ข่าวลับกรองแล้ว
หลักฐานแฉชัด เปรม เกลียดพระบรมฯ
โดยกลุ่มเสียงประชาชนไทย (สปท.) 20 /01 /2013
กลุ่ม
สปท.
ของเราพยายามจะทำหน้าที่ในการเก็บข่าวและวิเคราะห์ข่าวในประเทศไทยที่เป็นจริงและแหลมคมเพื่อรายงานต่อพี่น้องประชาชนทั้งในประเทศและต่างประเทศโดยไม่ยอมก้มหัวให้แก่กฎหมายอาญามาตรา
112 ซึ่งเป็นอุปสรรค์ที่ปิดหูปิดตาประชาชนทำให้ประชาชนไม่อาจจะรู้ความเป็นจริงวิกฤตของสังคมไทยได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องราวพระราชวงศ์ไทยซึ่งเป็นศูนย์กลางปัญหาของประเทศไทยเวลานี้ โดยเราจะนำข่าวสำคัญที่เป็นข่าวลับและกรองแล้วมารายงานต่อท่านเป็นระยะๆ
Ø เราทราบกันมานานแล้วว่าปัญหาวิกฤตของสังคมไทยวันนี้เป็นผลมาจากการแย่งชิงอำนาจเพื่อสืบต่อราชบัลลังก์เนื่องจากรัชการที่
9 ใกล้สิ้นพระชนม์ โดยมีกลุ่มอำมาตย์ใหญ่
(กลุ่มองคมนตรี นำโดย พล.อ.เปรม)
เป็นผู้สร้างปัญหาความยุ่งยากขึ้นด้วยเพราะ พล.อ. เปรม มีความเกลียดชัง
สมเด็จพระบรมฯ เป็นการส่วนตัว
วันนี้เรามีหลักฐานชิ้นสำคัญที่จะยืนยันถึงข้อมูลนี้คือหนังสือที่จัดทำขึ้นโดยคณะองคมนตรีที่ชื่อว่า
“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับคณะองคมนตรี”
จัดพิมพ์เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนม์พรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 ซึ่งเป็นหนังสือที่เก็บพระราชประวัติและภาพถ่ายพระราชวงศ์กับคณะองคมนตรีในโอกาสต่างๆ
ที่พระองค์พร้อมพระเจ้าลูกยาเธอเสด็จประพาสในช่วงระยะเวลา 60 ปีที่ผ่านมา
แต่ปรากฏว่าหนังสือนี้มีความหนาถึง 404 หน้า
และมีรูปภาพประกอบมากกว่า 100 รูปมีแต่รูป
ในหลวงพระราชินี และ
พระบรมวงศานุวงศ์ที่ตามเสด็จไปด้วยแต่เป็นเรื่องแปลกที่สุดที่ไม่มีรูปของสมเด็จพระบรมฯ
เลยแม้แต่รูปเดียวทำให้รู้ความจริงว่า พล.อ.เปรม ได้สั่งให้คนจัดทำหนังสือเล่มนี้ให้คัดภาพถ่ายของสมเด็จพระบรมฯ
ที่ติดอยู่ด้วยออกทั้งหมด
ดังนั้นภาพที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้มีแต่ภาพที่ติดสมเด็จพระเทพกับในหลวงเป็นส่วนใหญ่รวมทั้งภาพหน้าแรกที่
ซึ่งเป็นรูปถ่ายคณะองคมนตรีชุดปัจจุบันถ่ายคู่กับในหลวงและพระเทพเท่านั้น.........
หนังสือนี้ได้จัดพิมพ์โดยบริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด ฯ
ซึ่งใครๆในเมืองไทยก็รู้ว่าเป็นบริษัทที่ใกล้ชิดกับสมเด็จพระเทพ......
หนังสือนี้ตีพิมพ์เมื่อปี 2555 จำนวน 51,900 เล่ม ทูลเกล้าในหลวงจำนวน
999 เล่ม
Ø หนังสือดังกล่าวข้างต้นเล่มเดียวบอกอะไรได้หลายอย่าง.........
1. บอกความจงเกลียดจงชังที่ฝังรากลึกและไม่อาจจะประนีประนอมกันได้ ระหว่างองคมนตรีกับสมเด็จพระบรมฯ......... 2. บอกถึงความถือทิฐิมานะและหลงตัวเองในฐานะประธานองคมนตรีที่ไม่ยำแกรงต่อพระบารมีของสมเด็จพระบรมฯ
ซึ่งเป็นมานานแล้ว.......... 3. บอกให้ทราบถึงความเจ็บป่วยของราชินีว่าเป็นเรื่องจริง
ดังปรากฏในภาพหมู่ที่สมเด็จพระราชินีไม่สามารถมาฉายภาพร่วมได้โดยตีพิมพ์ในปี 2555 ซึ่งเป็นปีที่มีข่าวลือว่าพระองค์ทรงประชวรตลอดทั้งปี โดยไม่อาจจะปรากฏต่อสาธารณชนได้............. 4. บอกความจริงว่าคณะองค์มนตรีก็ไม่ได้เคารพสักการะต่อสมเด็จพระราชินีจริงกล่าวคือการจัดทำหนังสือที่สำคัญเช่นนี้หากมีความเคารพในพระราชวงศ์อยู่ในสำนึกจริงก็ควรจะนำเอารูปสมเด็จพระราชินี
มาตีพิมพ์คู่กับภาพของในหลวงในหน้าแรกจึงจะถูกต้อง
ซึ่งรูปของสมเด็จของพระราชินีนั้นหาได้โดยง่าย และแม้แต่หนังสืออนุสรณ์ของเด็กนักเรียนเค้ายังนำรูปของทั้งสองพระองค์มาตีพิมพ์ได้เลย
Ø ความขัดแย้งระหว่างนายสนธิลิ้มพันธมิตรตัวพ่อกับพล.อ.ประยุทธ์ จันโอชา ผบ.ทบ. ถึงขนาดสั่งให้ผู้บังคับกองพันนำคณะทหารประทวนไปบุกถึงรังหนังสือพิมพ์เอเอสทีวีผู้จัดการที่ท่าพระอาทิตย์ถึงสองครั้ง
คือ วันที่ 11 และ 12 ม.ค. 2556 โดยฝ่ายนายสนธิและลูกสมุนได้ทำการด่า
ผบ.ทบ.และกองทัพบกด้วยถ้อยคำหยาบคายปนสัตว์เลื้อยคลานถึงขนาดที่ชาวบ้านเรียกว่าสุนัขไม่รับประทาน ซึ่งทุกคนเห็นเหตุการณ์นี้แล้วคาดว่าไม่น่าจะเผาผีกันได้ แต่ปรากฏว่าเหตุการณ์ผ่านไปแค่สองวัน
พล.อ.ประยุทธ์ ผบ.ทบ. ซึ่งใครก็รู้ว่าเป็นคนไม่ยอมคน ยังต้องกล่าวขอโทษและก้มหัวให้กับนายสนธิลิ้ม
ซึ่งเป็นคนที่มีภาพลักษณ์เลวทรามที่สุดในสังคมไทย......... เรื่องนี้บอกความจริงว่าคนที่มีอำนาจเหนือ
พล.อ.ประยุทธ์ และเป็นคนที่ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องฟัง ซึ่งเป็นคนๆเดียวกับคนที่รักและเมตตากับนายสนธิลิ้ม
เป็นคนสั่งการให้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวคำขอโทษได้
คนๆนี้เป็นอื่นไดไม่ได้นอกจากราชินี
จากเรื่องนี้จึงบอกให้รู้ความจริงว่าข่าวลือที่ว่าราชินีตายแล้วไม่เป็นความจริง
Ø จากข่าวกลับหลังหันของ
พล.อ.ประยุทธ์ นี้ได้บอกความจริงที่สำคัญอีกว่าเป้าหมายการทำลายรัฐบาล นส.
ยิ่งลักษณ์ ยังคงเส้นคงวาอยู่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง กล่าวคือ........ 1. ราชินีคือผู้อยู่เบื้องหลังฉากการเมืองไทยยังคงควบคุมกำลังพล
ทั้งกำลังทหาร และ กำลังกลุ่มมวลชนพันธมิตรไม่ให้แตกความสามัคคี
เพื่อเป้าหมายในการช่วงชิงอำนาจในสถานการณ์ในปลายรัชกาล............ 2. พล.อ.ประยุทธ์
เคยให้สัมภาษณ์หลายครั้ง ว่าไม่ให้ทหารออกมาร่วมการชุมนุมกับกลุ่มการเมืองไดๆ แต่จากเหตุการณ์กรณีเขาพระวิหารล่าสุดเมื่อเร็วๆ
นี้ได้มีข่าวออกมาว่าทหารได้ออกมาร่วมชุมนุมกับกลุ่มธรรมยาตรา (กลุ่มพันธมิตรแปลงกาย)
ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ก็เคยปรามไว้แล้วแต่การให้สัมภาษณ์กลับหลังหันขอโทษนายสนธิลิ้มที่กล่าวมาในข้างต้น
และได้พูดเลยไปถึงประเด็นนี้ด้วยว่าเขาไม่เคยห้ามทหารที่จะไปชุมนุมกับพันธมิตร เหตุการณ์นี้จึงบอกสถานการณ์ในอนาคตว่าอำมาตย์จะใช้สถานการณ์เขาพระวิหารเป็นเครื่องมือในการก่อจลาจลโดยใช้กำลังทหารแปลงกายมาเป็นมวลชนสนับสนุน......... 3.
ทำให้ข้อสันนิฐานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 ที่พันธมิตรและประชาธิปัตย์ก่อม็อบเพื่อล้มรัฐบาลนายสมัคร
โดยหยิบยกประเด็นเขาพระวิหารขึ้นมาปลุกระดมจนถึงเหตุการณ์ก่อสงครามชายแดน
ในปี พ.ศ. 2552 ต่อ 2553 เป็นคำสั่งของราชสำนักที่ยังฝังใจกับการเสียดินแดนเขาพระวิหารและคิดอย่างโง่ๆ
ว่าสามรถจะเอากลับคืนมาได้ ดังนั้นแนวโน้มความรุนแรงหากศาลโลกตีความให้พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร เป็นของกัมพูชา
ความรุนแรงอาจจะเกิดขึ้นอย่างคาดไม่ถึงคือ จะเกิดเหตุการณ์ล้มล้างรัฐบาลและฉวยโอกาสก่อสงครามชายแดนเพื่อสร้างความชอบธรรมในการล้มรัฐบาล
Ø ข่าวล่าสุดเมื่อวันที่
18 ม.ค. 56 ผบ.สูงสุด
(ซึ่งเป็นสายตรงราชสำนักและเคยมีข่าวว่าจะก่อการรัฐประหารร่วมกับ
พล.อ.ดาวพงศ์ เมื่อกลางปีที่แล้ว) ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อ
ในทำนองขู่กระทรวงการต่างประเทศว่า
“ถ้ากระทรวงการต่างประเทศจะทำอะไรเกี่ยวกับเขาพระวิหารขอให้ปรึกษาฝ่ายทหารก่อน”
........ ซึ่งข่าวนี้ก็สอดคล้องกับข่าวข้างตนซึ่งรัฐบาลและผู้รักประชาธิปไตยอย่าวางใจกับคำพูดของ
พล.อ. เปรมในโอกาสอวยพรปีใหม่ ที่ว่า “ต่างสีแต่สามารถอยู่ด้วยกันได้”
Ø ข่าวอาการเจ็บป่วยของราชินีเป็นที่ยืนยันแล้วว่าหนักแต่ไม่ตายซึ่งเราไม่สามารถวิเคราะห์รายระเอียดได้เพราะเราไม่เห็นภาพ แต่ข่าวของกษัตริย์ภูมิพลที่ชอบทำตัวเหมือนดาราภาพยนตร์ที่ชอบโชว์ตัวเป็นข่าวอยู่เสมอ ทำให้เรารู้ความจริงว่าไม่มีอะไรดีขึ้นและใกล้เสียชีวิต
และล่าสุดที่ออกภาพทางโทรทัศเมื่อ 31 ธันวาคม 2555 ได้ปรากฏชัดว่าไม่อยู่ในอาการปกติเช่นคนธรรมดาแล้วกล่าวคือสายตากับสมองไม่ประสานกันเพราะจะเห็นได้จากการอ่านหนังสือเป็นไปได้ช้ามากและต้องก้มหน้าตลอดเหมือนจะยกคอไม่ได้และหากใครได้สังเกตเสื้อนอกที่ใส่ในวันนั้นใหญ่ผิดปกติเพื่อปกปิดสายยางต่างๆ
และส่วนล่างก็ปกปิดด้วยผ้าดำตั้งแต่ส่วนเอวจนถึงเท้า ล่าสุดเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2556 นาย อาเบะ นายกฯญี่ปุ่นมาไทย ด้วยความหลงอำนาจและความเป็นดารา แม้สังขารจะไม่ไหวก็ยังฝืนสังขารออกมาโชว์ตัวว่าฉันยังมีอำนาจอยู่และยังแข็งแรงอยู่ แต่ในข่าวก็ไม่ยอมเปิดเสียงพูดให้ได้ยินซึ่งเป็นความพยายามของราชสำนักมาโดยตลอดนานนับหลายปีแล้วที่ใช้ภาพข่าวออกมาหลอกลวงสังคมว่ากษัตริย์ภูมิพลยังมีร่างกายแข็งแรงสามารถสั่งการให้ทหารออกมายึดอำนาจได้ทุกเมื่อ
Ø เหตุการณ์คำพิพากษาตัดสินจำคุกนายเจ๋งดอกจิกจำคุก
2 ปี ไม่รอลงอาญา ในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเมื่อ 17 มค. นี้ เป็นบทพิสูจน์ว่าไทยเป็นตอแหลแลนด์และศาลยุติธรรมไทยได้กลายเป็นศาลส่วนตัวของครอบครัวกษัตริย์อีกครั้ง โดยศาลไม่ยึดหลักเกณฑ์ของกฎหมายแต่ยึดหลักความอาฆาตแค้นและสนองตอบครอบครัวกษัตริย์เท่านั้น เพราะแม้นายเจ๋งดอกจิกไม่ได้เอ่ยชื่อกษัตริย์หรือบุคคลไดๆ
เพียงแค่ใช้มือปิดปากศาลก็ตีความว่าเป็นความผิด……. เราคงจำได้ว่าเมื่อ 4 ธันวาคม 2548 กษัตริย์ภูมิพลเคยกล่าวว่า
“ประชาชนสามารถวิจารณ์กษัตริย์ได้และไม่ให้จับคนวิจารณ์”
แต่ปรากฏว่านับจากนั้นก็มีคนถูกจับด้วยข้อหาหมิ่นฯ มากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีของนายเจ๋งเป็นบทพิสูจน์ว่ากษัตริย์ภูมิพลโกหก.........
ดังนั้นถ้ากษัตริย์ภูมิพลพูดว่าอะไรก็ให้ตีความตรงข้ามทั้งหมดแล้วจะรู้ถึงความจริงทั้งหมดว่าเป็นอย่างไร
***
ขุนเขาบอก :
ครางหงิงๆ...เหมือนหมา...
จะเป็นคนจะเป็นหมา...ก็โดนด่าได้เหมือนกัน
เวรมันทำกรรมมันทัน...ชอบกัดกันเหมือนอย่างหมา
แต่ก่อนดีไม่ตีกันกัน...กรรมวันนั้นมันบังตา
ไม่รู้ตัวว่าเป็นหมา...ถูกเขาด่าจึงรู้ตัว
คนอะไรหน้าไม่อาย...ถูกควายด่าว่าเป็นหมา
ไม่อายหน้าไม่อายตา...เสนอหน้ามาชวนหัว
ไอ้หน้าเจ๊กมันเป็นใคร...จึงยิ่งใหญ่จนเกินตัว
เอาชฎามาใส่หัว...ผู้คนกลัวทั้งตำบล
ไอ้คนด่าหน้าตัวเมีย...เป็นกองเชียร์เมียกำนัน
คนทั้งบางเขารู้กัน...เมียกำนันมือล่องหน
มองไม่เห็นว่าเป็นมือ...แต่เรื่องลือกันเหลือทน
การกระทำอำนาจล้น....อยู่เหนือคนเหนือเวลา
แม้นขุนศึกผู้ฮึกหาญ...ยังต้องคลานเข้าไปหมอบ
สั่งฆ่าคนยัดกระสอบ...เพียงไม่หมอบเข้าไปหา
ลุงกำนันไม่ทันเหลี่ยม...ยอมเจี๋ยมเจี้ยมเพราะชรา
เจ๊กจัญไรจึงได้หน้า...จึงหาญกล้าท้านายพล
องค์มาลงตรงขุนศึก...มีเบื้องลึกมีเบื้องหลัง
พูดไม่ดีมีแต่พัง....รีบยับยั้งก่อนมีผล
พูดดีๆเป็นศรีปาก...พูดมากๆปากจะโดน
อนาถหนอพ่อนายพล...ถูกเจ๊กปล้นอธิปไตย
บทสุดท้ายกลายเป็นโจ๊ก...มันซูฮกกันเห็นๆ
เหมือนละครตอนเย็นๆ...เหมือนเด็กเล่นคุณว่าไหม
อย่าไปสนอย่าไปดู...ปล่อยนางปูมันเดินไป
เตาะแตะหน่อยไม่เป็นไร...ยังมีไพร่ให้พักพิง........ครางหงิงๆ...เหมือนหมา...*******************************************
ครางหงิงๆ...เหมือนหมา...ลุงกำนันไม่ทันเหลี่ยม...ยอมเจี๋ยมเจี้ยมเพราะชรา เจ๊กจัญไรจึงได้หน้า...จึงหาญกล้าท้านายพล ....ไอ้ลิ้มโกเต๊ก เจ๊กกุ้ย " กิ๊ก " อี นางมณโฑปากแดง กล้าออกมาท้าทายพวกนายพลหน้าโง่ เพราะมันถือว่ามันเป็น"กิ๊ก"กับนางมณโฑปากเบี้ยวที่ให้ท้ายอยู่เบื้องหลัง มันจึงโอหัง ส่วนกำนันตาบอดก็นอนกอดหมาอยู่ไม่รู้เรื่อง เผลอๆไอ้เจ๊กจัญไรจะขึ้นนั่งบัลลังก์แทนก็ได้ เหมือนกับท้าวศรีสุดาจันทร์ ...ตั้งขุนวรวงศาชู้รักขึ้นเป็นกษัตริย์ในสมัยกรุงศรีอยุธยา...
ครางหงิงๆ...เหมือนหมา...
จะเป็นคนจะเป็นหมา...ก็โดนด่าได้เหมือนกัน
เวรมันทำกรรมมันทัน...ชอบกัดกันเหมือนอย่างหมา
แต่ก่อนดีไม่ตีกันกัน...กรรมวันนั้นมันบังตา
ไม่รู้ตัวว่าเป็นหมา...ถูกเขาด่าจึงรู้ตัว
คนอะไรหน้าไม่อาย...ถูกควายด่าว่าเป็นหมา
ไม่อายหน้าไม่อายตา...เสนอหน้ามาชวนหัว
ไอ้หน้าเจ๊กมันเป็นใคร...จึงยิ่งใหญ่จนเกินตัว
เอาชฎามาใส่หัว...ผู้คนกลัวทั้งตำบล
ไอ้คนด่าหน้าตัวเมีย...เป็นกองเชียร์เมียกำนัน
คนทั้งบางเขารู้กัน...เมียกำนันมือล่องหน
มองไม่เห็นว่าเป็นมือ...แต่เรื่องลือกันเหลือทน
การกระทำอำนาจล้น....อยู่เหนือคนเหนือเวลา
แม้นขุนศึกผู้ฮึกหาญ...ยังต้องคลานเข้าไปหมอบ
สั่งฆ่าคนยัดกระสอบ...เพียงไม่หมอบเข้าไปหา
ลุงกำนันไม่ทันเหลี่ยม...ยอมเจี๋ยมเจี้ยมเพราะชรา
เจ๊กจัญไรจึงได้หน้า...จึงหาญกล้าท้านายพล
องค์มาลงตรงขุนศึก...มีเบื้องลึกมีเบื้องหลัง
พูดไม่ดีมีแต่พัง....รีบยับยั้งก่อนมีผล
พูดดีๆเป็นศรีปาก...พูดมากๆปากจะโดน
อนาถหนอพ่อนายพล...ถูกเจ๊กปล้นอธิปไตย
บทสุดท้ายกลายเป็นโจ๊ก...มันซูฮกกันเห็นๆ
เหมือนละครตอนเย็นๆ...เหมือนเด็กเล่นคุณว่าไหม
อย่าไปสนอย่าไปดู...ปล่อยนางปูมันเดินไป
เตาะแตะหน่อยไม่เป็นไร...ยังมีไพร่ให้พักพิง........ครางหงิงๆ...เหมือนหมา...*******************************************
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar