fredag 18 januari 2013

ความขัดแย้งทางการปกครองระหว่างระบอบอมาตยาธิปไตยกับระบอบประชาธิปไตย.!

โดย  ปูนนก

ผมไม่เคยได้ยินแม้แต่ครั้งเดียวว่า ท่านนายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร, รองนายกเฉลิม อยู่บำรุง หรือแม้กระทั่ง สส. หรือ รมต. ในรัฐบาลคณะนี้หลายๆ ท่านได้ประกาศตัวอย่างชัดเจนว่า “รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลของคนเสื้อแดง หรือของประชาชนผู้รักประชาธิปไตยอย่างแท้จริงแต่อย่างใด” ประเทศไทยก็เสมือนเด็กที่กำลังจะจมน้ำอยู่กลางสระ ไม่มีใครที่กล้าหาญพอที่จะกระโดดลงมาช่วยด้วยกำลังของตนเอง แต่ทว่าเมื่อ พตท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร แสดงความหาญกล้าเข้ามาเพื่อต้องการช่วยเหลือประเทศไทย..เพียงแค่คิดและลงมือ ทำไปบางส่วนเท่านั้น.. เขาก็ถูกถีบให้ตกลงมาในสระน้ำแห่งความขัดแย้งทางการปกครองระหว่างระบอบอมา ตยาธิปไตย กับระบอบประชาธิปไตย โดยไม่ทันตั้งตัว
ซึ่งผมเชื่อว่า ดร. ทักษิณ เองก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะเข้ามาทำให้เกิดความขัดแย้งเช่นนั้น (เพราะท่านมีวิญญาณแห่งความเป็นนักธุรกิจและความจงรักภักดี ไม่ใช่วิญญาณแห่งนักปฏิวัติ) ดังนั้นสิ่งที่เรา (คนเสื้อแดง และประชาชนผู้รักประชาธิปไตย) ได้พยายามต่อสู้กันมาเพื่อเรียกร้องให้ได้ความเป็นประชาธิปไตยในประเทศนี้ โดยชูท่านอดีตนายกทักษิณ ชินวัตร เป็น Idol และคาดหวังว่า ด้วยสิ่งที่ท่านได้รับความอยุติธรรมตลอดหลายปีมานี้ ต้องบ้านแตกสาแหรกขาด ถูกยึดทรัพย์ ถูกไล่ล่าข้ามโลก จะทำให้ท่าน ดร. ทักษิณ เปลี่ยนจิตวิญญาณจากนักธุรกิจมาเป็นวิญญาณแห่งการเป็นนักปฏิวัตินั้น จึงเป็นสิ่งที่ค่อนข้างจะเป็นไปได้ยาก

คำพูดที่ท่านอดีตนายกทักษิณ โฟนอิน เข้ามาในท่ามกลางการชุมนุมของคนเสื้อแดงในทุกๆ ครั้งที่ผ่านมานั้น ท่านมักจะพูดถึงโอกาสในการพัฒนาประเทศ พูดถึงศักยภาพของประเทศไทยที่จะสามารถแข่งขันกับต่างชาติได้ พูดถึงสิ่งที่ท่านได้พบเห็นมาในขณะที่ท่านยู่ต่างประเทศและต้องการนำมาปรับ ใช้ในการพัฒนาประเทศเพื่อให้ประชาชนอยู่ดีมีสุข.... แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่ท่านอดีตนายกทักษิณ จะพูดในสิ่งที่เป็นแนวทางการต่อสู้กับระบอบเผด็จการอมาตย์อย่างชัดเจนตรงไป ตรงมา ทั้งๆ ที่ท่านก็รู้ว่า ไม่ว่าจะทำดีเช่นไร ฝ่ายเผด็จการอมาตย์ก็ไม่ยอมรับในสิ่งที่ท่านอดีตนายกทักษิณ และคนเสื้อแดงกระทำให้ อย่างแน่นอน ฆ่าได้เป็นฆ่า ทำลายได้เป็นทำลาย ตัดสินให้ติดคุกได้พวกเขาก็จะทำ ไม่มีทางที่พวกเผด็จการจะปล่อยพวกเราเอาไว้แน่

การโฟนอินเข้ามาที่โบนันซ่า ในครั้งล่าสุดของท่านอดีตนายกทักษิณ ก็เช่นเดียวกับในครั้งก่อนๆ ที่ผ่านมา ไม่ได้มีเนื้อหา หรือโครงเรื่องที่ต่างไปจากเดิมแม้แต่น้อย การแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้กำลังจะกลายเป็นประเด็นร้อนที่ทำให้การต่อสู้ ทางการเมืองที่จะมีต่อไปนี้ จะถึงขั้นปะทะกันอย่างตรงๆ ด้วยมวลชนที่มีความคิดและแนวทางแตกแยกกันเป็นสองฝ่าย และไม่สามารถที่จะประนีประนอมต่อกันได้อีกแล้ว ซึ่งในการต่อสู้ครั้งนี้ถ้าฝ่ายประชาธิปไตยพ่ายแพ้ก็จะต้องพ่ายแพ้ไปอีกนับ สิบๆ ปี และท่านอดีตนายกทักษิณ ก็คงจะไม่ได้กลับประเทศไทยอีกเลยเฉกเช่นเดียวกันกับ ดร. ปรีดี พนมยงค์ ในอดีต แต่ตรงข้ามถ้าฝ่ายประชาธิปไตยชนะ ประชาชนและประเทศชาตินี้ก็จะได้พลิกฟื้นกลับขึ้นมารุ่งโรจน์ได้ดังที่ควรจะ เป็น

ท่านอดีตนายกทักษิณ พูดหลายครั้งว่า ท่านเป็นนักสู้ และไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ถ้าได้ต่อสู้แล้วจะไม่ยอมจำนน ท่านพูดเสมอว่าแต่ทว่า...เมื่อการต่อสู้กับเผด็จการอมาตย์เข้ามาสู่จุดแตก หัก ที่จะชี้ชะตาว่าใครจะอยู่ใครจะไปทีไร ก็“ท่านรักคนเสื้อแดง และพี่น้องผู้รักประชาธิปไตยและร่วมต่อสู้มาด้วยกันทุกคน”ท่านอดีต นายกทักษิณ นี่แหละที่เข้ามาเป็นผู้ถอดชนวนการต่อสู้นี้เสียทุกครั้ง จะด้วยเหตุผลใด หรือจุดมุ่งหมายใดก็เหลือจะเดา แต่ทุกครั้งที่ท่านอดีตนายกทักษิณ เข้ามาถอดชนวนการปะทะขั้นแตกหักนี้ทีไร ผลที่ตามมาก็คือฝ่ายเผด็จการอมาตย์ก็มักจะได้ทีและเข้ามารุกไล่พี่น้องคน เสื้อแดง และประชาชนผู้รักประชาธิปไตยอย่างเอาเป็นเอาตายทุกทีไป โดยที่ฝ่ายคนเสื้อแดงแทบจะไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ จากการถอดชนวนความขัดแย้ง ครั้งแล้วครั้งเล่าโดยท่านอดีตนายกทักษิณ นี้เลย


ผมคงจะไม่วิเคราะห์วิจารณ์อะไรเกี่ยวกับ แนวทาง ความคิดของการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้อีกเพราะมีพี่น้องจำนวน มากได้แสดงความเห็นกันอย่างกว้างขวางแล้วในเรื่องการทำประชามติ หรือการโหวตวาระ 3 ในทันที ซึ่งแต่ละท่านผู้อ่านย่อมมีวิจารณญานในส่วนตัวของท่านเองได้เป็นอย่างดีว่า เห็นชอบกับสิ่งใดที่จะกระทำก่อนกัน แต่อย่างไรก็ดีการโฟนอินที่โบนันซ่า ครั้งนี้ของท่านอดีตนายกทักษิณ ท่านได้แสดงชัดแล้วว่า “ท่านเลือกที่จะถอย..ไม่เข้าปะทะ” ทั้งๆ ที่ไม่ว่าท่านจะถอยโดยการรณรงค์ให้มีการทำประชามติ หรือหักดิบด้วยการโหวตวาระ 3 ทันที ผลก็ไม่แตกต่างกันก็คือ ฝ่ายเผด็จการอมาตย์ก็จะไม่ยอมให้มีการผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี 50 นี้อย่างแน่นอน การปะทะกันทางความคิดและอาจจะขยายผลไปสู่ความรุนแรงจะต้องเกิดขึ้นอย่าง เลี่ยงไม่ได้
ท่านนายกทักษิณเลือกที่จะแก้รัฐธรรมนูญ ด้วยการถอยเว้นระยะห่าง ไม่เข้าปะทะ... ย่อมเป็นผลดีต่ออายุการทำงาน และรักษาตัวให้พร้อมของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยในการที่จะดำรงความเป็นรัฐบาลท่าม กลางความสงบเรียบร้อย (โดยฉากหน้า) ของประเทศนี้ต่อไป แต่การต่ออายุของรัฐบาลด้วยการเว้นระยะห่างจากการโจมตีของฝ่ายเผด็จการอ มาตย์ กลับไม่ได้เป็นผลดีต่อการต่อสู้ของประชาชนผู้รักประชาธิปไตยโดยรวมเท่าใดนัก เพราะประชาชนคนเสื้อแดง และผู้รักประชาธิปไตยจำนวนมาก ก็ยังถูกจำขัง ยังถูกตามไล่ล่า ยังถูกคดีความตามราวีอยู่ไม่รู้จบสิ้นอยู่ดี และฝ่ายเผด็จการอมาตย์ก็ไม่หยุดที่จะตามราวีรัฐบาลเช่นกัน
ท่าน นายกทักษิณ ครับ ผมให้ใจท่านไปแล้วทั้งดวง ด้วยความรักศรัทธา และคงไม่เรียกความรักศรัทธา คืนกลับมาจากท่านง่ายๆ หลายปีที่ผ่านมานี้ ผมและพี่น้องคนเสื้อแดงผู้รักประชาธิปไตยจำนวนมากมาย ได้ต่อสู้กับเผด็จการอมาตย์มาอย่างชนิดถึงเลือดถึงเนื้อ ถึงลูกถึงคน ถ้าพลาดไม่ตายก็ติดคุก แต่ทว่าท่านนายกทักษิณ ครับ การต่อสู้เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้เป็นย่างก้าวที่สำคัญมากในการโค่น ล้มอำนาจเผด็จการอมาตย์ทั้งหมด ซึ่งถ้าหากท่านนายกทักษิณ กระทำตัวให้เป็นอุปสรรค หรือถ่วงรั้ง ต่อเส้นทางการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยอย่างแท้จริง จะโดยเอาสิ่งใดมาล่อให้ประชาชนคล้อยตาม ก็ตาม ผมอาจจะต้องพิจารณาว่า จริงๆ แล้วท่านนายกทักษิณ ยัง คงรัก..ศรัทธา..ภักดี.. และซื่อสัตย์.. ต่อใครบางคน มากยิ่งกว่าที่จะรัก..และศรัทธา ต่อประชาชนคนเสื้อแดงผู้ร่วมชีวิต ร่วมเป็นร่วมตายกับท่านมา ก็เป็นได้นะครับ
 ผมเริ่มมีคำถามบางคำถามเกิดขึ้นในใจว่า"นายก ผู้สามารถพัฒนาเศรษฐกิจของไทยให้ยิ่งใหญ่ได้นั้น จะเป็นคนๆ เดียวกับที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงวิธีการบริหารประเทศแบบเผด็จอมาตย์ ไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย หรือเปล่า???" เท่านั้นครับ 
                               ..............................................

ขอแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคำถามของคุณปูนนก

โดย   แสงตะวัน

ในยุคปัจจุบัน ชึ่งเป็นยุคไฮเทคโนโลยี่ ยุคโลกไร้พรหมแดน   การต่อสู้เรียกร้องของประเทศต่างๆชึ่งเกิดขึ้นทั่วโลกในปัจจุบันนี้   เกี่ยวกับปัญหาทั้งด้านเศรษฐกิจ    สังคม    การเมือง   ไม่ มีสูตรสำเร็จกำหนดตายตัวที่จะนำมาเป็นแม่แบบเพื่อใช้แก้ปํญหาให้ลุล่วงไป ได้    เพราะปัญหาความต้องการของแต่ละสังคมไม่เหมือนกัน    นอกจากนี้ยังไม่มีทฤษฎีหรือตำราพิชัยสงครามแบบใหม่มาให้ใช้เป็นแนวทางชี้นำ     ก่อน อื่นพวกเราต้องมาทำความเข้าใจเสียใหม่ว่าพ่อค้านักธุรกิจนายทุนก็คือนายทุน ที่ลงทุนค้าขายเพื่อให้ได้กำไร    ต่างกับผู้นำนักปฏิวัติที่ทำงานเพื่ออุดมการณ์เพื่อสังคมส่วนรวม   ต่อสู้เรียกร้องเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมให้เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง      ดังนั้นความคิดแบบพ่อค้ากับนักปฎิวัติสองสิ่งนี้จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมี อยู่ในตัวคนเดียวกัน  
เริ่ม แรกทักษิณเข้ามาบริหารประเทศโดยผ่านการเลือกตั้งตามวิถีทางประชาธิปไตยตาม รัฐธรรมนูญปี ๒๕๔๐ ซึ่งระบอบการปกครองโดยแท้จริงยังคงเป็นระบอบราชาธิปไตยอยู่ไม่ใช่ระบอบ ประชาธิปไตยตามที่พวกนักวิชาการต่างๆเข้าใจและโฆษณาหลอกลวงประชาชน  เมื่อทักษิณเข้ามาเป็นนายกก็บริหารประเทศอยู่ภายใต้ระบอบราชาธิปไตยนี้     แต่รัฐบาลทักษิณมีหลักนโยบายที่สามารถเห็นผลงานจับต้องได้และทำให้ ประชาชนได้รับผลประโยชน์จากการบริหารของรัฐบาลทักษิน    ซึ่งถ้าปล่อยให้ประเทศชาติได้มีโอกาศพัฒนาต่อไปภายใต้รัฐบาลของทักษิณประเทศ ชาติก็จะดำเนินก้าวหน้าและการวิวัฒนาการทางประชาธิปไตยก็จะก้าวหน้าต่อไป     แต่ระบอบราชาธิปไตยเป็นสิ่งที่ขัดขวางต่อระบอบประชาธิปไตยมาโดยตลอด  ซึ่งนายกทักษิณเองเขาไม่ได้มีแนวความคิดที่เปลี่ยนแปลงหรือล้มล้างระบอบราชา ธิปไตยนั้นลง      แต่พวกอำมาตย์เห็นว่าถ้าปล่อยให้ทักษิณบริหารประเทศต่อไปจะเป็นอันตรายแก่ พวกเขา  เมื่อทักษิณถูกพวกอำมาตย์โค่นล้มลงในวันที่  ๑๙ ก.ย. ๒๕๔๙   โดยทักษิณเองก็ยังจะพยายามประณีประนอมกับพวกอำมาตย์มาตลอดเวลา  จนถึงทุกวันนี้     ทักษิณก็ยังไม่ยอมที่จะคิดเปลี่ยนแปลงระบอบราชาธิปไตยให้เป็นประชาธิปไตย      ประชาชนส่วนมากของประเทศคิดเอาเองว่าทักษิณจะเป็นผู้ที่จะนำประเทศชาติ และประชาชนไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง 
ซึ่ง เเป็นความคิดและความหวังของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ  แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงของทักษิณคือต้องการใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือเพื่อ จะดำเนินไปสู่การรักษาอำนาจและธุระกิจของกลุ่มทุนของพวกเขา   ฉนั้นประชาชนจะมาเรียกร้องให้ทักษิณเปลี่ยนแนวคิดจากนายทุนมาเป็นผู้นำของ การปฎิวัตินั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
แต่ ทักษิณเป็นผู้นำของการพัฒนาประเทศในด้านเศรษฐกิจให้เจริญก้าวหน้ายิ่งใหญ่ ได้อย่างแน่นอน   ฉะนั้นการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงจากระบอบเผด็จการราชาธิปไตยไปสู่ระบอบ ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์    จึงเป็นหน้าที่ของ "ประชาชนไทยทุกคน "    ต้องร่วมมือกันต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตย  ไม่ใช่ให้ทักษิณเป็นผู้ชี้นำคนเดียว.

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar