คำบรรยายภาพ, รัชกาลที่ 7 ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อ พ.ศ. 2468
เผด็จ
ขำเลิศสกุล นักวิจัยประวัติศาสตร์ด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แห่ง
หอจดหมายเหตุแห่งชาติ อังกฤษ ในกรุงลอนดอน บอกบีบีซีไทยว่า
นายแบ็กซ์เตอร์ได้ส่งข้อความจากพระราชหัตถเลขานี้มาที่รัฐบาลอังกฤษ
และตีตรา "ลับ"
แต่ปัจจุบันเอกสารดังกล่าวถูกเผยแพร่ต่อสาธารณะได้สักระยะหนึ่งแล้ว
และเอกสารชุดนี้จัดอยู่ในหมวด Foreign Office หรือ กระทรวงการต่างประเทศ
ในรหัส FO 371/17176, Confidential, Summary of letter and note from the
king of Siam to Mr. James Baxter, 4 Aug. 1933
พระราชหัตถเลขาฉบับนี้ลงวันที่
4 ส.ค. 2476 บรรยายถึงสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น
ทรงปรารภถึงความท้อถอยและหมดหวังต่อการต่อสู้กับคณะราษฎร
ซึ่งประกอบด้วยหลายฝักฝ่าย แต่ปีกของนายปรีดี พนมยงค์นั้น
เป็นเพียงปีกเดียวที่มีการนำที่ดี และมีนโยบายที่ชัดเจน
พระองค์ทรงวิจารณ์
นายปรีดีว่ามีเป้าหมายคือ เปลี่ยนสยามเป็น "สาธารณรัฐสังคมนิยม"
และทรงเห็นว่า "เค้าโครงเศรษฐกิจ" ของนายปรีดี
ถูกจริตกับบรรดาผู้สนับสนุนเขาที่ล้วนเป็น "ปัญญาชนสยามผู้เกียจคร้าน"
ที่ต้องการทลายการผูกขาดทางเศรษฐกิจของพ่อค้าจีนและกิจการค้าของชาวตะวันตก
เพียง
2 เดือนหลังทรงมีพระราชหัตเลขานี้ ก็เกิด "กบฏบวรเดช" ขึ้นเมื่อ 11 ต.ค.
สาเหตุมาจากความขัดแย้งระหว่างคณะราษฎรและคณะเจ้า
จากข้อขัดแย้งเรื่องเค้าโครงเศรษฐกิจของนายปรีดี
และข้อโต้แย้งในเรื่องพระเกียรติยศและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในระบอบใหม่
ผู้นำกำลังทหารก่อกบฏคือ
พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช แต่ฝ่ายรัฐบาลสามารถปราบปรามคณะกบฏลงได้
นับเป็นการกบฏครั้งแรกหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475
ส่วนพระองค์เจ้าบวรเดชและพระชายาได้ลี้ภัยไปยังกัมพูชา
"ชาวสยามมีความริษยาและทะนงตัวเป็นธรรมชาติ"
ในพระราชหัตถเลขาถึงผู้เชี่ยวชาญชาวอังกฤษฉบับนี้
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงคาดการณ์ว่า มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่า
ลัทธิสาธารณรัฐนิยมจะขยายตัวเนื่องจาก
"ชาวสยามมีความริษยาและทะนงตัวเป็นธรรมชาติ"
"ชาวสยามไม่ใช่คนที่พยายามถีบตัวขึ้นทางสังคมเหมือนคนอังกฤษ แต่เป็นพวกอยากยกระดับตัวเองผ่านความอิจฉาริษยาและความเกียจคร้าน"
รัชกาลที่
7 ทรงอธิบายให้ผู้เชี่ยวชาญชาวอังกฤษฟังว่า สยามประเทศในขณะนั้น
ไม่มีพรรคการเมืองที่แท้จริงมีแต่กลุ่มความคิดเห็นและจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกันและไร้ซึ่งระเบียบ
และทรงกล่าวหา กลุ่มทหารบกและทหารเรือในคณะราษฎรว่าเป็นพวก
"รู้รักษาตัวรอด" และยังทรงชี้ว่าเป็นพวก "โจรตามป่าเขาที่ติดอาวุธชั้นดี"
และดูเหมือนมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย
กองทัพ กับ ความจงรักภักดี
ในพระราชหัตถเลขานี้
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ
ได้ตรัสถึงความภักดีของทหารในกองทัพบกและกองทัพเรือว่า
"พวกเขาจะไม่ยอมรับที่กษัตริย์จะมาบังคับบัญชาการกองทัพโดยตรงและจะไม่เชื่อฟังคำสั่งใด
ๆ ที่เป็นอันตรายต่อผลประโยชน์ส่วนตัวของพวกเขา"
"หากนายทหาร (ของสยาม) ยึดถือคุณธรรมเช่นเดียวกับนายทหารในยุโรปแล้ว การรัฐประหาร 24 มิถุนายน 2475 ก็จะไม่เกิดขึ้น"
"คนสยามส่วนใหญ่ภักดีต่อกษัตริย์"
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ
ทรงเชื่อว่า ชาวสยามส่วนใหญ่ล้วนแต่มีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์
และนิยมเจ้าอย่างแข็งขัน พวกเขามองระบอบสาธารณรัฐอย่างอกสั่นขวัญแขวน
แต่พวกเขายังไม่สามารถรวมตัวได้อย่างเป็นระบบ
ทำให้พรรคการเมืองเพื่อราชวงศ์ยังไม่เกิดขึ้น
พระองค์ทรงแบ่งระดับความเข้มข้นทางความคิดของพวกนิยมเจ้า ออกเป็น
- พวกอนุรักษ์นิยมหัวแข็ง - พระองค์ทรงเห็นว่าบุคคลพวกนี้มีความคิดที่โบราณและเชื่อในโชคลาง
"คนพวกนี้อยู่ด้วยความหวังว่าสิ่งเหนือธรรมชาติที่มีอยู่ในตัวของกษัตริย์จะทำให้ศัตรูของพระองค์พ่ายแพ้ไป"
แต่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯทรงมองคนพวกนี้ว่าไม่มีค่าที่จะใช้เป็นพลังทางการเมือง
พระองค์เชื่อว่าสถาบันกษัตริย์นั้นง่ายที่จะถูกทำลายเพราะความเชื่อแบบมืดบอด
ของบุคคลเหล่านี้
และทรงชี้ว่าคนเหล่านี้ไม่เคยคิดที่จะช่วยพระองค์ในเวลาที่พระองค์ต้องการความช่วยเหลือ
ในทางตรงกันข้ามพวกเขาคิดว่ามันเป็นหน้าที่ของพระองค์
ที่ต้องช่วยเหลือพวกเขาโดยใช้พลังเหนือธรรมชาติ
ถ้าพระองค์ไม่ทรงสามารถใช้พลังที่เหนือธรรมชาติที่มีอยู่ในตัวของกษัตริย์ตามที่คนพวกนี้เชื่อ
คนพวกนี้ก็จะว่าพระองค์ทรงได้สูญเสียบุญญาธิการและคุณธรรมไป
ซึ่งถึงที่สุดแล้วคนพวกนี้ก็จะหันหลังให้และสาปแช่งพระองค์ในลักษณะเดียวกับที่ผู้บูชารูปเคารพเตะรูปเคารพของเขาเมื่อไม่ได้ในสิ่งที่พวกเขาต้องการ
- พวกนิยมกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ
-
พระองค์ทรงอธิบายว่าชาวสยามส่วนมากอยู่ในกลุ่มนี้
แต่พวกเขายังไม่สามารถรวมตัวกันจัดตั้งเป็นพรรคการเมืองได้ เพราะ
ความคิดของบุคคลประเภทนี้ก็ยังคงแต่งแต้มไปด้วยความเชื่อถือเรื่องโชคลางเช่นเดียวกับพวกอนุรักษ์นิยมหัวแข็ง
คนพวกนี้จะทำอะไรไม่ได้เลยถ้าขาดผู้นำที่เป็นเจ้า
และบุคคลพวกนี้ก็ยังไม่มุ่งมั่นพอที่จะตายเพื่ออุดมการณ์ คนพวกนี้หวังลม ๆ
แล้ง ๆ ว่า "อังกฤษหรือฝรั่งเศสจะไม่ยอมให้สยามต้องกลายเป็นคอมมิวนิสต์"
"จุดจบของสถาบันพระมหากษัตริย์จะมาถึง
เมื่อเชื้อพระวงศ์จะมาเป็นผู้นำการเคลื่อนไหวให้ฝ่ายสนับสนุนเจ้า
สิ่งที่ฝ่ายสนับสนุนเจ้าต้องทำก็คือหาพวกเดียวกันเองมานำ"
พระองค์ทรงเตือนไว้
- พวกสนับสนุนสมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างแข็งขัน
- รัชกาลที่ 7 ทรงวิเคราะห์ว่าพวกนี้มีไม่มาก
และความคิดของพวกเขาคือการทำรัฐประหารแล้วล้างบางคณะราษฎร
และหวังว่าพระองค์จะจัดตั้งกองกำลังที่ภักดีต่อพระองค์แล้วเคลื่อนทัพมาทำสงครามในกรุงเทพฯ
แล้วสังหารพวกคณะราษฎร ซึ่งพระองค์ทรงมองว่า "เป็นแนวคิดที่บ้าคลั่ง"
ในตอนท้ายของพระราชหัตถเลขา
พระองค์ทรงระบุว่า อิทธิพลของพระองค์ต่อรัฐบาลลดลงไป
หลังการหมดอำนาจของรัฐบาลของพระยามโนปกรณ์นิติธาดา
(นายกรัฐมนตรีคนแรกหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475) ทำให้พระองค์เลือกใช้
การขู่สละราชสมบัติ เป็นเครื่องมือต่อรอง ซึ่งใช้ได้ผลมาแล้วหลายครั้ง
พระองค์ทรงเห็นว่าคำขู่จะมีประสิทธิผลนั้น
ต้องออกไปให้ห่างจากเมืองหลวง เพราะถ้าพระองค์ยังอยู่ในกรุงเทพฯ
พวกคณะราษฎรก็สามารถที่จะควบคุมตัวพระองค์ได้ง่ายซึ่งจะทำให้ฝ่ายสนับสนุนพระองค์ไม่สามารถที่จะทำการอย่างใดได้
"มันเป็นเรื่องโชคไม่ดีที่ผู้คนให้ความหวังมากเกินไปในตัวพระมหากษัตริย์
ซึ่งพระองค์ไม่สามารถช่วยพวกเขาได้มากนัก
ยิ่งพวกเขาช่วยเหลือตัวเองได้เร็วเท่าไร ยิ่งเป็นการดี"
วันที่
2 มี.ค. 2477 เป็นช่วง 7 เดือนหลังพระราชหัตถเลขา
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ขณะประทับอยู่ที่พระตำหนักโนล กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
ทรงลงพระปรมาภิไธยท้ายพระราชหัตถเลขาประกาศสละราชสมบัติ
พระราชทานให้กับเจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ ประธานสภาผู้แทนราษฎร
ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนรัฐบาลไปเข้าเฝ้าฯ
"...บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นว่าความประสงค์ของข้าพเจ้าที่จะให้ราษฎรมีสิทธิออกเสียงในนโยบายของประเทศโดยแท้จริงไม่เป็นผลสำเร็จ
และเมื่อข้าพเจ้ารู้สึกว่า
บัดนี้เป็นอันหมดหนทางที่ข้าพเจ้าจะช่วยเหลือหรือให้ความคุ้มครองแก่ประชาชนได้ต่อไปแล้ว
ข้าพเจ้าจึงขอสละราชสมบัติออกจากตำแหน่งพระมหากษัตริย์
แต่บัดนี้เป็นต้นไป"
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar