måndag 4 mars 2013

เปิดเผย " ข่าวลับกรองแล้ว " หลังเลือกตั้ง ๓ มีนาคม ๒๕๕๖


ข่าวลับกรองแล้ว
โดยกลุ่มเสียงประชาชนไทย (สปท.) 3 มีนาคม 2556

 Ø  วันนี้ (3 มี.ค. 56) เป็นวันเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. พรรคเพื่อไทยขับเขี้ยวกับพรรคประชาธิปัตย์ ต่างฝ่ายต่างหายใจไม่ทั่วท้อง  แต่ สปท. เห็นว่าสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ก็คือสุขภาพและการแสดงบทบาทก่อนการเลือกตั้งของกษัตริย์ภูมิพล  ยังเป็นปัจจัยหลักที่ประชาชนไทยต้องเฝ้าจับตามองยิ่งกว่าผลการเลือกตั้ง  เพราะจะเป็นสัญญาณที่จะบอกทิศทางหลักของการเมืองไทยในอนาคต

 Ø  นับจากวันปีใหม่ที่กษัตริย์ภูมิพลฝืน สังขารตัวเองออกมาอวยพรเรียกคะแนนและข่มขู่กลุ่มอำนาจต่างๆที่เฝ้ารอวันตายของตนในวันขึ้นปีใหม่  แต่แทนที่จะได้ผลตามที่ตัวเองคาดหมาย ก็กลับกลายเกิดผลตรงกันข้าม  ด้วยสังขารที่ร่วงโรยและระบบสมองที่ไม่อาจจะสั่งงานได้อย่างปกติโดยจะเห็นได้จากการอ่านคำอวยพรที่อ่านได้ช้ามากและติดขัดตลอดรวมถึงคอที่หักพับลงและโงหัวไม่ขึ้นทำให้กลุ่มการเมืองและประชาชนที่ตาสว่างต่างสมเพชในความมักมากในอำนาจ  และต่างเฝ้ารอสถานการณ์จุดเปลี่ยนประเทศไทยเมื่อถึงวันตายของกษัตริย์ภูมิพล  และยิ่งศาลอาญาได้ตัดสินลงโทษนายสมยศ  พฤกษาเกษมสุข ด้วยข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2556 โดยมิได้กระทำผิด เป็นโทษหนักกว่าฆ่าคนตายถึงกว่าสิบปี ทั้งที่มีกฎหมายการพิมพ์ระบุไว้ชัดเจนว่า บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ไม่ต้องรับผิดผู้เขียนจะต้องรับผิดเอง   อีกทั้งมีคำพิพากษาฎีกาวางบรรทัดฐานไว้แล้วด้วย  ยิ่งทำให้ประชาชนรู้ถึงธาตุแท้ความโหดร้ายและคำหลอกลวงของกษัตริย์ภูมิพลที่ชอบอวดอ้างว่าตัวเองเป็นผู้มีคุณธรรมและชอบเสแสร้งว่าไม่ต้องการให้มีการดำเนินคดีกับประชาชนตาม ม.112  แต่ปรากฏว่ายิ่งพูดก็ยิ่งมีคนติดตะรางมากขึ้นและไม่มีการพระราชทานอภัยโทษ


Ø  นับแต่การฝืนสังขารออกมาอวยพรปีใหม่ดังกล่าวข้างต้น สุขภาพของกษัตริย์ภูมิพลก็ทรุดโทรมลงไปอีก ดังจะเห็นได้จากการเลื่อนหมายกำหนดการ การเปิดตึกเจ้าฟ้าสิริราชกกุฏภันฑ์ออกไปอย่างไม่มีกำหนดซึ่งกำหนดเดิมจะเปิดเมื่อต้นเดือน มกราคม


 Ø  หลักฐานการป่วยไข้ทางระบบสมองและร่างกายที่ไม่อาจจะปกปิดได้อีกหลักฐานหนึ่งในช่วงต้นเดือน มกราคม ก็คือการเพ้อหากับความทรงจำเก่าๆ สมัยเด็ก ที่คนมีประสาทปกติจะไม่มีใครกระทำกันก็คือการเพ้ออยากจะดูละครลิง และจากระบบการหลอกลวงประชาชนว่ากษัตริย์เป็นเหมือนพระเจ้าพวกขี้ข้าในวังรอบๆตัวก็ส่งสัญญาณออกนอกวังเหมือนคำประกาศิต ก็กลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับและเป็นข่าวทีวีทุกช่อง  แล้วหลังจากนั้นพวกขี้ข้าพวกสอพลอในสื่อต่างๆ ก็ประโคมข่าวของคณะละครลิงนายประกิตกันยกใหญ่โดยนำเจ้าของคณะละครลิงมาสัมภาษณ์  เจ้าของคณะละครลิงซึ่งเป็นสามัญชนคนยากจนก็เกิดความปลาบปลื้มใจเพราะรู้สึกเป็นเกียรติสูงสุดโดยไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร  ก็เฝ้าคอยหมายกำหนดการที่จะไปโรงพยาบาลศิริราชเล่นถวายให้ทอดพระเนตรแต่ปรากฏว่าจากวันนั้นถึงวันนี้ก็ยังไม่มีหมายกำหนดการให้เฝ้า  ทำให้มีการวิเคราะห์สถานการณ์ว่ากษัตริย์ภูมิพลมีสุขภาพไม่ดีที่จะลุกขึ้นมาดูละครลิงได้  ข่าวอีกสายหนึ่งก็แจ้งว่ากษัตริย์ภูมิพลอาจจะลืมไปแล้วเคยเพ้อเรื่องอยากดูละครลิงซึ่งขี้ข้าในวังก็ไม่มีใครกล้าเพ็ดทูล


 Ø  สิ่งที่สำคัญกว่าผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ก็คือเรื่องกษัตริย์ภูมิพลคิดอย่างไรกับการเลือกตั้งจากหลักฐานที่ปรากฏชัดได้สะท้อนให้เห็นถึงความไม่เป็นกลางและความอาฆาตแค้นของกษัตริย์ภูมิพลที่มีต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตร และไม่ชอบระบอบประชาธิปไตยโดยแสดงออกจากคนใกล้ชิดและตัวของกษัตริย์ภูมิพลเองดังจะเห็นได้จากคำพูดของ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร ที่เป็นคนใกล้ชิดกษัตริย์ภูมิพลคนหนึ่ง (เป็นหัวหน้านายตำรวจราชองครักษ์ประจำในวัง และกษัตริย์ได้ส่งตัวให้ไปเป็น รมช.มหาดไทยในคณะรัฐมนตรีเผด็จการที่มีองคมนตรี พล.อ.สุรยุทธ เป็นนายกฯ) ได้แสดงความคิดเห็นโดยเขียนบทความของตนเองลงเฟสบุ๊กของตนว่า  การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. เหมือนเป็นการชิงบ้านชิงเมืองโดยระบุชัดเจนว่าหากเบอร์ 9 พล.ต.อ.พงศพัศ ชนะก็เท่ากับว่าเป็นการเสียบ้านเสียเมืองให้แก่ศัตรูและเรียกร้องให้ชาว กทม. ลงคะแนนให้เบอร์ 16 พรรคประชาธิปัตย์  และในการหาเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ก็พยายามเกาะแนวความคิดของ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร  อาทิเช่น พยายามเชิดชูว่าเบอร์ 16 เป็นเชื้อพระวงศ์  และเชิดชูความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์มากกว่าที่จะเสนอนโยบายบริหาร กทม.  รวมตลอดถึง มรว.สุขุมพันธ์  ก็ขึ้นป้ายหาเสียงโฆษณาก่อนการประกาศการเลือกตั้งโดยติดรูปของตัวเองและชนชั้นสูงอีกหลายคนขึ้นป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ว่า “คนกรุงเทพจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ไม่เปลี่ยนแปลง”  ซึ่งคำโฆษณาอันนี้ได้ก่อให้เกิดความแตกแยกเสมือนหนึ่งว่าคนต่างจังหวัดมีความเปลี่ยนแปลงไม่จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์แล้ว  ซึ่งคำโฆษณาเหล่านี้ได้บอกชัดเจนว่าเป็นการแบ่งฝักฝ่ายในหมู่ประชาชนและไม่เป็นผลดีต่อระบอบกษัตริย์  แต่แทนที่สำนักพระราชวังจะออกคำว่ากล่าวตักเตือนก็กลับนิ่งเฉยเสมือนหนึ่งว่าเป็นความพึงพอใจของกษัตริย์ภูมิพล  อีกทั้งเมื่อใกล้จะถึงวันลงคะแนนเสียงการเลือกตั้ง  กษัตริย์ภูมิพลก็นั่งรถเข็นออกมาปรากฏกายต่อสาธารณชนอย่างไม่มีเหตุผลเพราะไม่มีหมายกำหนดการพระราชกรณียกิจไดๆ   เพียงแค่ออกมาแสดงตัวถ่ายรูปแล้วก็กลับเข้าที่พักทั้งๆที่หลักฐานเชื่อมั่นว่าไม่แข็งแรงแต่ก็ยังออกมาปรากฏตัวตอนใกล้การเลือกตั้ง  ข้อมูลหลักฐานที่กล่าวมาข้างต้นนี้จึงเป็นการยืนยันว่ากษัตริย์ภูมิพลอยู่ในภาวะการณ์ที่ไม่อาจจะควบคุมจิตใจให้เป็นไปตามความถูกต้องตามครรลองของกฎหมายแล้ว

 Ø  ตามข่าวของสถานีโทรทัศบลูสกายของพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 56 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการหาเสียงก่อนที่จะถึงเวลา 18.00น. ก็โฆษณาอย่างภาคภูมิใจของโฆษกรายการนางอัญชลี  ไพรีรัตน์ กับ นางเดือนเต็มดวง ณ เชียงใหม่ (เหลนเจ้าเชียงใหม่) ก็อวดอ้างอย่างภาคภูมิใจโดยเอ่ยอ้างชนชั้นสูงและพวกเผด็จการอำมาตย์ว่าล้วนแต่ลงคะแนนให้เบอร์ 16 ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ทั้งสิ้น


 Ø  บทสรุป การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ได้กลายเป็นสัญญาณบอกรากฐานของความขัดแย้งระหว่างระบอบกษัตริย์กับระบอบประชาธิปไตยที่ไม่อาจจะประนีประนอมได้และมีแนวโน้มที่จะเกิดการแตกหักมากกว่าที่จะมีการประนีประนอมดังจะเห็นได้จากปรากฏการณ์ข้างต้น  ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในระยะเวลา 5-6 ปีมานี้ ซึ่งเปรียบเสมือนดังผิวน้ำทะเลที่ราบเรียบแต่เกิดความปั่นป่วนอยู่ใต้ทะเล


...............................................................................................................

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar