söndag 14 maj 2023

ใบตองแห้ง: ร่วมรบหลังเลือกตั้ง / แก้ รธน.โละ กกต.

ก้าวไกลฟีเวอร์ แม้กลบกระแสเพื่อไทยบ้าง แต่ก็ดึงคนตรงกลางๆ และฝั่งตรงข้ามกลับใจ มาเพิ่มคะแนนให้ฝ่ายค้าน

ดูโพลสำนักต่างๆ แม้ต้องหั่นทอนลงบ้าง เมื่อคำนึงถึงระบบหัวคะแนน เครือข่ายอุปถัมภ์ กระสุนไม่อั้น แต่พรรคฝ่ายค้านโดยเฉพาะเพื่อไทยก้าวไกล น่าจะรวมกันได้เกิน 300 เสียง “เทรนด์ใหญ่ไปทางนั้น” ประจักษ์ ก้องกีรติ ชี้

พรรคเพื่อไทยขั้นต่ำๆ คงได้ 220-240 พรรคก้าวไกลมีลุ้น 60-80 โดยอาจไหลไปมาระหว่างกัน พรรคประชาชาติ เสรีรวมไทย ไทยสร้างไทย ก็น่าจะรวมกันเกิน 10

บางคนห่วงว่าเพื่อไทยก้าวไกลจะตัดคะแนนกัน จนตาอยู่เอาไปกิน แต่ครั้นจะบอกผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งให้ “เลือกเชิงยุทธศาสตร์” เลือกผู้สมัครที่มีโอกาสสูงกว่า ซึ่งเดิมเชื่อกันว่าต้องเพื่อไทย “ก้าวไกลฟีเวอร์” ก็ทำให้ไม่แน่ใจเสียแล้วว่า ผู้สมัครเพื่อไทยมีโอกาสสูงกว่า เพราะคนเลือกก้าวไกลไม่ได้มีแค่ฐานเดิม แต่ฟีเวอร์เพิ่มคนเข้ามาใหม่ ซึ่งขอร้องให้ “เลือกเชิงยุทธศาสตร์” ไม่ได้

กระนั้นถ้าคะแนนนิยมท่วมท้น ความเบื่อรัฐบาลล้นหลามผู้สมัครฝ่ายค้านก็จะนำห่างเป็นที่ 1 ที่ 2 ยกเว้นเขตที่ตัวบุคคลพรรครัฐบาลเข้มแข็ง ซึ่งมีไม่กี่จังหวัดเท่านั้น

ประเด็นที่ต้องคิดล่วงหน้าหลังเลือกตั้งคือ ใครจะร่วมรัฐบาลกับใคร พรรคเพื่อไทยร่วมกับพรรคก้าวไกลได้ไหม ถ้าร่วมกันแล้วจะเกิดอุปสรรคขัดขวางรุนแรงขนาดไหน

เพื่อไทยกับก้าวไกล กล่าวโดยนโยบายมีความแตกต่างบนพื้นฐานเดียวกัน มีจุดร่วมเช่น ทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญ ยกเลิกเกณฑ์ทหาร เพื่อไทยไม่ประกาศแก้ 112 แต่รับเอาไปคุยกันในสภา ฯลฯ

พูดอีกอย่างคือมีจุดร่วมพื้นฐานทางประชาธิปไตย แต่เพื่อไทยวางเพดานไว้ต่ำ ก้าวไกลหวังทะลุเพดาน ถ้าร่วมรัฐบาลก็จะกระตุ้นให้เพื่อไทยขยับเพดาน

แน่ละทั้งสองพรรคมีความแตกต่างเยอะ ไม่ใช่แค่นโยบายยังต่างสไตล์ วิธีคิดวิธีทำงาน ทะเลาะกันแน่แต่ต้องทำสัญญาประชาคม ว่าอะไรที่จะทำร่วมกัน อะไรสงวนจุดต่าง

ประเด็นสำคัญคือ เพื่อไทยจะเลือกก้าวไกลร่วมรัฐบาลหรือไม่ นี่ไม่ใช่ 2 พรรคเป็นศัตรูกัน แต่รู้กันว่าเครือข่ายอำนาจอนุรักษ์จะออก “ใบสั่ง” ห้ามก้าวไกลร่วมรัฐบาล

อันดับแรกขึ้นกับผลเลือกตั้ง สมมติเพื่อไทยได้ 220 ก้าวไกล 80 เห็นจะปฏิเสธได้ยาก ในเมื่อตัดขาดพลังประชารัฐ ไม่สามารถกลับคำ (เว้นแต่พรรคพลังประชารัฐลงมติขับประวิตร, ไพบูลย์, ชัยวุฒิ ออกจากพรรค ซึ่งคงฮาทั้งประเทศ)

อันดับถัดมา ที่จริงสำคัญกว่า คือพลังมวลชน ทั้งคนที่เลือกเพื่อไทยและก้าวไกล ถ้าเพื่อไทยไม่เอาก้าวไกลร่วมรัฐบาล หรือก้าวไกลเล่นองค์ไม่ยอมร่วมรัฐบาล FC ทั้งสองพรรคจะรุมกระหน่ำพรรคตัวเอง เพราะต่อให้ทะเลาะกันแค่ไหนก็อยากให้ร่วมรัฐบาลในฝ่ายประชาธิปไตยมากกว่า

ถ้าสองพรรคไม่สามารถร่วมรัฐบาลกัน ก็ต้องมีเหตุผลชี้แจงคนเลือกว่าเพราะอะไรจึงร่วมไม่ได้จริงๆ ไม่เช่นนั้น ใครเป็นฝ่ายผลักใครก่อน คนนั้นเสื่อม สมัยหน้าคะแนนจะไหลท่วมอีกพรรค

สิ่งที่คนกลัวมากกว่าคือ สมมติประกาศผลเลือกตั้งออกมา พรรคฝ่ายค้าน 300+ จะมียุบพรรคไหม 250 ส.ว.จะโหวตสวนตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยไหม หรือท้ายที่สุดจะมีรัฐประหารไหม

เครือข่ายอนุรักษนิยมไม่ใช่แค่ไม่ยอมให้ก้าวไกลเป็นรัฐบาล แค่ได้ ส.ส.สัก 60 คน มีคนเลือกจ่อๆ 10 ล้าน ก็จะคลั่งใจตายแล้ว (ถ้ารวมไทยสร้างชาติได้แค่ 1 ใน 3 ของก้าวไกล คงยิ่งคลั่งไปใหญ่)

ดังนั้นเชื่อได้ว่าจะมีความพยายามขัดขวางทุกวิถีทาง แต่ขัดขวางอย่างไร

จะให้ 250 ส.ว.งดออกเสียง ให้ประยุทธ์รักษาการไปเรื่อยๆ จะใช้ 250 ส.ว.โหวตรัฐบาลเสียงข้างน้อย แล้วส่งศาลยุบพรรคใช้แม่เหล็กดูด ส.ส.

ขอโทษที ฟังแล้วตกใจ นักกฎหมายทำไมพูดให้ท้ายพรรคโจรปล้น ส.ส.

พลังเลือกตั้งหลามไหลอย่างที่อำนาจอนุรักษ์คุมไม่ได้ แล้วยังจะอย่างหนา ใช้ ส.ว.ประยุทธ์ตั้งโหวตสวนคะแนนเสียงประชาชน ซึ่งถ้าเป็นไปตามที่คาดกัน ได้ ส.ส.ไม่ต่ำกว่า 300 ได้คะแนนโหวต 60% ซึ่งครั้งนี้อาจจะถึง 30 ล้านคน รองเท้า 60 ล้านคู่

ฉะนั้นหลังเลือกตั้ง ถ้าพรรคฝ่ายค้านรวมได้เกิน 300 ก็ไม่ต้องรีรอลังเล ไม่ต้องรวมเสียงให้ถึง 376 ไม่ต้องพึ่งภูมิใจไทยประชาธิปัตย์ให้ปนเปื้อน ไม่ต้องพึ่งพลังประชารัฐหวังดึง ส.ว.มาเป็นพวก

เพื่อไทยจับมือก้าวไกล ตบเท้าเข้าสภา เสนอชื่อแคนดิเดตพรรคอันดับหนึ่งเป็นนายกฯ ลุยกันซึ่งหน้าเลยครับ ถ้าไม่ยอมรับเสียงประชาชน อะไรจะเกิดก็ให้รู้ไป

จะยุบพรรคตัดสิทธิ วันนี้เครดิต กกต.เหลือแค่ไหนถ้าประกาศผลเลือกตั้งช้า ถือว่าจงใจ ประชาชนมีสิทธิไล่แม้กฎหมายกำหนด 60 วัน แต่ความเป็นจริง 7 วัน 10 วัน ประกาศได้แล้ว จะได้ตั้งรัฐบาลใหม่เดินหน้าประเทศไทย ไม่ใช่ให้รัฐบาลรักษาการอยู่เป็นเดือนสองเดือน ถ้าเป็นแบบนั้นหรือเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่บริหารประเทศไม่ได้ ภาคธุรกิจภาคอุตสาหกรรม ตลาดหุ้น นักลงทุน ก็คงไม่ยอมเหมือนกัน

ฝ่ายประชาธิปไตยต้องปลุกพลังเลือกตั้งให้ล้นหลาม ปลุกความฮึกเหิม เพื่อเตรียมประจัญบานกับ กกต. กับ 250 ส.ว.

พวกเขาอาจปรามาสว่า 4 ปี ม็อบไล่ประยุทธ์ไม่สำเร็จแต่อยากท้าพลังประชาชนหลังเลือกตั้ง เดี๋ยวเห็นกันว่าน้ำบ่าเป็นอย่างไร

ที่มา: ข่าวสดออนไลน์ www.khaosod.co.th/politics/news_7647531

2023-05-14 00:16

“จับโจรโกงเลือกตั้ง” ประชาชนชี้นิ้ว กกต.พาซื่อเหลียวดูข้างหลัง ไม่เห็นมีใคร หันกลับมา นิ้วเกือบทิ่มจมูก

เป็นอย่างนั้นจริงๆ ความพินาศจากการเลือกตั้งล่วงหน้า ยังเชื่อว่า “บกพร่องโดยสุจริต” แต่ กกต.หมดเครดิต ประชาชนไม่ไว้วางใจ เข้าชื่อไล่ล้านกว่าคน พร้อมแฮชแท็ก #กกต.ต้องติดคุก

พูดอย่างนี้ไม่ใช่เชื่อ กกต.เที่ยงธรรม เพราะมาจากสรรหากันเองโดยองค์กรอิสระ ให้ความเห็นชอบโดย สนช.รัฐประหารตั้ง บ่อยครั้งวินิจฉัยไม่เป็นกลาง (ถ้าเพื่อไทยก้าวไกลฉายเลเซอร์สะพานพระราม 8 บ้าง คงโดนอ่วม)

เพียงแต่ความพังย่อยยับในการเลือกตั้งล่วงหน้า ไม่น่าจะ “ตั้งใจโกง” มันสะท้อนความพังอีกด้าน นั่นคือความไร้ประสิทธิภาพในการทำงาน การวางแผนที่ไม่รัดกุม ไม่คิดคำนึงถึงปัญหาที่จะเกิดไว้ล่วงหน้า

เอาง่ายๆ เลยว่า การพิมพ์บัตรเลือกตั้ง ส.ส.เขต เหมือนกันทั้ง 400 เขต ไม่มีชื่อพรรคชื่อผู้สมัคร ก็ถูกทักท้วงอื้ออึงมาก่อนแล้ว ถ้าบัตรพลัดข้ามเขตจะทำอย่างไร กกต.ก็มั่นใจตัวเองเสียเหลือเกิน ไม่มีปัญหา

ใช่ครับ เลือกตั้งใหญ่วันที่ 14 ไม่น่ามีปัญหาเพราะนับที่หน่วย ไม่ใช่เชื่อมั่นกรรมการหน่วยนะ แต่ประชาชนนับล้านๆ จะจ้องจับผิด มีผู้สังเกตการณ์ นับคะแนนกันเอง แต่มันเกิดปัญหาแล้วไงกับการเลือกตั้งล่วงหน้า ที่กรรมการหน่วยกรอกเลขผิด แล้วเอาใส่เข่งจนเป็นดราม่า

กกต.กลางอาจบอกว่าสาธิตวิธีการไปหมดแล้ว กปน.กลับทำผิด แต่คุณไม่คิดให้รัดกุมล่วงหน้า อุตส่าห์เสียงบไปดูงานเมืองนอก

“บกพร่องโดยสุจริต” ของ กกต.จึงไม่สามารถปล่อยลอยนวล เพราะสะท้อนความไร้ประสิทธิภาพจนยับเยิน พูดได้ว่า 25 ปี กกต.จากยุค “ดรีมทีม” ปัจจุบันกลายเป็นขุนนางหัวโขน เคร่งระเบียบกั้นหน้ากั้นหลัง ดันทุรัง ตั้งตนเป็นเจ้านายประชาชน

กระนั้นถ้าจะแก้รัฐธรรมนูญรื้อโครงสร้าง กกต. ก็ต้องลบภาพ “ดรีมทีม” ไปให้หมด รัฐธรรมนูญ 2540 ผิดที่มุ่งสร้างองค์กรเทวดาปราบนักการเมือง แล้วให้อำนาจมากจนล้นเกิน รัฐธรรมนูญ 2550,2560 ยิ่งต่อเติมเป็น “นิติรัฐประหาร”

กกต.ควรเหลือสถานะแค่องค์กรจัดเลือกตั้ง มีอำนาจบางอย่างเช่น สั่งย้ายข้าราชการชั่วคราว สั่งเลือกตั้งใหม่ถ้าส่อทุจริตอื้อฉาวจนประชาชนไม่ยอมรับ (ตัวอย่างเช่นจับแบงก์ร้อยเย็บติดกับแบงก์ยี่สิบ)

คดีทุจริตทั่วไป ควรเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมปกติ อาจกำหนดระยะเวลาให้เร็วจี๋ แต่ไม่ใช่จับซื้อเสียง 2-3 ราย ล้มการเลือกตั้งที่ประชาชนใช้สิทธิหลายหมื่นคน

ยกเลิกอำนาจให้ใบส้มใบแดงใบดำ เพียงเพราะ “เชื่อได้ว่าทุจริต” คำว่า “เชื่อได้ว่า” มันคือศาลเตี้ย แม้ภายหลังให้ส่งศาลเลือกตั้งวินิจฉัย ก็ยังไม่ใช่กระบวนการยุติธรรมปกติ

ขณะเดียวกัน ก็ต้องยกเลิกอำนาจ “ยื้อผลเลือกตั้ง” ที่ให้เวลา กกต.ถึง 60 วัน กว่าจะประกาศผลเลือกตั้ง โดยระหว่างนั้นก็อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงผลแพ้ชนะ ทั้งใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ และใช้เครื่องดูด ส.ส.

หลังเลือกตั้งถ้าฝ่ายค้านชนะ ทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ จะมีหลายประเด็นสำคัญที่ควรแก้ไขเกี่ยวกับระบบเลือกตั้งและ กกต.

1.ยกเลิกใบส้มใบแดงใบดำ กกต.ทำหน้าที่แค่จัดเลือกตั้ง สั่งเลือกตั้งใหม่ในกรณีอื้อฉาวใหญ่โต ลดพนักงานซึ่งส่วนใหญ่เป็นฝ่ายสืบสวนสอบสวน ให้ทำหน้าที่ร่วมกับอัยการ

2.โละข้อห้ามคุณสมบัติจุกจิก ผู้สมัคร ส.ส. รัฐมนตรี ที่เอามาใช้ตัดสิทธิ เพิ่มอำนาจ กกต.อำนาจศาล ไม่ใช่แค่เรื่องถือหุ้นสื่ออย่างพิธา, ธนาธร แต่รวมถึงข้อห้ามเคยติดคุก แบบสิระ เจนจาคะ หรือโดนคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอนคุกไม่ได้ประกัน ตกเก้าอี้ ส.ส.อย่างแกนนำ กปปส.

มันมาจากทัศนะดูถูกประชาชน คนเคยติดคุกถ้ากลับตัว สมัคร ส.ส.ไม่ได้หรือไง ก็ให้ผู้สมัครคู่แข่งเอามาแฉ โดยยกเลิกข้อห้าม “ให้ร้ายป้ายสี” แจกใบแดงใบดำ การเลือกตั้งต้องด่ากันเป็นธรรมชาติ กลับให้นั่งพับเพียบเรียบร้อย ถ้าปราศรัยให้ร้ายเดี๋ยวเขาฟ้องเรียกค่าเสียหายกันเอง

3.ยกเลิกบทบัญญัติยุบพรรค ใช้มาตรฐานสากล ยุบต่อเมื่อพรรคการเมืองประกาศใช้แนวทางยึดอำนาจด้วยอาวุธ ไม่ใช่วิถีเลือกตั้ง เท่านั้นเอง ความผิดอื่นเป็นเรื่องส่วนบุคคล

รัฐธรรมนูญ 2540 เคยกำหนด ถ้ารู้ว่าใครจะล้มล้างการปกครองให้ร้องศาลรัฐธรรมนูญ เจตนารมณ์คือให้ต้านรัฐประหาร แต่นิติรัฐประหารเอามาใช่เล่นงานพรรคการเมือง นี่คือเรื่องทุเรศที่สุด

4.ถ้าไม่มีเรื่องคุณสมบัติ เรื่องยุบพรรค ไม่เขียนบทบัญญัติให้ยุ่งยากตีความ ก็ยุบศาลรัฐธรรมนูญด้วย ใช้ระบบตั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญขึ้นมาพิจารณาทีละคดี เหมือนก่อนมีรัฐธรรมนูญ 2540

5.ระบบเลือกตั้ง น่าจะเป็นฉันทามติว่า ต้องใช้บัตร 2 ใบ เบอร์เดียวกันทั้งประเทศ ทั้งพรรคทั้งคน ที่มันผิดเพี้ยนพิกลอยู่นี้เป็นเพราะระบบรัฐธรรมนูญ 60 แก้ไม่สะเด็ดน้ำ 250 ส.ว.เลือกร่างพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งดันแก้แค่ครึ่งระบบ

อย่างไรก็ดี ระบบเลือกตั้งยังมีข้อชวนคิด ว่าเป็นความจริงที่ระบบ 2540 “พรรคใหญ่ได้เปรียบ” และคะแนนเสียงประชาชนที่เลือก ส.ส.พรรคที่แพ้ “ตกน้ำ” แม้ยังมีบัตรพรรค แต่สัดส่วน ส.ส. 400-100 ก็ยังไม่สามารถทดแทนอย่างเป็นธรรม

ระบบที่เป็นธรรมที่สุดตอบสนองความหลากหลายทางการเมืองคือระบบ MMP ของเยอรมัน หรือไม่เช่นนั้นก็เพิ่มสัดส่วน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ให้พรรคกลางพรรคเล็กได้ ส.ส.มากขึ้น

พูดอย่างนี้ ก้าวไกลได้เปรียบ? ไม่ใช่เลย พรรคเสรีรวมไทย พรรครวมไทยสร้างชาติ ก็ได้เหมือนกัน สมมติรวมไทยสร้างชาติได้คะแนนนิยม 10% ทั้งประเทศ ก็ควรได้ ส.ส. 50 คน เป็นธรรมที่สุด

นี่จะแก้ปัญหา “ตัดคะแนนกันเอง” ไปในตัว ไม่ว่าพรรคฝั่งประชาธิปไตยหรือฝั่งอนุรักษนิยม

เฉพาะหน้า ยังไม่แก้รัฐธรรมนูญ ประชาชนก็ต้องช่วยกันตรวจสอบเลือกตั้ง ปลุกความไม่ไว้วางใจ กกต.เป็นพลัง

ในประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยเสียงด่า ต้องกดดัน กกต.ให้ไม่กล้าใช้อำนาจ แล้วการเลือกตั้งจะบริสุทธิ์ยุติธรรม

ที่มา: ข่าวสดออนไลน์ www.khaosod.co.th/politics/news_7658730

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar