torsdag 12 juli 2012

<< ประสงค์ สุ่นศิริ ซัด "ปู" ทำผิดพิธีทูตร้ายแรง เป็นเรื่องที่น่าอับอาย >> ไอ้สงค์ฟันดำคือฉายาเรียก น.ต.ประสงค์ ขี้ข้าสมุนรับใช้ CIA หนึ่งในตัวแสดงของคณะลิเกลวงโลก ซึ่งไอ้สงค์ฟันดำได้เล่นเป็นตัวผู้ร้ายและนักเลง ดังนั้นเราอย่าไปให้ความสำคัญอะไรกับนักแสดงแก่ๆคนหนึ่งที่เคยแสดงบทผู้ร้ายเลวจนคนดูเกลียดจนถึงทุกวันนี้ ปล่อยให้มันเห่าหอนเหมือนหมาบ้าและให้มันรอดูบทบาทในชีวิตจริงที่ประชาชนจะแสดงแสนยานุภาพให้มันและอำมาตย์หัวหน้ามันดูก่อนตาย.



น.ต.ประสงค์ สุ่นสิริ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยกับ ไทยรัฐออนไลน์ โดยแสดงความเห็นเกี่ยวกับการเดินทางไปประเทศกัมพูชาของนายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตามคำเชิญของ นางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา โดยระบุว่า พิธีการทางการทูตที่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติ จะถือเรื่องของระดับเป็นหัวใจสำคัญ ทั้งผู้เชิญและผู้รับว่า ต้องอยู่ในระดับเดียวกัน เช่น รัฐมนตรีต่อรัฐมนตรี ซึ่งจะไม่มีปัญหาเรื่องศักดิ์ศรีตามมาภายหลัง เนื่องจากเป็นเรื่องระหว่างประเทศ
ผิดพิธีการทางการทูตร้ายแรง ให้แค่ระดับรัฐมนตรี เชิญผู้นำไปพบถึงต่างประเทศ
ซึ่งกรณีที่ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐอเมริกา เชิญ นายกรัฐมนตรีของไทยให้ไปพบ แถมยังต้องให้เดินทางออกนอกประเทศ ไปพบถึงประเทศกัมพูชา แต่แทนที่ทางกระทรวงการต่างประเทศของไทย จะปฏิเสธกลับรีบมีการตอบรับตามคำเชิญทันที โดยไม่คำนึงถึงว่าเป็นการทำผิดพิธีทางการทูต จึงเป็นการแสดงให้เห็นถึงความอ่อนด้อยทางการทูตของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่เพียงแค่เห็นจดหมายก็รีบตอบรับ
และภายหลังจึงมีการออกมาแก้กันว่าเป็นการเชิญจากภาคธุรกิจ แต่กระนั้นก็ยังไม่ใช่เหตุผลที่สมควรที่จะต้องมีการตอบรับในทันใด เนื่องจากแม้เป็นการเชิญจากภาคธุรกิจ ก็ยังคงต้องพิจารณารายละเอียดอื่น เช่น สถานที่ เนื้อหา ความเหมาะสมต่างๆ กลุ่มที่เชิญเป็นใคร ซึ่งก็ให้สงสัยว่า ในเมื่อกลุ่มธุรกิจต้องการทราบนโยบายของรัฐบาลไทย แต่เหตุใดจึงไม่เดินทางมาที่ประเทศไทยแล้วทำเรื่องขอเข้าพบนายกรัฐมนตรี แบบนี้จะสมเหตุสมผลมากกว่า แต่นี่กลับกลายเป็นว่า นายกรัฐมนตรี ต้องวิ่งออกไปหาเอง ซึ่งไม่สมควรอย่างยิ่ง
สงสัย ไร้ประโยชน์ทับซ้อน ทำไมต้องไปคุยธุรกิจพลังงานถึงเขมร แทนที่จะเป็นประเทศไทย
"นอกจากนี้ พื้นที่ ที่จัดให้มีการพบปะกันนั้น ก็ยังเป็นพื้นที่ที่มีปัญหาเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติ และน้ำมันในทะเล จึงทำให้เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องสงสัยถึงผลประโยชน์ทับซ้อนต่างๆ ซึ่งตนเองในฐานะที่เคยเป็นรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ จึงสรุปเรื่องนี้ได้ว่า การเชิญครั้งนี้ แม้เป็นการเชิญจากภาคเอกชน ก็ควรที่จะต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ ไม่จำเป็นต้องตอบรับในทันที และควรถามกลับไปยังผู้เชิญด้วยซ้ำว่าเหตุใดจึงไม่มาหารือกันที่ประเทศไทย ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องเช่นกระทรวงการต่างประเทศ ที่ถือเป็นด่านแรกที่ต้อเสนอความคิดเห็นให้แก่นายกรัฐมนตรีประกอบการตัดสินใจ กลับปล่อยผ่านเรื่องแบบนี้ไป ซึ่งที่จริงควรตรวจสอบเรื่องนี้ก่อนที่จะให้มีการตอบรับใดๆ เกิดขึ้นด้วยซ้ำ ถือเป็นเรื่องที่น่าอับอาย"
น.ต.ประสงค์ ยังตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการเดินทางครั้งนี้ของนายกรัฐมนตรี โดยระบุว่า กลุ่มที่เดินทางมาหารือทางธุรกิจที่กัมพูชา ครั้งนี้ มี บ.เชฟรอน เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่ง บ.เชฟรอน เองนั้นก็มีผลประโยชน์เกี่ยวกับเรื่องของก๊าซ และน้ำมันในทะเล ที่เป็นปัญหาระหว่างไทยและกัมพูชาอยู่ ดังนั้นการเดินทางมาครั้งนี้ รวมถึงการไปพบปะพูดคุยของนายกรัฐมนตรีของไทย จึงเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ที่จะสงสัยในเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน"น.ต.ประสงค์กล่าว

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar