กษัตริย์ผู้ไม่อาจรั้งประชาธิปไตย
รัชกาลที่
๗
รัชกาลที่ ๗
กษัตริย์ผู้ไม่อาจรั้งประชาธิปไตย
ก่อนหน้ารัชกาลที่ ๗ นั้น รัชกาลที่ ๕
และรัชกาลที่ ๖ ทรงต่อต้านประชาธิปไตยมาก รัชกาลที่ ๕
หาว่าพวกที่สนับสนุนระบบรัฐสภานั้น “พูดไปโดยรู้ งูๆ ปลาๆ.......” (๑)
เพราะฝันเฟื่องไปว่า ตนเองซึ่งเป็นกษัตริย์ “.....จะทรงประพฤติการณ์อันใด
ก็ต้องเป็นไปตามทางที่สมควรและยุติธรรม” (๒) และหลงว่าถึงจะมีสส.
คนก็คงเชื่อกษัตริย์มากกว่าสส.(๓) ส่วนรัชกาลที่ ๖
ก็แสดงความเห็นไว้ในหนังสือเรื่อง “ฉวยอำนาจ” ว่าการปกครองแบบเก่าสมบูรณ์ที่สุด
เพราะว่า “มีราชาเป็นสง่าแห่งแคว้น” และพยายามต่อต้านระบบประชาธิปไตยอย่างรุนแรง
ประดุจผู้ที่ปิดหูปิดตาตนเอง โดยดึงเอาระบบประชาธิปไตยไปพัวพันกับความจลาจลวุ่นวาย
ดังจะเห็นได้จากบทความเรื่อง “ความกระจัดกระจายแห่งเมืองจีน” และ
“การจลาจลในรัสเซีย” ซึ่งพระองค์แปลมาจากภาษาอังกฤษ
เพื่อปกป้องสถานภาพที่ได้เปรียบของตนไว้
ความคิดที่ล้าหลังของกษัตริย์ทั้งสอง
ขัดขวางความก้าวหน้าของประเทศชาติ
จึงถูกผู้ที่รักชาติต่อต้านตลอดมาซึ่งจากบันทึกของรัชกาลที่ ๗
ได้ชี้ว่าตั้งแต่ปลายรัชกาลของรัชกาลที่ ๕ แล้ว
ที่มีผู้วิพากษ์วิจารณ์กษัตริย์ในแง่ลบมากขึ้น(๔)
บันทึกนั้นมีสาระตรงกับความคิดของเจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกประชานาถที่ว่า
“นับแต่ปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเป็นต้นมา
ความเชื่อมั่นในพระบรมราโชบาย......ดูเบาบางลง เกิดมีความเห็นว่า
ทำอย่างนั้นจะดีกว่า ทำอย่างนี้จะดีกว่า ทำอย่างนั้นเป็นการเดือดร้อนแก่ราษฎร....”
(๕)
สำหรับรัชกาลที่ ๗ นั้น มีความทันสมัยกว่าพี่ชายและพ่อ คือเห็นว่า “.....ฐานะของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นสิ่งที่ตกอยู่ในสภาวะลำบาก ความเคลื่อนไหวทางความคิดในประเทศ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ระยะเวลาของระบบเอกาธิปไตยเหลือน้อยเต็มที....” (๖)
สำหรับรัชกาลที่ ๗ นั้น มีความทันสมัยกว่าพี่ชายและพ่อ คือเห็นว่า “.....ฐานะของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นสิ่งที่ตกอยู่ในสภาวะลำบาก ความเคลื่อนไหวทางความคิดในประเทศ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ระยะเวลาของระบบเอกาธิปไตยเหลือน้อยเต็มที....” (๖)
แต่ถึงพระองค์จะรู้เช่นนี้และมีโอกาสเป็นกษัตริย์อยู่หลายปี
ก็มิได้ผลักดันให้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆให้เกิดขึ้นในเวลาอันสมควร
จนทำให้สถานการณ์ทั้งทางเศรษฐกิจ การเมืองเลวร้ายลงทุกที แม้หนังสือพิมพ์ เช่น
นครสาร, บางกอกการเมือง, ปากกาไทย, สยามรีวิว, ศรีกรุง และไทยหนุ่ม
จะเรียกร้องให้มีการแก้ไขปัญหาประชาธิปไตยและเศรษฐกิจ นสพ.ไทยหนุ่ม ฉบับเดือน ก.ค.
๒๔๗๐ ถึงกับเสียดสีพวกศักดินาว่า “....อย่าว่าแต่ราษฎรที่ไม่ได้รับการศึกษา
จะเป็นพลเมืองที่ถ่วงความเจริญของประเทศเลย ถึงพระเจ้าแผ่นดินที่มีชีวิตไม่เต็มความ
ก็เป็นภัยกับประเทศเหมือนกัน.....”
แต่พวกเจ้า ก็ยังแสดงทีท่าว่าเป็นพระอิฐพระปูน สิ่งนี้ทำให้เกิดกรณีการเปลี่ยนแปลงในปี ๒๔๗๕ โดยคณะราษฏรได้ทำปฏิวัติโค่นล้มกษัตริย์รัชกาลที่ ๗ ลง อันเป็นฝันร้ายของพวกศักดินา พวกอนุรักษ์นิยมที่จะต้องจดจำไปตลอดชีวิต และก็เพราะเหตุการณ์นี้เองที่ทำให้รัชกาลที่ ๗ ต้องสละราชสมบัติจึงเป็นจุดจบของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาจนทุกวันนี้
หลักฐานอ้างอิง
๑. พระจุลจอมเกล้า “พระบรมราชาธิบายว่าด้วยความสามัคคี” หนังสืออ่านประกอบคำบรรยายวิชาพื้นฐานอารยธรรมไทย (เรื่องเดิม) หน้า ๒๔๐
๒. พระจุลจอมเกล้า “พระราชดำรัสลงในพระบรมราชาธิบายแก้ไขการปกครอง” หนังสืออ่านประกอบคำบรรยายฯ ( เรื่องเดิม) หน้า ๒๓๕
๓. เรื่องเดิม หน้า ๒๓๕
๔. กจช. เอกสาร ร.๗ สบ.๒.๔๗/๓๒ เล่ม ๓ บันทึกเรื่องการปกครอง (๒๓ก.ค.-๑ส.ค.๒๔๖๙) พระราชหัตถเลขา ร.๗ ถึง ดร.ฟรานซิส บีแซร์
๕. กจช. เอกสารสมัย ร.๖ หมายเลข ก๑/๒ ลายพระหัตถเลขา เจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกฯ ทูล ร.๖ วันที่ ๒๔๕๔
๖. กจช. เอกสาร ร.๗ สบ.๒.๔๗/๓๒ เล่ม ๓ บันทึกเรื่องการปกครอง (๒๓ก.ค.-๑ส.ค.๒๔๖๙) จดหมาย ร.๗ ถึง ดร.ฟรานซิส บีแซร์
ผู้สนใจสามารถศึกษาเพิ่มเติมจากหนังสือเกี่ยวกับประวัติงาน ของเทียนวรรณ กx.ร.กุหลาบ เช่น ฟื้นอดีต ของ แถมสุข นุ่มนนท์
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar