โดย ปูนนก
สงครามมวลชน... สงครามศรัทธา... สงครามความเชื่อ
มีคำกล่าวว่า You are what you eat.หรือ You are what you believe.คำที่ว่า You are what you eat. ก็ฟังดูเข้าใจได้ไม่ยากเพราะ ร่างกายจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับอาหารการกินนั้น เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ แต่คำว่า You are what you believe.นั้นอาจจะเข้าใจได้ยากสักหน่อยเพราะถ้าแปลกันตรงตัวก็คือ “ชีวิตของท่านจะเป็นไปตามสิ่งที่ท่านเชื่อ”นั้น ยากที่จะเข้าใจได้ในทางปฏิบัติ
เคยอ่านหนังสือขายดีชื่อ The Secret ที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องพลังแห่งความศรัทธา, ความเชื่อและพลังดึงดูดทางความคิดไว้เช่นนี้ ผมอยากจะแปลประโยค You are what you believe. เป็นประโยคในภาษาไทยว่า “ท่านจะสร้างชีวิตได้ด้วยความเชื่อและศรัทธา” เพราะความศรัทธานั้นเป็นความเชื่อที่มั่นคงและฝังแน่..ซึ่งเกิดขึ้นในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าความเชื่อธรรมดาๆ ความศรัทธา นั้นจะทำให้เกิดการอุทิศชีวิตให้กับสิ่งที่ตนเชื่อมั่น เป็นความเชื่อที่ไม่คลอนแคลนและเปลี่ยนแปลงได้ยาก ผู้ที่มีความศรัทธาจะมีลักษณะที่คล้ายๆ กับผู้ที่มีความงมงาย เพียงแต่ความศรัทธานั้นจะเกิดอยู่ระดับที่มีเหตุผลกว่า และเป็นเหตุผลที่พิสูจน์ได้จริง เช่นศรัทธาในการทำความดีเพราะเชื่อว่าการทำดีย่อมส่งผลที่ดีให้แก่ตนและคนที่ตนรัก, ศรัทธาในการดำรงชีวิตแบบชีวจิตและไม่ทำร้ายธรรมชาติเพราะเชื่อว่าวิถีชีวิตแบบนี้จะส่งผลให้มีสุขภาพที่ดี และจะเกิดสิ่งดีๆ ขึ้นแก่สังคมโดยรวม ฯลฯ
พลังแห่งความเชื่อ และศรัทธาสามารถสร้างสิ่งอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ไม่น่าเชื่อขึ้นในโลกนี้มากมาย ทัชมาฮาล, พระธาตุเจดีย์ หรือพระพุทธรูปองค์ใหญ่มหึมา มากมายที่มี ผู้สร้างเอาไว้บนยอดเขา หรือตามหน้าผา ซึ่งแม้แต่เดินทางด้วยเท้าตัวเปล่าๆ ก็ยากที่จะไปถึง แต่ก็มีผู้ไปสร้างสิ่งอัศจรรย์เช่นนั้นไว้จนได้ เหล่านี้คือความอัศจรรย์ของพลังแห่งความศรัทธาที่ผู้คนมีให้ต่อสิ่งที่เขาศรัทธา
วันอังคารที่ 29 มกราคม 2556 ที่ผ่านมา ผมได้เห็นพลังแห่งความเชื่อและความศรัทธาของประชาชนผู้ศรัทธาประชาธิปไตย ซึ่งต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงในประเทศไทยอย่างแท้จริงจำนวนมากที่ไปรวมตัวกันจำนวนมากที่หมุดคณะราษฎร์ ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า รวมตัวกันจะไปยื่นหนังสือข้อเรียกร้องถึงท่านนายกยิ่งลักษณ์ และคณะรัฐมนตรี ขอให้รัฐบาลดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อช่วยเหลือพี่น้องคนเสื้อแดงที่ถูกจำขัง และถูกออกหมายจับอีกมากมายให้พ้นจากคดีและการจำขังเสียที
กลุ่มประชาชนที่เรียกว่า “กลุ่มปฏิญญาหน้าศาล” โดย อาจารย์สุดา รุ่งกุพันธ์ (หวาน) ซึ่งถือได้ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับผลประโยชน์ในทางการเมือง เป็นผู้จุดประกายมารวมตัวกันในครั้งนี้ตั้งแต่เช้าจนถึงดึก ประชาชนมารวมตัวกันนับหมื่นๆ คน ทั้งๆ ที่ กลุ่มพลังคนเสื้อแดงหลักอย่าง นปช. ก็ประกาศชัดเจนว่าจะไม่เข้าร่วมด้วย เป็นเหมือนกฐินคนละกอง หมอเหวงถึงขั้นบอกว่า “ก็ไม่มีอะไรเพียงแค่ต้องการแย่งการนำเท่านั้น”ดังนั้นจึงแทบจะเรียกได้ว่ากลุ่มประชาชนที่ไปร่วมการชุมนุมครั้งนี้เป็นพลังประชาธิปไตยที่มีความต้องการเพื่อประชาชนอย่างแท้จริงโดยไม่มีผลประโยชน์ในทางการเมืองเข้ามาแอบแฝงซ่อนเร้น
ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล ร.ต.อ. ดร. เฉลิม อยู่บำรุง ออกมารับหนังสือข้อเรียกร้อง และขึ้นประกาศบนรถโมบายว่า “รัฐบาลกับคนเสื้อแดงเป็นพวกเดียวกัน” แต่พอถึงเวลาต่อสู้จริงจังถึงเลือดถึงชีวิต เฉลิม กลับเตรียมตัวหนีอยู่ชายแดนกัมพูชา นักการเมืองก็เป็นเช่นนี้ นักการเมืองเหล่านี้ไม่เคยมีชีวิตที่ผูกพันกับประชาชน ไม่เคยร่วมต่อสู้ ไม่เคยมีชีวิตที่ลำบากยากไร้ร่วมกับประชาชน นักการเมืองเหล่านี้ “ไม่เคยศรัทธาในพลังของประชาชน” พวกเขามองประชาชนเป็นเพียงแค่ฐานที่จะก้าวขึ้นไปสู่การถือครองอำนาจในรัฐบาล
ประเด็นหลักของกลุ่มปฏิญญาหน้าศาล หรือการเมืองภาคประชาชนในครั้งนี้ก็คือ ต้องการให้พี่น้องคนเสื้อแดงที่ถูกจำขัง หรือที่ถูกออกหมายจับโดยไม่เป็นธรรมเหล่านี้ ได้หลุดพ้นจากข้อกล่าวหาทางการเมืองเหล่านี้เสียที ผมเชื่อว่านี่คือทางแยกอันสำคัญที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทย และท่านนายกยิ่งลักษณ์ จะเลือกสร้างให้เกิดความ “สนิทแนบแน่น”กับพี่น้องคนเสื้อแดง ที่เป็นพลังอันยิ่งใหญ่ให้กับรัฐบาลต่อไป โดยการที่ท่านนายกยิ่งลักษณ์แสดงท่าทีเอาจริงเอาจังและจริงใจที่จะให้ความช่วยเหลือพี่น้องทีตกอยู่ในสภาวะทียากลำบากเหล่านั้น อะไรที่ทำได้ก็ทำอะไรที่ทำไม่ได้ด้วยเหตุผลใดก็ชี้แจงให้พี่น้องคนเสื้อแดงได้รับรู้ หรือท่านนายกยิ่งลักษณ์จะเลือกสร้างให้เกิดความ “เหินห่างและหมางเมิน”กับพี่น้องคนเสื้อแดงให้มากยิ่งขึ้นโดยแสดงความเฉยชา และเมินเฉย ต่อข้อเรียกร้องและข้อเสนอนี้ โดยไม่มีการสื่อสารใดๆ กับพี่น้องคนเสื้อแดงให้ได้รับทราบเลยว่า อะไรสามารถทำได้หรืออะไรทำไม่ได้
เคยอ่านหนังสือขายดีชื่อ The Secret ที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องพลังแห่งความศรัทธา, ความเชื่อและพลังดึงดูดทางความคิดไว้เช่นนี้ ผมอยากจะแปลประโยค You are what you believe. เป็นประโยคในภาษาไทยว่า “ท่านจะสร้างชีวิตได้ด้วยความเชื่อและศรัทธา” เพราะความศรัทธานั้นเป็นความเชื่อที่มั่นคงและฝังแน่..ซึ่งเกิดขึ้นในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าความเชื่อธรรมดาๆ ความศรัทธา นั้นจะทำให้เกิดการอุทิศชีวิตให้กับสิ่งที่ตนเชื่อมั่น เป็นความเชื่อที่ไม่คลอนแคลนและเปลี่ยนแปลงได้ยาก ผู้ที่มีความศรัทธาจะมีลักษณะที่คล้ายๆ กับผู้ที่มีความงมงาย เพียงแต่ความศรัทธานั้นจะเกิดอยู่ระดับที่มีเหตุผลกว่า และเป็นเหตุผลที่พิสูจน์ได้จริง เช่นศรัทธาในการทำความดีเพราะเชื่อว่าการทำดีย่อมส่งผลที่ดีให้แก่ตนและคนที่ตนรัก, ศรัทธาในการดำรงชีวิตแบบชีวจิตและไม่ทำร้ายธรรมชาติเพราะเชื่อว่าวิถีชีวิตแบบนี้จะส่งผลให้มีสุขภาพที่ดี และจะเกิดสิ่งดีๆ ขึ้นแก่สังคมโดยรวม ฯลฯ
พลังแห่งความเชื่อ และศรัทธาสามารถสร้างสิ่งอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ไม่น่าเชื่อขึ้นในโลกนี้มากมาย ทัชมาฮาล, พระธาตุเจดีย์ หรือพระพุทธรูปองค์ใหญ่มหึมา มากมายที่มี ผู้สร้างเอาไว้บนยอดเขา หรือตามหน้าผา ซึ่งแม้แต่เดินทางด้วยเท้าตัวเปล่าๆ ก็ยากที่จะไปถึง แต่ก็มีผู้ไปสร้างสิ่งอัศจรรย์เช่นนั้นไว้จนได้ เหล่านี้คือความอัศจรรย์ของพลังแห่งความศรัทธาที่ผู้คนมีให้ต่อสิ่งที่เขาศรัทธา
วันอังคารที่ 29 มกราคม 2556 ที่ผ่านมา ผมได้เห็นพลังแห่งความเชื่อและความศรัทธาของประชาชนผู้ศรัทธาประชาธิปไตย ซึ่งต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงในประเทศไทยอย่างแท้จริงจำนวนมากที่ไปรวมตัวกันจำนวนมากที่หมุดคณะราษฎร์ ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า รวมตัวกันจะไปยื่นหนังสือข้อเรียกร้องถึงท่านนายกยิ่งลักษณ์ และคณะรัฐมนตรี ขอให้รัฐบาลดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อช่วยเหลือพี่น้องคนเสื้อแดงที่ถูกจำขัง และถูกออกหมายจับอีกมากมายให้พ้นจากคดีและการจำขังเสียที
กลุ่มประชาชนที่เรียกว่า “กลุ่มปฏิญญาหน้าศาล” โดย อาจารย์สุดา รุ่งกุพันธ์ (หวาน) ซึ่งถือได้ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับผลประโยชน์ในทางการเมือง เป็นผู้จุดประกายมารวมตัวกันในครั้งนี้ตั้งแต่เช้าจนถึงดึก ประชาชนมารวมตัวกันนับหมื่นๆ คน ทั้งๆ ที่ กลุ่มพลังคนเสื้อแดงหลักอย่าง นปช. ก็ประกาศชัดเจนว่าจะไม่เข้าร่วมด้วย เป็นเหมือนกฐินคนละกอง หมอเหวงถึงขั้นบอกว่า “ก็ไม่มีอะไรเพียงแค่ต้องการแย่งการนำเท่านั้น”ดังนั้นจึงแทบจะเรียกได้ว่ากลุ่มประชาชนที่ไปร่วมการชุมนุมครั้งนี้เป็นพลังประชาธิปไตยที่มีความต้องการเพื่อประชาชนอย่างแท้จริงโดยไม่มีผลประโยชน์ในทางการเมืองเข้ามาแอบแฝงซ่อนเร้น
ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล ร.ต.อ. ดร. เฉลิม อยู่บำรุง ออกมารับหนังสือข้อเรียกร้อง และขึ้นประกาศบนรถโมบายว่า “รัฐบาลกับคนเสื้อแดงเป็นพวกเดียวกัน” แต่พอถึงเวลาต่อสู้จริงจังถึงเลือดถึงชีวิต เฉลิม กลับเตรียมตัวหนีอยู่ชายแดนกัมพูชา นักการเมืองก็เป็นเช่นนี้ นักการเมืองเหล่านี้ไม่เคยมีชีวิตที่ผูกพันกับประชาชน ไม่เคยร่วมต่อสู้ ไม่เคยมีชีวิตที่ลำบากยากไร้ร่วมกับประชาชน นักการเมืองเหล่านี้ “ไม่เคยศรัทธาในพลังของประชาชน” พวกเขามองประชาชนเป็นเพียงแค่ฐานที่จะก้าวขึ้นไปสู่การถือครองอำนาจในรัฐบาล
ประเด็นหลักของกลุ่มปฏิญญาหน้าศาล หรือการเมืองภาคประชาชนในครั้งนี้ก็คือ ต้องการให้พี่น้องคนเสื้อแดงที่ถูกจำขัง หรือที่ถูกออกหมายจับโดยไม่เป็นธรรมเหล่านี้ ได้หลุดพ้นจากข้อกล่าวหาทางการเมืองเหล่านี้เสียที ผมเชื่อว่านี่คือทางแยกอันสำคัญที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทย และท่านนายกยิ่งลักษณ์ จะเลือกสร้างให้เกิดความ “สนิทแนบแน่น”กับพี่น้องคนเสื้อแดง ที่เป็นพลังอันยิ่งใหญ่ให้กับรัฐบาลต่อไป โดยการที่ท่านนายกยิ่งลักษณ์แสดงท่าทีเอาจริงเอาจังและจริงใจที่จะให้ความช่วยเหลือพี่น้องทีตกอยู่ในสภาวะทียากลำบากเหล่านั้น อะไรที่ทำได้ก็ทำอะไรที่ทำไม่ได้ด้วยเหตุผลใดก็ชี้แจงให้พี่น้องคนเสื้อแดงได้รับรู้ หรือท่านนายกยิ่งลักษณ์จะเลือกสร้างให้เกิดความ “เหินห่างและหมางเมิน”กับพี่น้องคนเสื้อแดงให้มากยิ่งขึ้นโดยแสดงความเฉยชา และเมินเฉย ต่อข้อเรียกร้องและข้อเสนอนี้ โดยไม่มีการสื่อสารใดๆ กับพี่น้องคนเสื้อแดงให้ได้รับทราบเลยว่า อะไรสามารถทำได้หรืออะไรทำไม่ได้
ท่านนายกยิ่งลักษณ์ครับ.. ประเทศไทยมิได้มีปัญหาด้านเศรษฐกิจหรือความเจริญรุ่งเรือง
ของประเทศเป็นปัญหาหลักนะครับ ปัญหาหลักของประเทศไทยที่แท้จริงแล้วอยู่ที่ปัญหาทางการเมือง และอำนาจการปกครองประเทศนี้ ถ้าประเทศไทยมีปัญหาทางเศรษฐกิจจริง ท่านนายกทักษิณ คงไม่สามารถเข้ามาบริหารประเทศแล้วทำให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นคืนหลังพิษวิกฤติการณ์ “ต้มยำกุ้ง”และสามารถคืนเงินกู้ให้กับ IMF ได้ก่อนกำหนดถึง 2 ปี แต่ตรงข้ามนับตั้งแต่การรัฐประหารกันยายน 2549 เป็นต้นมา ประเทศไทยเสื่อมถอยลงทุกด้าน มิใช่เพราะเศรษฐกิจไทย หรือเศรษฐกิจโลกตกต่ำ แต่เป็นเพราะเสถียรภาพทางการเมืองของไทยเองที่ไม่มั่นคงทำให้ทุกอย่างทรุดตามไปด้วย ดังนั้นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนกืคือ การแก้ปัญหาทางการเมืองให้ได้ก่อนนะครับ
ผมยังเชื่ออยู่เสมอครับว่าท่านนายกยิ่งลักษณ์ ยังคงเป็นที่พึ่งที่หวังของพี่น้องคนเสื้อแดง และท่านก็เป็นคนเสื้อแดงคนหนึ่งด้วยเช่นกัน ผมมีรูปภาพของท่านมากมายที่ท่านใส่เสื้อสีแดงออกไปหาเสียงในคราวเลือกตั้งใหญ่ท่ามกลางคนเสื้อแดง แล้วท่านก็ได้คะแนนเสียงท่วมท้น ผมถือว่าการที่ท่านนายกกระทำเช่นนั้นคือ คำปฏิญญา ว่า ท่านเองก็มีชีวิตเป็นหนึ่งในคนเสื้อแดงที่ร่วมต่อสู้กันมาด้วยเช่นกัน ดังนั้นความทุกข์ยากที่พี่น้องคนเสื้อแดงจำนวนมากกำลังได้รับอยู่นี้ ท่านนายกก็ควรจะมีส่วนร่วมรับความทุกข์ด้วยเช่นเดียวกับพวกเรา
ผมยังไม่เชื่อว่า ท่านนายกยิ่งลักษณ์ จะเป็นเหมือนนักการเมืองจำนวนมากที่อยู่ในสภาเวลานี้ ที่เขาเหล่านั้นไม่ได้มีส่วนใดๆ ในการร่วมทุกข์ ร่วมสุข ร่วมความยากลำบาก มากลับประชาชนจำนวนมาก และพวกเขาเหล่านั้นพร้อมที่จะโดดหนีจากเรือของคนเสื้อแดงเพียงเพื่อเอาตัวรอดเท่านั้น......
ผมยังคงเชื่อว่าท่านนายกยิ่งลักษณ์ เจ็บปวดไปกับความทุกข์ยากของประชาชนคนเสื้อแดงที่กำลังถูกกระทำย่ำยีอยู่ในเวลานี้ และรวมถึงผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากการสลายการชุมนุมด้วย เพราะท่านนายกมาจากการเลือกตั้งของประชาชน และท่านกำลังหาทางช่วยเหลือพี่น้องผู้ต้องประสบกับความทุกข์ยากเหล่านั้นอยู่
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar