"ดูแล้วก็เข้าใจได้ ผู้มีอำนาจไม่อยากให้รำลึก อยาก ให้ลืม “ผีพฤษภา 53” แต่ยิ่งห้ามก็ยิ่งไม่ลืม และจะตามหลอกหลอนอีกนาน"
7 ปีพฤษภา 53 รู้กันอยู่ว่า คสช.คงห้ามจัดงานรำลึกเหมือนที่ห้ามทุกปี แต่ปีนี้เข้มเป็นพิเศษ จะห้ามกระทั่ง “น้องเดียร์” จุดเทียนวางช่อดอกไม้ตรงจุด “เสธ.แดง” ถูกลอบยิงตาย โดยอ้างว่าเกี่ยวข้องการเมือง กระทั่งน้องเดียร์ต้องโพสต์เฟซบุ๊กถาม “อาตู่” ในฐานะที่มีลูกสาว 2 คนว่าถ้าลูกสาวถูกห้ามไปกราบพ่อจะรู้สึกอย่างไร นั่นแหละ ถึงอนุญาตให้กราบได้ ท่ามกลางตำรวจหลายสิบนายเอาแผงเหล็กล้อมไว้ ราวกับยก 3 จังหวัดภาคใต้มาอยู่กลางกรุง
เช่นกัน วันรำลึก 7 ปีการเสียชีวิตของสมาพันธ์ ศรีเทพ ที่ “หมุดเฌอ” ถนนราชปรารภ ตำรวจก็กั้นแผงเหล็ก แม้ยอมให้ญาติจุดเทียนวางพวงมาลัย
ดูแล้วก็เข้าใจได้ ผู้มีอำนาจไม่อยากให้รำลึก อยาก ให้ลืม “ผีพฤษภา 53” แต่ยิ่งห้ามก็ยิ่งไม่ลืม และจะตามหลอกหลอนอีกนาน
ในทางตรงข้าม งานที่ไม่ห้ามกลับเงียบเหงาอย่างน่าสงสาร คืองานรำลึก “วีรชนพฤษภา 35” ผู้พลีชีพในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ “ม็อบมือถือ” คนชั้นกลางในเมืองลุกฮือต้านเผด็จการ รสช.สืบทอดอำนาจ “สุไม่เอาให้เต้” “เสียสัตย์เพื่อชาติ” เรียกร้องนายกฯ จากเลือกตั้ง กระทั่งได้ชัยชนะเมื่อ 25 ปีก่อน
จะไม่เงียบเหงาได้ไง ในเมื่อวันนี้คนชั้นกลางในเมืองเห็นดีเห็นงามกับรัฐธรรมนูญถอยหลังยิ่งกว่าปี 2534 ไม่แค่มีนายกฯ คนนอก แต่ยังมี 250 ส.ว.แต่งตั้ง 6 ผบ.เหล่าทัพคุมกำลัง โหวตเลือกนายกฯ และควบคุมยุทธศาสตร์ชาติอีก 20 ปี
วีรชนพฤษภา 35 ก็เลยไม่เหลือใครให้สืบสาน แม้พอเหลือตัวเป็นๆ อย่างหมอสันต์, ครูประทีป, จตุพร พรหมพันธุ์ ฯลฯ แต่คนชั้นกลางไม่เอาประชาธิปไตยซะแล้ว ทำไงได้
อ้อๆ คงมีแต่ผีกวางจู ที่หลอกหลอนข้ามประเทศ เพราะปีนี้มอบรางวัลสิทธิมนุษยชนให้ “ไผ่ ดาวดิน” แม้ตัวไม่ได้ประกัน พ่อแม่ก็บินไปรับ เห็นคนเกาหลีจัดงานยิ่งใหญ่แล้วน้ำตาจะไหล เพราะเขาเอาจริงเอาจัง ผีกวางจูจึงไม่ตายฟรี เหตุการณ์ผ่านไปสิบกว่าปี ยังลากคอ 2 นายพลอดีตประธานาธิบดีขึ้นศาลได้ แต่เสียดาย คนไทยไม่รู้จักรางวัลกวางจู รู้จักแต่ผีจูออน
ว่าที่จริงก็ไม่แปลกอะไร สังคมไทยก็พัฒนามาอย่างนี้ ด้วยการลืมผี ด้วยการกลบฝังความจริง ลืมความอยุติธรรม แล้วใช้อำนาจเดินหน้าประเทศ พัฒนาเศรษฐกิจ ชีวิตความเป็นอยู่ พร้อมกับปลูกฝังศีลธรรม ราวกับไม่เคยมีการเข่นฆ่ากัน ตั้งแต่หลังรัฐประหาร 2490 ที่ยิงทิ้งเสรีไทย 4 อดีตรัฐมนตรี เตียง ศิริขันธ์ หลังรัฐประหาร 2501 ก็กวาดล้างจับกุมคุมขัง แล้ววางแผนพัฒนาเศรษฐกิจสังคมแห่งชาติ หรือหลัง 6 ตุลา 2519 เมื่อกลับลำล้มรัฐบาลหอย ออก 66/23 ก็พัฒนาอีสเทิร์นซีบอร์ด โชติช่วงชัชวาล แล้วช่วยกันสร้างสังคมดีงามแบบ อ๊ะอ๊ะ อย่าทิ้งขยะ ตาวิเศษเห็นนะ
คนรุ่นนั้นก็เลยโตมาด้วยความประทับใจประชาธิปไตย ครึ่งใบ โดยไม่เคยรู้เลยว่า ไม่กี่ปีก่อนหน้า เมืองไทยเมืองพุทธเข่นฆ่ากันอย่างโหดร้ายใช้ “เก้าอี้ฟาด” กลางเมือง
นั่นละครับ ท่านผู้ชม อย่าแปลกใจเลยกับอภิมหาโปรเจ็กต์ EEC เศรษฐกิจดิจิตอล ไทยแลนด์ 4.0 ลงทะเบียนคนจน 13 ล้าน หวังช่วยลดความเหลื่อมล้ำครั้งใหญ่ พร้อมกับการอบรมปลูกฝังให้เยาวชนสำนึกในคุณธรรม ท่องค่านิยม 12 ประการ ทั้งหน่วยงานรัฐ บริษัทห้างร้าน ทำ CSR ปลุกจิตอาสา รักษ์โลก รักน้องหมา ปลูกป่า ลดใช้ถุงก๊อบแก๊บ
คำถามคือจะทำให้ลืมสำเร็จไหม โอ๊ย ก็เอาใจช่วย วิสัยคนไทยไม่อยากเห็นการจองล้างจองผลาญจนบ้านเมืองพินาศหรอก เพียงแต่เงื่อนไขมันต่างจากอดีต ข้อแรก ครั้งนี้ ความขัดแย้งกินวงกว้างมีคนลืมไม่ลงเป็นสิบล้าน ข้อสอง ถ้าเทียบกับยุคหลัง 6 ตุลา ชนชั้นนำยุคนั้นเขาฉลาด รู้ว่ารัฐบาลหอยไปไม่รอด ก็กลับลำ หาสูตรลงตัว “ประชาธิปไตยครึ่งใบ” ที่แบ่งอำนาจให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม แล้วก็พออยู่กันได้
แต่วันนี้ยังหาสูตรไม่เจอเลย ไม่เห็นสูตรผ่อนคลายที่พออยู่กันได้ เหมือนสมัยป๋าเปรม เห็นแต่สูตรย้อนยุคสฤษดิ์ ปิดกั้น ควบคุม แล้วจะให้คนก้าวข้าม “ลืมผี” ได้อย่างไร
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar