tisdag 3 juli 2012

ก้าวย่างสู่ชัยชนะต่อเผด็จการอมาตย์อย่างมั่นคงของพรรคเพื่อไทย

โดย ปูนนก

ระยะที่ผ่านมานี้ ผมได้เฝ้ามองดูสถานการณ์ทางการเมือง และการทำงานของพรรคเพื่อไทยอย่างใกล้ชิด พยายามพิจารณา และวิเคราะห์ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นว่าจะดำเนินต่อไปในรูปแบบใด ซี่งจะส่งผลอย่างไรในอนาคตต่อการต่อสู้กับเผด็จการอมาตย์ในสงครามครั้งนี้
ต้องขอย้ำเตือนให้เข้าใจตรงกันก่อนว่า ทุกๆ ท่านคงไม่ลืมว่า “ขณะนี้พี่น้องผู้รักประชาธิปไตยในประเทศนี้กำลังทำสงครามทั้งเย็น และร้อนกับฝ่ายเผด็จการอมาตย์ เพื่อให้ได้มาซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตย” ซึ่งในการสงครามครั้งนี้จะไม่สามารถจบลงได้ด้วย Win Win จะต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะหรือแพ้กันอย่างเด็ดขาด และฝ่ายประชาชนประชาธิปไตยจะต้องชนะ ซึ่งนี่คือ “เป้าหมาย และเป็นยุทธศาสตร์” ที่ตัวแทนของประชาชนฝ่ายประชาธิปไตย (โดยอนุโลมเฉพาะหน้า) คือ พรรคเพื่อไทย และ นปช. จะต้องก้าวเดินไปสู่เป้าหมายนี้
ผมเชื่อว่าก่อนการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่ผ่านมาท่านนายกทักษิณ และประชาชนไทยผู้รักประชาธิปไตยทุกคนต่างก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่า “เจ้าของอำนาจเผด็จการที่ครอบประเทศไทยมาอย่างยาวนานนี้ จะโหดเ..หี้ยม และร้ายกาจต่อประชาชนในประเทศได้ถึงเพียงนี้” ผมมั่นใจว่าใครที่ไม่ได้ผ่านสถานการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519 มาจะไม่มีทางซาบซึ้งถึงความร้ายกาจที่ เจ้าของ
อำนาจเผด็จการได้ปิดซ่อนเอาไว้อย่างมิดชิดตลอดระยะเวลาอันยาวนานนี้ได้เลย..
แต่ทว่านับแต่การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่ผ่านมาภาพแห่งความโหดร้าย การแสดงความเป็นเผด็จการโดยไม่สนใจต่อกฏหมายที่เป็นหลักในการปกครองประเทศ ได้ถูกทำลายครั้งแล้วครั้งเล่า โดยผ่านทางกลุ่มเครื่องมือของอำนาจเผด็จการหลายกลุ่มด้วยกัน เช่นกลุ่ม พธม. (กรณียึดสนามบิน, ยึดทำเนียบรัฐบาล และยึดสถานีดาวเทียมไทยคม อันนี้ชัดเจนที่สุด) กลุ่มองค์กรอิสระต่างๆ ที่แสดงความเป็นปฏิปักษ์อย่างชัดเจนต่อผู้ที่อยู่ฝ่ายประชาธิปไตย องค์กรศาลต่างๆ โดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญ ที่ตัดสินคดีการเมืองอย่างเลวทรามที่สุดโดยปลดนายกสมัคร ออกจากตำแหน่งด้วยข้อหาที่ไม่มีใครเขาคิดกันได้ (ถ้าไม่ชั่วร้ายจริงๆ) ยุบพรรคการเมืองที่เป็นเครือข่ายของท่านนายกทักษิณถึง 2 ครั้งคือ ไทยรักไทย และพลังประชาชน ตัดสิทธิ์นักการเมืองที่อยู่ฝ่ายนายกทักษิณคนละ 5 ปี และที่สำคัญก็คือพรรคประชาธิปัตย์ ที่ทำงานการเมืองด้วยความเมามัวในอำนาจเผด็จการ และคดโกงอย่างหาที่เปรียบได้ยาก
ซึ่งสุดท้าย ทหารที่เป็นเครื่องมืออันทรงพลังที่สุดของอำนาจเผด็จการก็ออกมา “สังหารหมู่ประชาชน” กลางเมืองหลวงในเวลากลางวันแสกๆ ภาพเหล่านี้ได้ถูกฉายซ้ำเดิมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และมากขึ้นจนทำให้ประชาชนไทยผู้รักประชาธิปไตยและความเป็นธรรม ได้เข้าใจและรู้ซึ้งแล้วว่า “เจ้าของอำนาจเผด็จการที่ครอบประเทศไทยอยู่นี้ เขาไม่ได้รักประชาชนอย่างที่พยายามสร้างภาพมาตลอดหลายสิบปีนี้เลย” สิ่งที่เขารักและต้องการก็คือ “อำนาจ และเงินตรา” ที่ได้สูบเลือดเนื้อไปจากประชาชนไทย อย่างชั่วร้ายที่สุด ใครบางคนที่ประชาชนเคยคิดและเทิดทูนว่าเป็น “เทวา” แต่ในที่สุดก็ได้รู้ว่าเป็นเพียง “ซาตาน” ที่ชั่วร้ายที่สุด เท่านั้นเอง
ท่านนายกทักษิณได้รับบทเรียนอย่างเจ็บแสบมาแล้วหลายครั้ง และมี 2 ครั้งสำคัญมาก ก็คือ การรัฐประหารล้มรัฐบาลพรรคไทยรักไทย และตัดสินยุบพรรคไทยรักไทย และล้มรัฐบาลท่านนายกสมชาย และตัดสินยุบพรรคพลังประชาชน ด้วยเหตุนี้แนวทางการต่อสู้ของท่านนายกทักษิณ และพรรคเพื่อไทยที่จะกำลังต่อสู้ต่อไปก็คือ “การที่จะถือครองอำนาจรัฐให้ได้ยาวนานที่สุด และเปิดโปงความชั่วร้ายของเครือข่ายอำนาจเผด็จการที่แสดงตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตยให้ได้มากที่สุด” โดยอาศัยภาพแห่งความเน่าเฟะแห่งความเลวร้ายเหมือนช้างตายทั้งตัว ที่ฝ่ายเผด็จการพยายามเอาใบบัว แห่งความศรัทธาจากภาพที่ถูกสร้างไว้ในอดีต มาปกปิดนั้น มาเปิดเผยต่อประชาชนทั้งประเทศ และต่อทั่วโลก ซึ่งสิ่งที่ท่านนายกทักษิณ และพรรคเพื่อไทยกำลังพยายามทำนี้ก็คือ “การจัดตั้งทางความคิด และอุดมการณ์แห่งประชาธิปไตยให้กับคนไทยทั้งชาตินั่นเอง”
ในเบื้องแรกผมก็ไม่เข้าใจวิธีคิดของผู้บริหารพรรคเพื่อไทยว่า “ทำไมถึงไม่ยอมแสดงความเข้มแข็งในทางรัฐสภา เพื่อชนกับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญอย่างตรงไปตรงมา” ซึ่งเมื่อพิจารณาดูในเบื้องแรกแล้ว ก็น่าที่จะได้เปรียบในทางการเมือง และได้ใจประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยให้ฮึกเหิมในการต่อสู้กับอำนาจเผด็จการมากขึ้น แต่การที่พรรคเพื่อไทยถอย ไม่ยอมเข้าปะทะ นอกจากเสียเปรียบทางเมืองแล้ว ยังทำให้ประชาชนที่สนับสนุนพรรคถอดใจ หรือปฏิเสธที่จะให้การสนับสนุนพรรคเพื่อไทยอีกด้วย นี่คือความคิดในเบื้องแรกของผม และเชื่อว่าคนเสื้อแดงโดยเฉพาะนักคิดจำนวนมากก็คิดเช่นนี้ดุจเดียวกัน
แต่จากการชุมนุมรำลึกครบรอบ 80 การเปลี่ยนแปลงการปกครองที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ที่ผู้คนเรือนแสนมาร่วมชุมนุมกันอย่างพร้อมเพรียง ได้มีปรากฏการณ์สำคัญเกิดขึ้นก็คือ มีประชาชนจำนวนมากให้ความสำคัญกับ “หมุดคณะราษฎร และร่วมกันอ่านประกาศฉบับที่ 1 ของคณะราษฎรกันอย่างมากมาย” แสดงว่าประชาชนผู้รักประชาธิปไตย เริ่มเข้าใจถึง “หลักแห่งการต่อสู้ในครั้งนี้มากขึ้นแล้วว่า เรากำลังต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตย มิใช่สู้เพื่อใครคนใดคนหนึ่ง” ดังนั้นการโจมตีจากกลุ่ม พธม. และพรรคประชาธิปัตย์ ที่กล่าวหาว่าประชาชนคนเสื้อแดง สู้เพื่อนายกทักษิณ จึงไม่มีผลใดๆ เกิดขึ้นในทางการเมืองเลย
การเลือกตั้งนายก อบจ. ที่เชียงใหม่ และเลือกตั้ง อบต. อีกหลายแห่ง ที่พรรคเพื่อไทยชนะพรรคประชาธิปัตย์อย่างขาดลอย แสดงให้เห็นว่าประชาชนยัดังนั้นด้วยยุทธศาสตร์ที่จะต้องเอาชนะเผด็จการอมาตย์ให้ได้อย่างเด็ดขาด ผมเชื่อว่าทีมงานของพรรคเพื่อไทยต้องการวางแผนเอาชนะเผด็จการอมาตย์ด้วยการ “จัดตั้งทางความคิด และอุดมการณ์ประชาธิปไตยให้กับคนไทยทั้งชาติ” ด้วยการเปิดเผยให้เห็นความชั่วร้ายของอำนาจอิทธิพลมืด.. ความเสื่อมทรามของระบบยุติธรรมของประเทศ.. การโกหกโดยอาศัยความหน้าด้านและไร้ยางอาย ของเผด็จการผู้ครองอำนาจอยู่ และชี้ให้ประชาชนเห็นถึงความชั่วร้ายของรัฐธรรมนูญฉบับปี 50 ของเผด็จการที่สร้างเอาไว้ว่า ทำให้ประชาชนและคนไทยทั้งชาติสูญเสียประโยชน์มากเพียงใด....



Inga kommentarer:

Skicka en kommentar