ในระยะหลังปีใหม่ที่ผ่านมานี้ กระแสการเรียกร้องให้นิรโทษกรรมประชาชน ได้กลายเป็นเรื่องสำคัญที่ถูกนำเสนอต่อรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นด้วยเหตุผลที่ว่า ประชาชนคนเสื้อแดงที่ลุกขึ้นต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยเมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓ ได้ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย เผาบ้างเผาเมือง เป็นพวกขบวนการล้มเจ้า ถูกกวาดล้างปราบปรามจนมีผู้เสียชีวิตนับร้อยคน และบาดเจ็บนับพันคน นอกจากนี้ก็ยังมีผู้ถูกจับกุมดำเนินคดีเป็นจำนวนมาก ถูกคุมขังในคุกทั้งคดีก่อการร้าย คดีละเมิดภาวะฉุกเฉิน คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ประชาชนเหล่านี้ตกเป็นเหยื่อแห่งการดำเนินการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และได้รับความร่วมมือด้วยดีจากศาลเสมอมา แต่ที่เป็นที่น่าเสียใจคือ การที่รัฐบาลใหม่ของพรรคเพื่อไทยได้ขึ้นบริหารประเทศแล้วถึง ๑๗ เดือน พี่น้องประชาชนเหล่านี้ก็ยังคงถูกดำเนินคดีและต้องอยู่ในคุก
ด้วยเหตุนี้ กลุ่มปฏิญญาหน้าศาล โดย สุดา รังกุพันธ์ สุดสงวน สุธีธร และ ไม้หนึ่ง ก.กุนที จึงเป็นแกนกลางในการเคลื่อนไหว นัดรวมตัวที่หมุดคณะราษฎร วันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๖ เวลา ๘.๐๐ น. เพื่อให้ได้กำลังประชาชน ๑๐,๐๐๐ คนเรียกร้องต่อรัฐบาลให้รับข้อเสนอเรื่อง การร่างรัฐธรรมนูญว่าด้วยนิรโทษกรรมและขจัดความขัดแย้ง เพื่อให้ประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อความขัดแย้งได้รับการนิรโทษกรรมในสมัยประชุมสภาสมัยนี้
สุดา รังกุพันธ์ อธิบายในวันที่ ๑๓ มกราคม ว่า เหตุการณ์รุนแรงในปี ๒๕๕๓ ทำให้เห็นภาพชัดเจนถึงการปราบปรามประชาชนด้วยอาวุธสงครามร้ายแรง และมีการกวาดล้างประชาชนอบย่างต่อเนื่อง มีผู้ถูกดำเนินคดี ๑๓,๘๕๗ คน ในศาล ๕๙ แห่ง โดยคดีเหล่านี้ ถูกศาลตัดสินอย่างรวดเร็ว แม้ผู้ถูกกล่าวหาไม่ใช่ตัวการสำคัญ ก็ถูกตัดสินจำคุก บางคนได้รับการประกันตัวระหว่างพิจารณาคดี ไม่มีเจตนาหลบหนี แต่หลังการพิพากาษาของศาลชั้นต้นกลับไม่ได้รับการประกันตัวออกมาเลย นอกจากนี้ยังมีการออกหมายจับอย่างต่อเนื่อง อัยการยังคงสั่งฟ้องศาลคดีที่เกิดจากมูลเหตุจูงใจทางการเมือง และอธิบายต่อไปว่า “ความน่าเชื่อถือต่อกระบวนการยุติธรรมติดลบหมดแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะเดินหน้าสู่ความปรองดองโดยยังมีนักโทษการเมืองถูกขังอยู่เช่นนี้”
การเคลื่อนไหวของกลุ่มปฏิญญาหน้าศาล เป็นไปเพื่อสนับสนุนข้อเสนอของกลุ่มนิติราษฎร์ ที่ได้ผลักดันให้มีการเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเพื่อนำมาสู่การนิรโทษกรรมและแก้ไขความขัดแย้งในสังคม ทั้งนี้ กลุ่มนักวิชาการนิติราษฎร์ ยืนยันว่า การนิรโทษกรรมโดยผ่านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะเป็นวิธีการที่เร็วที่สุด และมีปัญหาน้อยที่สุด โดยจะมุ่งไปที่การนิรโทษกรรมประชาชนที่มาร่วมชุมนุมทางการเมืองทุกฝ่าย และกระทำความผิดโดยมีเหตุจูงใจในทางการเมือง แต่จะไม่นิรโทษกรรมฝ่ายเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติเกินกว่าเหตุ หมายถึงว่า ผู้สั่งการและเจ้าหน้าที่รัฐก็จะต้องถูกดำเนินคดีในกระบวนการยุติธรรมต่อไป โดยห้ามการนิรโทษกรรม
วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อธิบายว่า ที่ไม่เสนอเรื่องการนิรโทษกรรมเป็นพระราชบัญญัติ เพราะขณะนี้ ก็มีการนำเสนอพระราชบัญญัติปรองดองค้างในสภาหลายฉบับแล้ว และก็เดินหน้าไปไม่ได้ และร่างทั้งหลายก็ไม่ได้มีลักษณะตามที่นิติราษฎร์เสนอ ซึ่งจะครอบคลุมคนที่มีความเห็นแตกต่างทางการเมืองทุกฝ่าย ไม่ว่าสีแดงหรือเหลือง จะได้รับความคุ้มครองตามเงื่อนไขที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้กำหนด และตามข้อเสนอของนิติราษฎร์ ก็ไม่ได้เป็นการนิรโทษกรรมแบบอัตโนมัติ นอกจากนี้ การเสนอเป็นพระราชบัญญัติยังต้องมีขั้นตอนผ่านการพิจารณาของสองสภา ซึ่งอาจจะล่าช้าหรือสะดุดถ้าหากวุฒิสภาไม่รับรอง แต่ถ้าเป็นร่างเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ จะเสนอผ่านที่ประชุมรัฐสภา ซึ่งจะประหยัดเวลากว่า และวรเจตน์ได้ย้ำว่า การเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในส่วนการนิรโทษกรรมนี้ ไม่เกี่ยวกับญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญเดิมที่ยังค้างอยู่ในวาระที่ ๓
ส่วนในกรณีที่มีการเสนอให้รัฐบาลออกมาเป็นพระราชกำหนดนิรโทษกรรมประชาชน วรเจตน์ให้ความเห็นว่า พระราชกำหนดอาจจะถูกยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และทำให้ถูกดึงและหน่วงเหนี่ยวให้ล่าช้าไปกว่าเดิม หรือถูกศาลรัฐธรรมนูญตีความให้เป็นโมฆะ
การนำเสนอวิธีการเช่นนี้ ยังเป็นการสะท้อนว่า การนิรโทษกรรมประชาชนนั้น จะอาศัยกระบวนการทางการศาลไม่ได้ เพราะในระยะที่ผ่านมา กระบวนการศาลใช้สองมาตรฐาน มุ่งจะลงโทษแต่ฝ่ายคนเสื้อแดงที่ตกเป็นเหยื่อเป็นหลัก ไม่ค่อยดำเนินคดีฝ่ายคนเสื้อเหลือง และดำเนินการกับฝ่ายนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่เป็นฆาตกรเข่นฆ่าประชาชนอย่างล่าช้า และโดยมากแล้ว ในคดีของนักโทษการเมือง ศาลก็จะวินิจฉัยไปตามโครงสร้างกฎหมายอาญาปกติ เช่นเรื่องเผาทรัพย์ ครบองค์ประกอบ ศาลก็ลงโทษเลย โดยไม่ดูพิจารณามูลเหตุจูงใจว่าทำไมทำเช่นนั้น ไม่พิจารณาว่า เป็นผู้เคยกระทำผิด หรือมีจิตใจเป็นผู้ร้ายที่จะก่อคดีอาญาหรือไม่ ดังนั้น การวินิจฉัยคดีในเรื่องที่จะมีการนิรโทษกรรม นิติราษฎร์จึงเสนอให้มีการตั้งองค์กรทางการเมือง เรียกว่า คณะกรรมการขจัดความขัดแย้ง ที่ได้รับการเสนอชื่อจากฝ่ายต่างๆ และเลือกมาจากที่ประชุมรัฐสภา
ปิยะบุตร แสงกนกคุณ อาจารย์ในคณะนิติราษฎร์ เสนอเพิ่มเติมว่า มาตรการที่กำหนดควบคู่ไปด้วย ก็คือ ให้คณะกรรมการขจัดความขัดแย้งเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และจะหมดหน้าที่เมื่อการดำเนินการแล้วเสร็จ โดยคำวินิจฉัยของคณะกรรมการขจัดความขัดแย้งมีผลผูกพันองค์กรของรัฐทุกองค์กร และไม่อาจเป็นวัตถุแห่งการพิจารณาขององค์กรตุลาการหรือองค์กรอื่นใด กรณีที่มีความขัดแย้งในการตีความ เสนอให้รัฐสภาวินิจฉัย และด้วยกระบวนการนี้จึงไม่ก่อให้เกิดการนิรโทษกรรมแบบเหมาเข่ง
ผลจากการนิรโทษกรรม จะทำให้ผู้ทำความผิดสถานเบา เช่น ละเมิดภาวะฉุกเฉิน โดยเข้ามาในพื้นทีชุมนุมพ้นจากความผิดไปเลย ส่วนผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดในคดีอาญา และอยู่ในขั้นตอนของศาล ให้ระงับการดำเนินคดีชั่วคราวและให้ปล่อยตัวทันที จากนั้น ส่งเรื่องให้คณะกรรมการขจัดความขัดแย้งวินิจฉัย ซึ่งถ้าคณะกรรมการวินิจฉัยแล้วว่าเป็นการกระทำผิดด้วยแรงจูงใจทางการเมือง การดำเนินคดีก็ยุติลงและได้รับนิรโทษกรรมทางการเมือง แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้อง ก็ต้องเข้าสู่กระบวนการปกติ
ดังนั้น ภารกิจของขบวนการประชาธิปไตยในขณะนี้ ก็คือการสนับสนุนและเข้าร่วมการเคลื่อนไหว โดยกลุ่มปฏิญญาหน้าศาล และสนับสนุนข้อเสนอของนิติราษฎร์ เพื่อผลักดันให้มีการนิรโทษกรรมและปล่อยตัวนักโทษการเมืองทั้งหมดโดยเร็ว เพื่อช่วยเหลือเหยื่อของความขัดแย้งทางการเมือง และสร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar