารในรูปบริษัทเอกชนมากจนเกินไป จนบางครั้งอาจกลายพันธุ์ไปเป็นเผด็จการอีกรูปแบบหนึ่งได้ 
เราต้องมีเครือข่ายที่แยกต่างหากจากหน่วย “แสดง” ในทางการเมือง และต้องมีบทบาทมากกว่าหลังร้านหรือ ผู้ถือหุ้นใหญ่ แต่ต้องเป็นองค์กรทำงานจัดตั้ง บริหารมวลชน และวางยุทธศาสตร์ / ยุทธวิธีขับเคลื่อนได้ตลอดเวลา เราจึงจะพร้อมรับสถานการณ์ทุกชนิดที่จะเกิดขึ้นได้

ประการที่สาม โมฮัมหมัด มอร์ซี คือตัวอย่างที่ชี้ถึงสัจธรรมอันเจ็บปวดแต่เป็นความจริงว่า อุดมการณ์กับความสามารถเป็นคนละเรื่องกันโดยสิ้นเชิง ผู้เปี่ยมล้นด้วยอุดมการณ์อาจเป็นผู้บริหารงานที่โหลยโท่ยที่สุดก็ได้ ผู้บริหารงานที่เก่งที่สุดก็อาจปราศจากอุดมการณ์โดยสิ้นเชิงจนเป็นคนไร้ราก ไร้วิญญาณเลยก็ได้ กระบวนการทางการเมืองของมนุษย์มักชูอุดมการณ์เป็นสำคัญเสมอ แต่ความสำเร็จของผู้นำกลับอยู่ที่การบริหารงานที่เกี่ยวกับทุกข์สุขของ ประชาชนเป็นหลัก 
เราจำเป็นต้องยอมผ่อนปรนท่าทีให้ องค์กรของเรามีคนหลายๆ จำพวกเอาไว้ บางคนไม่แก่กล้าทางอุดมการณ์นัก แต่พอไหว และเป็นคนทำงานที่มีประสิทธิภาพ เราก็ต้องคบค้าสมาคมเอาไว้เพื่ิอการทำงานในปัจจุบันและอนาคต ผมสังเกตว่า เรามักคบกันในเครือข่ายด้วยความคิดทางการเมืองเป็นหลัก โดยลืมเรื่องความสามารถด้านอื่นๆ ไปเกือบหมดสิ้น เราอาจจะต้องทบทวนยุทธวิธีในเรื่องนี้และสะสมคนประเภทใหม่ๆ เอาไว้บ้าง มอร์ซีเกิดปัญหาใหญ่หลวงขณะนี้ด้วยความด้อยในฝีมือและความสามารถในการบริหาร งาน มิได้อ่อนด้อยในด้านอุดมการณ์เลย แต่ก็นำพาขบวนทั้งขบวนมาสู่ปากเหวแห่งวิกฤติได้พอๆ กัน
ประการที่สี่ กองทัพและทหารอียิปต์อยู่ในสถานภาพทางสังคมที่แตกต่างจากไทยมาก นายพันกามัล นัสเซอร์ ที่ก่อปฏิวัติล้มสถาบันกษัตริย์ของพระเจ้าฟารุคเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๕ จนเป็นประธานาธิบดีคนแรกของสาธารณรัฐ เป็นผู้นำที่ถ่วงดุลระหว่างบารมีของเจ้า กับความศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้ามาตลอด ไม่ยอมให้ใครมีอำนาจเกินเลยไปได้ ผลก็คือ คนอียิปต์มิได้มองกองทัพว่าเป็น “ม้าของพระราชา” แต่เห็นว่าเป็นผู้พิทักษ์ของตนเอง เมื่อถึงคราววิกฤติอย่างในขณะนี้ จึงมีคนอียิปต์จำนวนมากที่สนับสนุนให้ทหารเข้ามาแทรกแซงในทางการเมือง โดยหวังว่าแทรกแซงแล้วก็จะถอยกลับที่ตั้ง ไม่อยู่ในอำนาจอีกต่อไป 

นี่ก็เป็นบทเรียนของสังคมไทยที่ทำให้กองทัพ เป็นของพระมหากษัตริย์ จนผู้บัญชาการทหารบกลืมตัวอยู่หลายครั้ง พร่ำพูดถึงการปกป้องสถาบันฯ โดยลืมอีกสถาบันที่สำคัญเสมอกันคือ สถาบันประชาชน ถ้าเกิดวิกฤติไทยขึ้นอีกครั้ง เหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกับ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓ คือทหารกับประชาชนต้องเผชิญหน้ากันเอง ก็จะเกิดขึ้นอีกได้ เรื่องนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิที่ต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลงในกองทัพไทย ความรักในสถาบันฯ ต้องคู่ไปความรักประชาชนด้วย จึงจะอยู่ร่วมกันได้ ยิ่งนายกรัฐมนตรีมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแล้วเช่นนี้ ก็ต้องอย่าให้เสียโอกาส รายละเอียดนั้นเราคงไปคุยกันนอกรอบ

ประการ สุดท้ายคือบทบาทของมหาอำนาจของสหรัฐอเมริกา ผลจากการแทรกแซงของโอบาม่าตามที่เล่าข้างต้นนั้น ปรากฏว่าเหมือนราดน้ำมันลงในกองไฟ ความโกรธของผู้ประท้วงฟูขึ้นมาทันทีที่รู้สึกว่าสหรัฐอเมริกาเข้ามาวุ่นวาย จุ้นจ้านในกิจการภายในของเขา บวกอคติเดิมที่ว่า รัฐบาลวอชิงตันเข้าข้างรัฐบาลของโมฮัมหมัด มอร์ซี ก็เลยยิ่งไปกันใหญ่ในขณะนี้ 
บทเรียนของเราก็คือการลากต่างชาติเข้ามาในกิจการของเรานั้น บางครั้งก็มีประโยชน์บ้าง แต่บางครั้งก็เป็นการเพิ่มดีกรีความโกรธแค้นของกลุ่มอื่นๆ ในสังคมของเราได้ จึงต้องระวังให้ดี อย่าลากต่างชาติเข้ามาเพียงเพราะเราต้องการพวก จำเป็นต้องคิดให้ไกลไปถึงวันที่เราไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเขาแล้วและ ต้องการให้เขาออกไปจากชีวิตของเราด้วย มิฉะนั้นจะกลายเป็นการแก้ไขปัญหาด้วยการเพิ่มปัญหาใหม่เปล่าๆ.
.........................................................................................................................................................................
 กราบกราน.ปานเทวดา...ฟังเทศนา” เทวดากำมะลอ “.......อนิจจัง..งมงาย.ไม่คลายศรัทธา...สีจีวรพระ.ทำตาบอดสี  หลงใหล.อยากได้ความดี...ยอมทุ่มชีวี.บัตรพลีหลวงตา  เครื่องเซ่น.เน้นเป็นเงินทอง...พาหนะสีทอง.ลอยล่องมหา ซื้อไว้.ใช้เฝ้าเทวา...ลอยล่องนภา.ตามหาพระอินทร์ ความเขลา.เคล้าความฉลาด...ยอมเป็นข้าทาส.มารศาสนา อลัชชี.กลับมีราคา...ทุ่มเทเงินตรา “ ถวายผ้าไตร “ ไฉน.ผ้าไตรลัดฟ้า...บินข้ามศรัทธา.ตามหาสมัย  งมงาย.ความหมายคนไทย...หลงเชื่อด้วยใจ.ไม่พิจารณา.......   
ขุนเขาบอก :

กราบกราน.ปานเทวดา...ฟังเทศนา” เทวดากำมะลอ “.......อนิจจัง..

รำพัน.ของคนงมงาย..แม้แต่ความตาย.ยังยอมให้หา
เชื่อได้.โดยไม่ชายตา...ยอมเป็นขี้ข้า.หลับตาหากัน
ทรัพย์สิน.เงินทองกองให้...ช่วยพาฉันไป.สู่สรวงสวรรค์
สีเทา.ฤาสีอำพัน...สีแผ่นฟ้านั่น.ฉันไม่ชายตา

งมงาย.ไม่คลายศรัทธา...สีจีวรพระ.ทำตาบอดสี
หลงใหล.อยากได้ความดี...ยอมทุ่มชีวี.บัตรพลีหลวงตา
เครื่องเซ่น.เน้นเป็นเงินทอง...พาหนะสีทอง.ลอยล่องมหา
ซื้อไว้.ใช้เฝ้าเทวา...ลอยล่องนภา.ตามหาพระอินทร์

เงินทอง.กองเป็นภูเขา...ปัจจัยความเขลา.มอมเมาศาสนา
ภาพสร้าง.อำพรางสายตา...มารศาสนา.บังตาหากิน
แผ่นดิน.ไม่สิ้นคนเลว...พระอินทร์ตัวเขียว.ใช้ทอดกฐิน
เทวา.ลากมาเกลือกดิน...นั่งเพ่งกสิณ.หลอกกินไข่แดง

ไข่แพง.แช่งรัฐบาล...ถวายเป็นทาน.ประมาณไม่ไหว
กินแกลบ.กินรำหรือไง...จัตุปัจจัย.ไหงแพงแสนแพง
โศกี.นารีพิฆาต...หรือเป็นเหมือนญาติ.รำให้กรรแสง
นารี.จีวรกรักแดง...จดทะเบียนแต่ง.แมงเม่าช้ำใจ

ความเขลา.เคล้าความฉลาด...ยอมเป็นข้าทาส.มารศาสนา
อลัชชี.กลับมีราคา...ทุ่มเทเงินตรา “ ถวายผ้าไตร “
ไฉน.ผ้าไตรลัดฟ้า...บินข้ามศรัทธา.ตามหาสมัย 
งมงาย.ความหมายคนไทย...หลงเชื่อด้วยใจ.ไม่พิจารณา

อนิจจัง.ทุกข์ขัง.อนัตตา...ไตรลักษณ์บังตา.อนิจจาคนเขลา
ตาบอดสอด.ความมัวเมา...พระสงค์องค์เจ้า.เอาจีวรบังตา
สุดท้าย.กลายเป็นความโง่...ความหยิ่งยโส.ยอมโง่เทียมหมา
กราบกราน.ปานเทวดา...ฟังเทศนา” เทวดากำมะลอ “.......อนิจจัง..

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar