4 ปีคนตลก คอลัมน์ ใบตองแห้ง
4 ปีใครว่าสูญเปล่า ประเทศเราได้อะไรตั้งเยอะ อย่างน้อยก็ได้เห็นคนเคยขัดขวางเลือกตั้ง กลับมาหลั่งน้ำตา กลายเป็นคนอยากเลือกตั้งใครว่าตระบัดสัตย์ก็ช่าง ขอยืนเคียงข้างพี่น้องประชาชน ไม่ได้ร้องไห้เล่นละครตบตา เพราะวันนี้ประชาชนมาไกล จับทางคนโกหกหลอกลวงได้ตั้ง 4 ปีแล้วนะ
4 ปีผ่านไป นักกีฬาไทยประสบความสำเร็จมากมาย โปรเม โปรโม น้องเมย์ ศรีสะเกษ ฯลฯ เข้าทำเนียบพบลุงตู่ เชิดชูสปิริต เป็นแบบอย่างเด็กเยาวชน
แต่ต่างคนต่างทำหน้าที่ รัฐมนตรีไม่ใช่นักกีฬา ถ้าจะถามหาสปิริตจึงต้องถามนักกีฬา ไม่ใช่งานถนัดของรัฐมนตรี รู้ไว้ด้วยนะ
4 ปีผ่านไป เรามีผู้นำที่ยิ่งใหญ่ มีเกียรติมีศักดิ์ศรี ทำงานหนักกว่าทุกรัฐบาล สั่งการทั้ง 21 กระทรวง ได้ผลงานอย่างหนา เป็นคืบเป็นศอก ออกซิงเกิล 6 แผ่น เราจะทำตามสัญญา
แต่ท่านบอกว่า ความผิดของท่านมีอย่างเดียวคือความเป็นมนุษย์ ซึ่งต้องมีผิดพลาด มีโมโห มีโกรธ ฉะนั้นอย่าด่าว่าให้ร้าย อย่าหมิ่นตำแหน่งนายกฯ ด่าท่านด่าได้ แต่เป็นนายกฯ อยู่ให้ระวัง
ปัดโธ่ 4 ปีผ่านไป คนไทยก็เรียนรู้การใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง อดทนอดกลั้น ตัวลีบอยู่แล้วครับ เพียงแต่ในยุคสมัยที่น้องตั๊น จิตภัสร์ ไม่มีเงินประกันตัว เพนกวินกินมาม่าซ้อมอดอยาก เด็กอนุบาลกินขนมจีนราดน้ำปลา มนุษย์อีก 60 ล้านก็ต้องหาอารมณ์ขันประทังชีวิต ต้องล้อเลียนกันบ้างเป็นทางระบาย ยุคนี้สมัยนี้ ใครไม่ล้อการเมืองกลายเป็นตกเทรนด์ ขนาดเพจโรงหนังยังล้อ “สปิริต” ให้กดปุ่มหัวเราะถล่มทลาย ถ้ามัวแต่ถือสาหาความ โกรธคลิปนิสิตล้อเลียน เดี๋ยวเส้นเลือดแตกเปล่าๆ
เคยสังเกตไหม 4 ปีรัฐประหาร แม้อยู่ในยุคปิดกั้น วิพากษ์วิจารณ์แรงๆ ไม่ได้ แต่ก็มากมายด้วยการประชดประเทียดเสียดสี เรียกอารมณ์ขัน ไม่งั้นเพจอย่าง “ไข่แมว” “คาราโอเกะชั้นใต้ดิน” คงไม่โด่งดัง นี่ถ้าลองสำรวจ นอกจากคนไทยจะใช้เฟซบุ๊กอันดับต้นๆ ของโลก ยังอาจใช้ปุ่มหัวเราะมากที่สุดในโลก
ยกตัวอย่างง่ายๆ แค่ “สิทธิมนุษยชนเป็นวาระแห่งชาติ” ก็เรียกเสียงหัวเราะจนน้ำหูน้ำตาไหล ไม่ต่างจากบอกให้ประชาชน “เคารพกฎหมาย” แล้วออกคำสั่งเป็นกฎหมาย บังคับให้ต้องทำตาม
ในแง่ “สปิริต” ใครเอ่ยบอกว่าถ้าประชาชนไม่ต้องการ พร้อมจะไป แต่พอมีคนออกไปบอกว่าไม่ต้องการ ก็กลายเป็น “ทำผิดกฎหมาย” เข้าชื่อในเว็บไซต์ ก็ย้อนถามเจตนาอะไร นี่ยังไม่พูดถึงคนขาดประชุม ก็ไม่ผิดเพราะมีภารกิจเพื่อชาติ รับเงินเดือนหลายทาง ก็ยังบ่นว่าเงินน้อยกว่านักการเมืองเพื่อนบ้าน
4 ปีที่ผ่านไป ไม่ปฏิเสธว่ารัฐบาลพยายามสร้างผลงาน โดยเฉพาะการลงทุนด้านสาธารณูปโภค รถไฟฟ้า รถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ ไปจนทางจักรยาน แต่นั่นคือการลงทุนด้าน Hardware หรือโครงสร้างทางวัตถุ แต่ Software โครงสร้างทางสังคม ตั้งแต่กฎ กติกา ความคิด วัฒนธรรม การศึกษา ปั่นป่วนผิดเพี้ยนแทบล้มละลาย
ในทางกฎกติกา เราไม่มีนิติรัฐ ระบอบการปกครองด้วยกฎหมาย เราอยู่ใต้ระบอบที่ออกคำสั่งเป็นกฎหมายมา 4 ปี แม้มีรัฐธรรมนูญ คำสั่งก็ยังอยู่เหนือรัฐธรรมนูญ ยังมองไม่เห็นว่าจะกลับสู่ระบบกฎหมายที่เป็นเหตุเป็นผลได้เมื่อใด
ในแง่ความคิด วัฒนธรรม เราได้เห็นการฟื้นฟูวิธีอบรมบ่มสอนแบบบังคับเสื้อผ้าหน้าผม ด้วยความปรารถนาดี เพื่อให้เด็กโตมา “อยู่เป็น” ในสังคมอำนาจนิยม หรือถ้ามีอารมณ์เพศ พวกเธอก็ต้องรู้จักปกปิด ยับยั้งชั่งใจ หันไปนั่งสมาธิ เล่นกีฬา
ปุ่มหัวเราะความคิดจารีต “คนดี” เผลอๆ ถล่มทลายกว่าล้อการเมืองด้วยซ้ำ นี่คือภาพสะท้อนอำนาจทางวัฒนธรรมที่กำลัง fail จนคนรุ่นใหม่ไม่เชื่อมั่น มิพักต้องพูดถึงการศึกษา มหาวิทยาลัยไทยอาจไม่ติดอันดับหนึ่งของโลก แต่สามารถคิดระบบสอบเข้าที่ปวดเศียรเวียนเกล้าที่สุดในโลก
ไม่ใช่โทษรัฐบาลนี้เสียหมดหรอก เพราะสังคมไทยเดินสู่วิกฤตมาสิบกว่าปี แต่การใช้วิธีแก้ไขด้วยอำนาจบังคับ จับประเทศเข้าระบอบย้อนยุค แล้วพยายามจะทำให้คนเชื่อฟัง ทั้งที่ฝีกำลังแตกในหลายๆ ด้าน มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสำเร็จ นอกจากลากถูกันไป โดยไม่รู้ว่าอนาคตจะดีร้ายอย่างไร
ในระหว่างนี้ ก็ปล่อยให้ชาวบ้านหัวเราะล้อเล่นกันไปดีกว่าหน้าดำคร่ำเครียด ชาวบ้านเห็นเป็นคนตลก ยังดีกว่าเห็นเป็นผู้ร้าย
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar