ข่าวลับกรองแล้ว
โดย
กลุ่มเสียงประชาชนไทย (สปท.) 12 ส.ค. 56
Ø 12 สิงหา วันแม่หรือวันเกิดราชินีได้พิสูจน์แล้วว่าข่าวลือที่ว่าราชินีป่วยหนักด้วยโรคความจำเสื่อมอันเนื่องมาจากเส้นเลือดในสมองแตกและมีพระอาการคล้ายกับคนเสียสตินั้นเป็นจริง เพราะไม่มีแม้แต่เงาของสมเด็จราชินีปรากฏต่อสาธารณชนในวันเฉลิมพระชนม์พรรษา
Ø 1 ปีของข่าวลือเกี่ยวกับพระอาการป่วยด้วยโรคสมองของราชินีได้ส่งผลให้
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
มีท่าทีลดความอหังการทางการเมืองอย่างเห็นได้ชัดเป็นผลมาจากเหตุการณ์ข้างต้น
Ø ผลจากความเจ็บป่วยของราชินีดังกล่าวข้างต้นได้ส่งผลให้ความฮึกเหิมและอหังการของ
พล.อ.เปรม ลดลงด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะกรณีของ
พล.อ.เปรม
เป็นสัญลักษณ์แสดงให้เห็นจุดเปลี่ยนสถานการณ์ทางการเมืองไทยอย่างเห็นได้ชัดเจนที่สุด
ทำให้รู้ทิศทางทางการเมืองไทยว่าจะมีเส้นทางอย่างไรในอนาคต
Ø มีข่าวลืออย่างสับสนเกี่ยวกับ
พล.อ.เปรม ต่อความใกล้ชิด กษัตริย์ภูมิพลและราชินี มาเป็นเวลานานกว่า 1 ปีแล้วว่า พล.อ.เปรม ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเฝ้าทั้งสองพระองค์ แต่จะเป็นจริงหรือไม่
ประชาชนไม่อาจจะรู้ได้เพราะการวิภาควิจารแม้แต่การวิเคราะห์ข่าวที่เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์และองคมนตรีก็จะถูกข่มขู่และจับกุมด้วย
ม.112 แต่สถานการณ์ในรอบปีที่ผ่านมาก็ได้เกิดปรากฏการที่สำคัญ
ที่แสดงให้เห็นอาการทุรนทุรายทางการเมืองของ พล.อ.เปรม
ที่พยายามแสดงตัวว่ายังเป็นที่โปรดปรานของราชสำนักด้วยการพยายามปรากฏภาพในที่สาธารนะร่วมกับพระเทพลูกสาวคนโปรดของกษัตริย์ภูมิพล และพยายามใช้ภาพลักษณ์ความใกล้ชิดที่ยังหลงเหลืออยู่นี้สั่งการลูกน้องขับเคลื่อนเพื่อก่อจลาจลนำสู่การรัฐประหาร
อาทิเช่น การเตรียมการก่อจลาจลขององค์การพิทักษ์สยามหรือที่มีมีชื่อที่ชาวบ้านรู้จักกันว่า
“ม็อบแช่แข็งประเทศไทยเสธอ้าย” เมื่อเดือน พฤศจิกายน 2555
แต่ก็จบด้วยความล้มเลวจากโทรศัพท์ลึกลับ และต่อมาก็เตรียมการก่อการจลาจล โดยสถาปนากองทัพประชาชนกำมะลอโดยกลุ่มเสนาธิการหมดอายุโดยร่วมมือกับพรรคประชาธิปัตย์
โดยชูป้ายคัดค้านกฎหมายนิรโทษกรรมแต่เนื้อในคือการก่อจลาจลเพื่อชวนเชิญให้ทหารออกมายึดอำนาจแต่ก็ล้มเหลวอีกด้วย เพราะกองทัพรู้ความจริงที่เปลี่ยนไปของราชสำนักแล้ว จึงวางเฉย อีกทั้งได้เกิดปรากฏการณ์ใหม่ที่มีความสำคัญยิ่ง
คือการปรากฏพระองค์ต่อสาธารณชนของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชที่แสดงความห่วงไยต่อตำตรวจและผู้ชุมชุม
ดดยมีพระราชดำรัสว่า “ขอให้ทุกอย่างจบลงด้วยการเจรจา”
Ø การสเด็จออกจากโรงพยาบาลศิริราช
ของทั้งสองพระองค์ไปพระราชวังไกลกังวลหัวหิน
เป็นประเด็นที่สำคัญทางการเมืองอีกประเด็นหนึ่งที่สื่อมวลชนและประชาชนเฝ้าจับตามองอย่างสงสัยแต่ไม่อาจจะวิจารและค้นหาความจริงได้ในประเทศไทย แต่รูปธรรมข่าวในพระราชกรณียกิจหลังการเสด็จออกโรงพยาบาลก็เป็นการอธิบายสถานการณ์ทางการเมืองไทยได้เป็นอย่างดีว่า
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชในฐานะทาญาติอันชอบธรรม
ของราชวงศ์ที่จะก้าวขึ้นมาเถลิงถวัลย์ในฐานะรัชการต่อไปได้ก่อรูปให้เห็นเด่นชัดแล้ว และเป็นการดับรัศมีของ พล.อ.เปรม
ว่าได้หมดอำนาจจากราชสำนักแล้วโดยดังจะเห็นได้จากการออกปฏิบัติพระราชกรณียกิจที่สำคัญแทนพระองค์ของสมเด็จพระบรมฯ
อย่างชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนเช่น การออกท้องพระโรงรับสารตราตั้งจากเอกอัครราชฑูตนานาชาติอย่างเป็นปกติ การพระราชทานกระบี่และการให้โอวาทต่อการประดับยศนายทหาร
และการเป็นตัวแทนพระองค์ในการพระราชทานปริญญาบัตรในมหาวิทยาลัยระดับแนวหน้าเช่นมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ซึ่งไม่เคยทำมาก่อนก็ได้ปรากฏขึ้นในช่วงนี้ เป็นต้น
Ø หากเราจะมองย้อนหลังกลับไปหนึ่งปีเศษที่ผ่านมาก็จะพบความจริงที่บอกเหตุการณ์ในวันนี้ของฟ้าชายก็คือการที่ราชสำนักกับธนาคารแห่งประเทศไทยออกธนบัตรฉบับละร้อยบาทที่มีพระบรมฉายาลักษณ์
ในโอกาส ฉลองครบห้ารอบวันเฉลิมพระชนพรรษาเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2555 ก็ย่อมแสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในราชสำนักแล้วในวันนี้
Ø การเปลี่ยนแปลงอำนาจในราชสำนักเกี่ยวกับผู้ที่จะขึ้นครองราชย์ต่อจากรัชการที่
9
แม้จะเกิดปรากฏการณ์ที่มีนัยสำคัญก็จริงแต่ยังมิเด็ดขาด ดังจะเห็นภาพที่ขัดแย้งกันระหว่าง พล.อ.เปรม
ประธานองคมนตรีที่ไม่เคยฉายภาพคู่กับสมเด็จพระบรมฯ เลย แต่กลับมีภาพคู่กับสมเด็จพระเทพอยู่เสมอ ล่าสุดเมือวันที่ 10 สิงหาคม
ในข่าวสองทุ่ม พล.อ.เปรม ก็ไปเข้าเฝ้ารับเสด็จนอกสถานที่ในงานเกี่ยวกับวันแม่
เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีรูปธรรมความขัดแย้งที่ พล.อ.เปรม มีต่อสมเด็จพระบรมฯ
นอกจากจะไม่เคยเข้าเฝ้าใกล้ชิดแล้ว
องค์กรที่เป็นสายงานทางการเมืองของ พล.อ.เปรมยังคงรักษาความถี่ในการก่อความวุ่นวายเพื่อล้มรัฐบาลยังเป็นปกติ
อาทิเช่น คำประกาศของพรรคประชาธิปัตย์ที่จะระดมมวลชนเพื่อล้มรัฐบาลในการผ่านกฎหมายนิรโทษกรรมวาระ
3 รวมตลอดถึงการชุมนุมที่สวนลุมฯ ที่ พล.ต.จำลอง
เข้ามาสวมรอยเป็นกองทัพประชาชนในนามกองทัพธรรมร่วมกับกลุ่มเสนาฯหมดอายุโดยประกาศหลังวันที่
12 สิงหาคม จะได้เห็นดีกัน
ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่าการประลองกำลังอันเป็นผลมาจากความขัดแย้งในราชสำนักยังไม่สะเด็ดน้ำ
Ø ปิดท้ายรายการข่าววันนี้ต้องจับตาสองประเด็น 1.
ข่าวลับกรองแล้วยืนยันว่าการออกจากโรงพยาบาลของทั้งสองพระองค์เป็นความหงุดหงิดจากความเจ็บป่วยทางธรรมชาติของคนป่วยกับเป็นความหงุดหงิดจากการขยายบารมีของสมเด็จพระบรมฯ
ในราชสำนักในขณะที่คนป่วยก็อยู่ในสภาพที่หมดสภาพแล้ว และข่าวลับยืนยันว่าระหว่าง 15-20 สิงหาคม คนป่วยพยายามจะกลับมาโรงพยาบาลอีกครั้งหนึ่ง 2. ม็อบกองทัพประชาชนที่สวนลุมฯ
คือม็อบเจ้าเก่าที่ผู้อยู่เบื้องหลังคือ พล.อ.เปรม
ที่ใช้อดีตลูกป๋าคือยังเติร์กเตรียมทหารรุ่น 7
ที่จงรักภักดีคือ พล.ต.จำลอง และที่กลับมาจงรักภักดีด้วยเพราะอยากได้อำนาจคือ
พล.ต.มนูญกิจ รูปขจร (พ.อ.มนูญ ชื่อเดิม)
เป็นหัวหอก 3. นายสนธิ ลิ้มทองกุล
ได้เสนอประเด็นเตรียมก่อสงครามประชาชนในช่วงกำลังเปลี่ยนผ่านรัชการนี้ด้วยข้อเสนอว่า
“ ให้พรรคประชาธิปัตย์ลาออกจาก ส.ส.ทั้งพรรคมาร่วมกับพันธมิตร
เพื่อระดมมวลชนให้ได้ล้านคนเพื่อล้มรัฐบาล
โดยจะลืมความหลังในอดีตยอมเข้าร่วมกับประชาธิปัตย์เต็มที่”...
ดังนั้นอนาคตสังคมไทยยังไม่ปลอดภัยจากการจงใจก่อจลาจลเพื่อนำไปสู่การรัฐประหารและการสถาปนารัชการที่
10 แบบนอกกฎหมายของกลุ่ม พล.อ.เปรม ...........
สุดท้ายอนาคตอันไม่นานนี้จะเห็นกลุ่มที่แอบอ้างความจงรักภักดีกลายพันธุเป็นพวกล้มสถาบัน.........
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar