ภาพภายนอกที่ชูพิธา เป็นภาพอิโนเซนซ์ ตราบใดที่ไม่มีเรื่องสถาบันกษัตริย์เข้าเกี่ยวข้อง ยิ่งกว่านั้น พิธายังไงก็จะไปอยู่แล้ว แต่ตำแหน่งประธานสภาอยู่ยาว 4 ปี (2/2)
ทั้งสองฝ่ายมองตรงกันข้ามกัน: ทุกอย่างที่จีนทำเป็นเรื่องถูก ทุกอย่างที่อเมริกาทำเป็นเรื่องผิด และกลับกัน เรื่องนี้เป็นเรื่องอธิบายยาก ต้องใช้เวลานาน ทางออกของคนที่ไม่เห็นด้วยกับทั้งสองฝ่ายคือมักหลีกเลี่ยงไม่พูดเลย (2/3)
ข้อเสียเปรียบอย่างหนึ่งคือ ไม่มีสื่อระดับสากลที่มีจุดยืนห่างจากสองพวกนี้ โดยมากมักเข้าข้างพวกใดพวกหนึ่ง และเรามักจะอยู่ภายใต้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเสียจนมองไม่เห็นว่า มีจุดยืนที่ไม่ใช่สองอย่างนี้ (3/3)
....................................................................................
กฎแห่งการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่งทั้งหลาย
“สิ่งทั้งหลายในโลกนี้เป็นอนิจจัง ไม่มีสิ่งใดนิ่งคงอยู่กับที่
ทุกสิ่งที่มีอาการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่หยุดยั้ง”
สสารวัตถุที่ประกอบขึ้นโดยพลังของธรรมชาติ หรือ โดยพลังของมนุษย์ ซึ่งเรามองด้วยตาเปล่าอาจเห็นว่าไม่เคลื่อนไหวนั้น ความจริงมีการเคลื่อนไหวภายในตัวของสิ่งนั้นๆ คือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเปลี่ยนแปลงจากความเป็นสิ่งใหม่ไปสู่ความเป็นสิ่งเก่า
พืชพันธุ์ รุกขชาติ และสัตวชาติทั้งปวง รวมทั้งมนุษยชาติที่มีชีวิตนั้น เมื่อได้เกิดมาแล้วก็เคลื่อนไหวเปลี่ยนเปลงโดยเจริญเติบโตขึ้นตามลำดับ จนถึงขีดที่ไม่อาจเติบโตได้อีกต่อไป แล้วก็ดำเนินสู่ความเสื่อมและสลายในที่สุด ชีวิตย่อมมีด้านบวก กับ ด้านลบ มีส่วนที่เกิดใหม่ ซึ่งเจริญงอกงามกับส่วนเก่าที่เสื่อม ซึ่งกำลังดำเนินไปสู่ความสลายแตกดับ ด้านบวก หรือ ด้านลบ หรือ สิ่งใหม่กับสิ่งเก่าย่อมโต้อยู่ในตัวภายในของชีวิตนั่นเอง ซึ่งทำให้ชีวิตมีการเคลื่อนไหว
“มนุษยสังคม” หรือ เรียกสั้นๆ ว่า “สังคม” ก็มิอาจหลีกเลี่ยงให้พ้นไปจากกฎแห่งอนิจจังดังกล่าวข้างต้น กล่าวคือ สังคมมีอาการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่หยุดยั้ง สังคมย่อมมีด้านบวกกับด้านลบภายในสังคมนั่นเอง คือ มีสภาวะใหม่ที่เจริญงอกงาม และสภาวะเก่าที่เสื่อมซึ่งดำเนินไปสู่ความสลายแตกดับ สังคมของมนุษย์มีพลังใหม่ซึ่งเป็นด้านบวก และมีพลังเก่าซึ่งเป็นต้านลบที่ปะทะกันอยู่ อันทำให้สังคมเคลื่อนไหวไปทำนองเดียวกันกับสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายตามกฎของธรรมชาติ พลังเก่าเสื่อมสลายไป ระบบสังคมของพลังเก่าก็เสื่อมสลายไปด้วย พลังใหม่ที่เจริญเติบโต ระบบสังคมของพลังใหม่ก็เจริญเติบโตไปด้วย สภาวะเก่าหลีกเลี่ยงจากความเสื่อมสลายไปไม่พ้น ส่วนสภาวะใหม่ก็ต้องดำเนินไปสู่ความเจริญซึ่งพลังเก่าไม่อาจต้านทานไว้ได้ ดังนั้นสภาวะใหม่ย่อมได้รับชัยชนะต่อสภาวะเก่าในวิถีแห่งการปะทะระหว่างด้านบวกกับด้านลบตามกฎธรรมชาติ
สภาวะใหม่ที่ได้ชัยชนะต่อสภาวะเก่านั้น มิอาจรักษาความเป็นสภาวะใหม่ไว้ได้ตลอดกัลปาวสาน เพราะสภาวะใหม่นั้นก็ต้องดำเนินไปตามกฎแห่งอนิจจัง คือ เมื่อเติบโตจนถึงขีดที่ไม่อาจเจริญต่อไปอีกแล้ว ก็ดำเนินเข้าสู่ความเสื่อมโดยมีสภาวะที่ใหม่ยิ่งกว่าเกิดขึ้นมาปะทะและได้ชัยชนะรับช่วงเป็นทอดๆ ไป
ในระยะหัวต่อหัวเลี้ยวระหว่างระบบเก่ากับระบบใหม่นั้น เราอาจเห็นในบางสังคมว่าระบบเก่าที่สลายไปแล้าได้กลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกทั้งระบบ หรือ ส่วนใดส่วนหนึ่งของระบบ ดูประหนึ่งว่าระบบเก่า หรือ ส่วนของระบบเก่าจะวกกลับมาตั้งมั่นอยู่ต่อไป และคล้ายกับเป็นวิถีที่แย้งกฎแห่งอนิจจัง
แต่สิ่งที่ลวงตาเช่นนั้นเป็นเรื่อง ชั่วคราว ตามวิถีแห่งการปะทะในระยะหัวต่อหัวเลี้ยว ทั้งนี้ก็เพราะระบบเก่ายังคงมีพลังที่ตกค้างอยู่ จึงดิ้นรนตามกฎที่ว่า“สิ่งที่กำลังจะตายย่อมดิ้นรนเพื่อคงชีพ” การต่อสู้ทำนองนี้อาจเป็นไปได้หลายยก โดยต่างฝ่ายต่างผลัดกันชนะ ผลัดกันแพ้ ระบบของสังคมในระยะหัวต่อเช่นนั้น ย่อมมีลักษณะปลีกย่อยต่างๆ ที่ได้รับการแก้ไขให้เหมาะแก่สถานการณ์ของฝ่ายชนะ แต่ในที่สุดพลังเก่าพร้อมทั้งระบบก็หลีกเลี่ยงไปไม่พันจากกฎแห่งอนิจจัง และระบบใหม่ที่ได้ชัยชนะนั้นก็ดำเนินไปตามกฎอันเดียวกันโดยมีระบบที่ใหม่ยิ่งกว่ารับช่วงเป็นทอดๆ ต่อไป ดังที่ปรากฏตามรูปธรรมของมนุษยสังคมมากหลายในสากลโลก
เมื่อกล่าวถึง “พลังตกค้าง” แห่งระบบเก่า เราจำต้องทำความเข้าใจว่าพลังตกค้างนั้น มิใช่บุคคลในวรรณะเก่าเสมอไป เพราะบุคคลในวรรณะเก่าบางคนเป็นผู้ก้าวหน้าที่มองเห็นกฎแห่งอนิจจัง ถือเอาประโยชน์ส่วนรวมของสังคมเหนือกว่าประโยชน์ของวรรณะโดยเฉพาะเป็นผู้ที่มีศีล มีสัตย์ ซึ่งสมควรได้รับความเคารพสรรเสริญ นักปราชญ์ซึ่งเป็นต้นฉบับแห่งวิทยาศาสตร์ทางสังคมสมัยใหม่ กล่าวไว้ตามรูปธรรมที่เห็นจริงว่า
“ในที่สุด ขณะที่การต่อสู้ของวรรณะจวนจะถึงความเด็ดขาด ความเสื่อมสลายกำลังดำเนินไปภายในวรรณะปกครอง ที่จริงนั้นคือภายในสังคมเก่า ทั้งกระบวนการดั่งว่านั้นรุนแรงและเกรี้ยวกราด จึงมีชนในวรรณะปกครองส่วนน้อยแผนกหนึ่งละทิ้งวรรณะของตน และเข้าร่วมในวรรณะอภิวัฒน์ซึ่งเป็นวรรณะที่กุมอนาคตไว้ในมือ ดั่งเช่นเดียวกับในสมัยก่อน ซึ่งส่วนหนึ่งของวรรณะขุนนางได้ไปเข้ากับวรรณะเจ้าสมบัติ (นายทุนสมัยใหม่)
ดังนั้นในสมัยนี้ ส่วนหนึ่งของวรรณะเจ้าสมบัติก็ไปเข้าข้างวรรณะผู้ไร้สมบัติ โดยเฉพาะส่วนหนึ่งของวรรณะเจ้าสมบัติผู้มีปัญญา ที่ได้พยุงตนขึ้นสู่ระดับที่เข้าใจทฤษฎีแห่งขบวนวิวรรตการทั้งปวง”
ในทางตรงกันข้ามกับบุคคลที่กล่าวในวรรคก่อน ความจริงก็ปรากฏว่า มีบุคคลซึ่งดูเหมือนจะเป็นวรรณะใหม่แต่ไม่เข้าใจกฎแห่งอนิจจัง โดยถือว่าสภาวะเก่าเป็นของถาวร และไม่พอใจในความพัฒนาของสภาวะใหม่ที่ต้องเป็นไปตามกฎธรรมชาติ บุคคลจำพวกนี้อาจไม่ใช่หน่อเนื้อเชื้อไขของวรรณะเก่าแต่บำเพ็ญตนเป็น “สมุนของพลังเก่า” ยิ่งกว่าบุคคลแห่งอันดับสูงของวรรณะเก่า
ทั้งนี้ก็เพราะพลังเก่าที่สลายไปนั้นได้สูญสิ้นไปเฉพาะรูปภายนอกของระบบการเมือง แต่บุคคลเก่ายังแฝงอยู่ในกลไกอำนาจรัฐและอำนาจเศรษฐกิจ ซึ่งยังคงมีทรรศนะทางสังคมตามระบบเก่าที่ล้าหลัง สิ่งตกค้างของระบบเก่าชนิดนี้มีทรรศนะที่ผิดจากกฎธรรมชาติยิ่งกว่าบุคคลก้าวหน้าแห่งวรรณะเก่าเอง
ฉะนั้นจึงดำเนินการโต้กฎธรรมชาติและกฎแห่งอนิจจัง
ดึงสังคมให้ถอยหลังเข้าคลองยิ่งกว่าพวกถอยหลังเข้าคลองที่จำต้องเป็นไปตามสภาวะของเขา
แต่อย่างไรก็ตาม การดึงให้สังคมถอยหลังก็เป็นไปเพียงชั่วคราว
เพราะในที่สุดกฎแห่งอนิจจังต้องประจักษ์ขึ้น
ที่มา: ปรีดี พนมยงค์. กฎแห่งการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่งทั้งหลาย, ใน, ความเป็นอนิจจังของสังคม. (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์สายธาร 2552, พิมพ์ครั้งที่ 10) น.31-34
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar