måndag 31 augusti 2015

.บทลิเก..คณะลิเกลวงโลก.ตอน : เทวดาคลั่ง..กลายร่างเป็น ปีศาจกระหายเลือด สั่งฆ่าประชาชนที่ต้องการประชาธิปไตยโดยกล่าวหาว่าไม่จงรักภักดี.

 







By  d - day


กูเป็นใคร ผู้ยิ่งใหญ่ ใครก้อกราบ 
หมอบราบคาบ กราบหมา มึงเห็นไหม 
กูจะฆ่า มึงทุกคน พวกคนไทย
ที่หัวใจ รักประชา ฆ่าแน่นอน....



กูเทวา ข้ายิ่งใหญ่ ในสามโลก
กูจะโยก จะย้าย เปนไรหรือ
แผ่นดินนี้ กูได้มา กูลงมือ
นิ้วกูหรือ เกี่ยวโก่งไกร จึงได้มา

มึงเปนใคร จะคิดมา บังอาจกล้า
กูคนฆ่า กูสั่งยิง มีไรหรือ
พี่น้องกู กูยังยิง มากะมือ
มึงใครหรือ บังอาจกล้า ท้าทายกู

กูเปนใคร ผู้ยิ่งใหญ่ ใครก้อกราบ
หมอบราบคาบ กราบหมา มึงเห็นไหม
กูจะฆ่า มึงทุกคน พวกคนไทย
ที่หัวใจ รักประชา ฆ่าแน่นอน

กูขอบอก ทุกคน ทั้งปูเหลี่ยม
ถ้าไม่เจียม จะล้างโครต กุดหัวหมาย
ถึงกูป่วย ไกล้จะตาย มิวางวาย
กูจะหมาย ให้ทอมดำ นำมึงตาย
..


ขุนเขาบอก : อัสนีบาต.ฟาดสายเปรี้ยง...แตกเป็นเสี่ยง.ประเทศราช คำบัญชา.มหาอำมาตย์...สั่งพิฆาต.คนตาเข รวบอำนาจ.ประกาศศึก...ให้คักคึก.อุษาคเนย์ อ้างวานวงศ์.โรงลิเก...ช่างร้อยเล่ห์.ลิเกโจร..



ขุนเขาบอก :


เผด็จการ.ยิ่งฟูเฟื่อง...ดอกดาวเรือง.ยิ่งเฟื่องฟู......

เวลาเลื่อน.เดือนเมษา...คอยดูหมา.มันกัดกัน
ดูสุดยอด.แห่งความมัน...รับประกัน.มันหยดติ๋ง
กลุ่มสุนัข.บุรพา...กลุ่มลูกหมา.แห่งเมืองลิง

โอ้อำนาจ.วาสนา...แม้แต่หมา.ยังหาโหย
ยอมเสียหมา.พากันอวย...ที่มอดม้วย.คือไทผอง
ปฏิวัติ.รัฐประหาร...ล้มรัฐบาล.ค้านปรองดอง
น้องฆ่าพี่.พี่ฆ่าน้อง...ถอยลงคลอง.ล่องทะเล

อัสนีบาต.ฟาดสายเปรี้ยง...แตกเป็นเสี่ยง.ประเทศราช
คำบัญชา.มหาอำมาตย์...สั่งพิฆาต.คนตาเข
รวบอำนาจ.ประกาศศึก...ให้คักคึก.อุษาคเนย์
อ้างวานวงศ์.โรงลิเก...ช่างร้อยเล่ห์.ลิเกโจร

พยัคฆ์ร้าย.กลายเป็นหมา...คนกร่นด่า.ค่อนประเทศ
อำมาตยา.อ้างหาเหตุ...ปิดประเทศ.ตามคำโหร
ถูกเขาบี้.ขี้เยี่ยวเล็ด..คือสาเหตุ.โจรปล้นโจร
เศรฐกิจ.ติดเลนโคลน...โยนกันไป.โยนกันมา

อัยการ.เลิกทำศึก...ถลำลึก.มอสี่สี่
ยากจะหลีก.มิกสัญญี...สี่สิบสี่.เจ้าปัญหา
สังหารได้.ไม่ต้องสอบ...เก็บจังกอบ.ทั่วนครา
ได้ชิบหาย.กันละวา...สยามลา.อำมาตยาเรือง

จากมืดมน.สู่มืดมิด...ยากลิขิต.ชีวิตเอ๋ย
อยู่ใต้ตีน.เสียจนเคย...เฝ้าชมเชย.เจ้าดอกเหลือง
ถูกย่ำยี.ยังไม่เข็ด...คี้แทบเล็ด...กันทั้งเมือง
เผด็จการ.ยิ่งฟูเฟื่อง...ดอกดาวเรือง.ยิ่งเฟื่องฟู......
                 
ขุนเขาจากแดนไกล

เกาะติด...ชำแหละร่างรธน. จับตา"อภิรัฐบาล"

คลิกดูเพิ่ม-khaosod


"วรเจตน์ ภาคีรัตน์" ชำแหละร่างรธน. จับตา"อภิรัฐบาล"
มติชนออนไลน์

ผู้ต้องสงสัย ปฎิเสธทุกข้อกล่าวหา จากตุรกี..ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเหตุระเบิด เรื่องชักจะบานปลายไปกันใหญ่ อีกทั้งเรื่องจ่ายเงินรางวัลสามล้านตำรวจค่านำจับ งง! กับมาตรฐานตำรวจไทย ( เล่นเองชงเอง?) ดังไปทั่วโลก...


บีบีซีไทย - BBC Thais foto.






ผู้ต้องสงสัยหญิงที่ตุรกีปฏิเสธพัวพันเหตุระเบิดราชประสงค์
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ได้ติดต่อพูดคุยทางโทรศัพท์กับ น.ส. วรรณา สวนสัน ผู้ต้องสงสัยตามหมายจับคดีวางระเบิดที่สี่แยกราชประสงค์และท่าเรือสาทร ซึ่งปัจจุบันพักอยู่กับสามีชาวต่างชาติที่เมืองคายเซรีในตุรกี ได้ความว่า น.ส. วรรณามาอยู่ที่ตุรกีเป็นเวลาสามเดือนมาแล้ว และตกใจอย่างมากที่ได้ทราบว่าตนตกเป็นผู้ต้องสงสัยตามหมายจับดังกล่าว
น.ส. วรรณา วัย 26 ปี ยังกล่าวอีกว่า ตนเป็นผู้เช่าห้องพักย่านมีนบุรีที่ตำรวจตรวจพบวัตถุระเบิดจริง โดยเช่าให้เพื่อนของสามีอยู่ แต่ตนไม่ได้ไปที่ห้องพักดังกล่าวกว่าหนึ่งปีมาแล้วจึงไม่รู้ว่ามีใครมาพักอยู่บ้าง และไม่รู้จักชายผู้ต้องสงสัยตามหมายจับอีกคนที่เชื่อว่าอาศัยอยู่ที่ห้องดังกล่าวด้วย อย่างไรก็ตาม ทางตำรวจไทยได้ติดต่อตนมาทางโทรศัพท์แล้วในวันนี้ และพร้อมจะมอบตัวกับตำรวจเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ต่อไป


บีบีซีไทย - BBC Thais foto.

ตำรวจค้นบ้านผู้ต้องสงสัยหญิงที่พังงา ญาติเผยเจ้าตัวอยู่ตุรกีกับสามี และพร้อมติดต่อตำรวจเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ในคดีวางระเบิดแล้ว
ตำรวจภูธรจังหวัดพังงาได้เข้าตรวจค้นบ้านของน.ส.วรรณา สวนสัน ผู้ต้องสงสัยตามหมายจับพัวพันคดีวางระเบิดศาลพระพรหมและท่าเรือสะพานสาทร ที่ต.คุระ อ.คุระบุรี จ.พังงา โดยญาติของ น.ส. วรรณายินยอมให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นแต่โดยดี แต่ไม่พบตัวผู้ต้องสงสัยแต่อย่างใด
ญาติของน.ส.วรรณา คนดังกล่าวแจ้งว่า ขณะนี้ น.ส.วรรณา พักอาศัยอยู่ที่ประเทศตุรกีกับสามี โดยเดินทางออก...จากไทยไปตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. ที่ผ่านมา และล่าสุดได้ติดต่อญาติมาทางโซเชียลมีเดียยืนยันว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเหตุระเบิด และได้ติดต่อกับทางตำรวจแล้วเพื่อเข้ามอบตัวแสดงความบริสุทธิ์โดยเร็ว
ทั้งนี้ น.ส. วรรณาเป็นผู้ทำสัญญาเช่าห้องในหอพักย่านมีนบุรีให้ผู้ต้องสงสัยชายในหมายจับอีกผู้หนึ่ง ซึ่งถูกตั้งข้อหาครอบครองยุทธภัณฑ์โดยไม่ได้รับอนุญาต หลังพบวัตถุระเบิดและอุปกรณ์การประกอบระเบิดในห้องพักดังกล่าวจำนวนมาก

คลิกอ่าน-Visa mer



มติชนออนไลน์
ha

เป็นที่ฮือฮาไปทั่วโลกเมื่อ พล.ต.อ. สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แถลงมอบเงินรางวัลนำจับคนร้ายในคดีระเบิดที่แยกราชประสงค์จำนวน 3ล้านบาท ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจทีมสืบสวนสอบสวน โดยข่าวนี...





รัชกาลที่ ๙ คนบาปในคราบนักบุญ

Thai King


รัชกาลที่ ๙

คนบาปในคราบนักบุญ

 
แม้รัชกาลที่ ๙ ได้เป็นกษัตริย์แล้วแต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับจากจอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีที่มีอำนาจมากที่สุดในช่วงก่อนหน้าปี ๒๕๐๐ ทั้งนี้เพราะจอมพล ป. รู้เช่นเห็นชาติพระองค์เป็นอย่างดี จึงมิได้มีความเคารพนับถือแม้แต่น้อย ยิ่งเป็นเผ่า ศรียานนท์ด้วยแล้ว ถึงกับขู่ว่าจะเปิดโปง “กรณีสวรรคต” โดยการจ้างนายสง่า เนื่องนิยม นักไฮปาร์ก สมญา “ช้างงาแดง” ป่าวประกาศกึกก้องกลางสนามหลวงหน้าพระบรมมหาราชวังที่ประดิษฐานของพระเศวตฉัตรว่า จะเปิดเผยตัวผู้ฆ่ารัชกาลที่ ๘ เมื่อมีประชาชนมารอฟังนายสง่า เนื่องนิยมจำนวนมาก นายสง่าก็ปีนขึ้นไปยืนบนที่สูงกลางท้องสนามหลวง ในวันที่ ๒๔ มิ.ย. ๒๕๐๐ และร้องก้องว่า“ผู้ฆ่ารัชกาลที่ ๘ คือ.”...” แล้วเอาแว่นตาขึ้นมาสวมทำท่าประหลาด เพื่อบอกใบ้ให้คนดูรู้ว่าฆาตกรคือ รัชกาลที่ ๙ โดยไม่พูดอะไรอีก แม้นายสง่าแสดงกิริยาเช่นนี้ ตำรวจของเผ่าก็มิได้จับตัวนายสง่าไปลงโทษแต่อย่างใด (นายสง่าถูกจับตัวไปลงโทษภายหลังในสมัยสฤษดิ์ ธนะรัชต์)
ส่วนจอมพล ป. มีมาดที่สุขุมกว่านี้ ต่อหน้าประชาชนแล้ว จอมพล ป. จะย้ำว่าตนจงรักภักดีกษัตริย์ แต่ในที่ลับนั้นจอมพล ป. ได้เตรียมการที่เปิดโปง รื้อฟื้นการพิจารณาคดีสวรรคตขึ้นมาใหม่(๑) ซึ่งสิ่งนี้รัชกาลที่ ๙ ทนไม่ได้ จึงเปิดตัวออกมาเล่นการเมืองอย่างเปิดเผย ในวันที่ ๒๕ ม.ค. ๒๔๙๘ ทรงเริ่มปราศรัยในวันกองทัพบกว่าทหารไม่ควรเล่นการเมือง รัฐบาลจึงได้นำเอาบทความของ ดร.หยุด แสงอุทัย ออกอากาศทางวิทยุ แสดงความเห็นว่า “องค์พระมหากษัตริย์ไม่พึงตรัสสิ่งใดที่เป็นปัญหาหรือเรื่องราวเกี่ยวกับเศรษฐกิจการเมือง หรือทางสังคมของประเทศโดยไม่มีรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลเป็นผู้สนองพระบรมราชโองการ...”  เพื่อเป็นการโต้ตอบ พวกศักดินาเคียดแค้นบทความนี้มาก พากันโจมตีเป็นการใหญ่ รัชกาลที่ ๙ ฉวยโอกาสที่มีประชาชนไม่พอใจนโยบายเผด็จการของจอมพล ป. กันมากเป็นเครื่องมือรุกทางการเมือง โดยไม่ยอมลงพระปรมาภิไธยแต่งตั้งส.ส. ประเภท ๒ ตามที่รัฐบาลจอมพล ป. เสนอไป ในขณะเดียวกันก็พยายามทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสฤษดิ์ ธนะรัชต์กับตนเองกระชับมากขึ้น และแล้วสฤษดิ์ก็ร่วมมือกับรัชกาลที่ ๙ ด้วยการพาเอาพรรคพวกลาออกจากการเป็น ส.ส.ประเภท ๒ เป็นจำนวนมาก และไม่ยอมสนับสนุนจอมพล ป. อีกต่อไป จนกระทั่งทำการรัฐประหารในปี ๒๕๐๐ สฤษดิ์ ยกย่องรัชกาลที่ ๙ ให้ได้รับเกียรติยศมากขึ้นและฟื้นฟูพระราชพิธีที่ล้าหลัง เช่น แรกนาขวัญอันถูกยกเลิกไปในระยะหลังปี ๒๔๗๕ ในอดีตนั้นประเพณีนี้ล้าหลังถึงขั้นที่ว่า ถ้ากษัตริย์ยังไม่ได้ประกาศให้มีการแรกนาขวัญในแต่ละปีแล้ว ประชาชนจะทำไร่ทำนาไม่ได้เป็นอันขาดทีเดียว(๒) มิฉะนั้นจะต้องถูกลงโทษอย่างหนัก ในฐานะที่บังอาจทำอะไรข้ามหน้าข้ามตากษัตริย์
รัชกาลที่ ๙ เองได้พยายามสนับสนุนการปกครองที่บีบคั้นเสรีภาพของประชาชน เขาได้กล่าวสุนทรพจน์สนับสนุนสฤษดิ์อยู่เนืองๆ โดยไม่คำนึงถึงความผิดชอบชั่วดีเลยว่า ผู้ที่ตนสนับสนุนนั้นเป็นจอมเผด็จการที่คอรัปชั้นทรัพย์ของแผ่นดินไปนับพันล้านบาท ส่วนราชินีก็เช่นเดียวกัน คราวหนึ่งราชินีกับรัชกาลที่ ๙ได้รับการสนับสนุนจากสฤษดิ์ให้ไปเยือนออสเตรเลีย ในฐานะตัวแทนแห่งประเทศไทย ขณะที่ทรงประทับอยู่หน้าศาลาเทศบาลเมืองซิดนีย์นั้น มีประชาชนจำนวนหนึ่ง โปรยใบปลิวลงจากหน้าต่างตึกหน้าศาลาเทศบาลนั้น กระจายในหมู่ฝูงชน มีข้อความโจมตีสฤษดิ์ว่าเป็นฆาตกรประหารชีวิตผู้บริสุทธิ์ ราชินีทนอ่านข้อความนี้ไม่ได้เลย เพราะโดยพื้นๆนั้นทรงโปรดอ่านแต่เรื่องภูตผีวิญญาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านโหราศาสตร์ของไคโรโหรจากอังกฤษ(๓) (ก่อนที่จะสวดมนต์ภาวนาก่อนนอนวันละ ๒ ชม.) (๔) จึงแต่งหนังสือโต้ตอบกับประชาชนที่เกลียดชังเผด็จการดังกล่าวว่า ตนเองได้รู้จากนักเรียนไทยในออสเตรเลียว่าผู้ที่ต่อต้านสฤษดิ์ที่ซิดนี่ย์นั้นเป็น “...องค์การลับของพวกแดงที่มีทุนรอนมาก...” ทรงแสดงความเห็นว่า “ข้าพเจ้าอดที่จะนึกไม่ได้ว่าคงจะต้องเป็นองค์การใหญ่ที่มีเงินมากอย่างแน่นอน จึงมีทุนทรัพย์และหนทางที่จะสืบเรื่องเมืองไทยได้อย่างละเอียดลออ และยังลงทุนพิมพ์ใบปลิวมากมายไว้โปรยเล่นตอนเราได้รับเชิญมาเมืองนี้...” ทรงโต้แทนสฤษดิ์ว่า “...เหตุผลของเขาในการตำหนิรัฐบาลเรา ฟังไม่ค่อยขึ้น คนที่เขาเรียกว่าผู้บริสุทธิ์ในใบปลิว ก็คือพวกที่โดนประหารชีวิตเพราะวางเพลิงกับพวกที่กระทำจารกรรมและอาชญากรรมต่างๆในเมืองเรานั่นเอง...”(๕) ตกลงราชินีก็เช่นเดียวกับผู้ที่นิยมลัทธิเผด็จการเบ็ดเสร็จคนอื่น คือพอเห็นใครต่อต้านโจมตีการใช้อำนาจเผด็จการป่าเถื่อนกดหัวประชาชน โดยไม่คำนึงถึงศีลธรรมเข้า ก็หาว่าผู้นั้นเป็นคอมมิวนิสต์ เป็นแดง เป็นซ้ายและอะไรต่อมิอะไร ที่จะเสกสรรปั้นเรื่องขึ้นเป็นเหตุผลในการปิดปากประชาชนต่อไป โดยพอใจที่จะยกย่องรัฐบาลที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นคนขี้โกงเช่นสฤษดิ์ ว่าเป็น”รัฐบาลของเรา” มากกว่าที่จะเห็นอกเห็นใจประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศที่ถูกคอรัปชั่นจนยากจน สูญเสียโชควาสนาและความหวังในชีวิตไปแทบจะหมดสิ้น
ขณะที่รัชกาลที่ ๙ และราชินีกำลังร่วมมือกับสฤษดิ์ เพื่อรื้อฟื้นฐานะของสถาบันกษัตริย์ให้สูงขึ้นนั้น ในกลุ่มศักดินาด้วยกันเองก็ไม่ละเว้นที่จะแก่งแย่ง ชิงความเป็นใหญ่ในแผ่นดินทุกขณะ ...... ตราบเท่าที่ตำแหน่งกษัตริย์ยังคงมีอยู่ในประเทศไทย จึงขอย้อนกล่าวถึงการแก่งแย่งราชสมบัติระหว่างพวกศักดินา จนกระทั่งฝ่ายมหิดลได้เป็นกษัตริย์
ตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นแล้วนั้น เรื่องนี้ได้สร้างความเคียดแค้นให้ฝ่ายจักรพงษ์มาก จึงมีการวางแผนอย่างลึกซึ้ง โดยให้เครือญาติของตนเข้าไปมีส่วนร่วมในสถาบันกษัตริย์ เพื่อให้ราชสมบัติกลับมายังพวกตนบ้าง ถ้าเอาคนในตระกูลจักรพงษ์เข้าไปสัมพันธ์ทางสายโลหิตกับตระกูลมหิดลโดยตรง ก็เกรงว่าอีกฝ่ายจะรู้ตัว ดังนั้นจึงวางแผนเอาตระกูลที่ใกล้ชิดกับตน คือตระกูลกิติยากรเข้าไปสัมพันธ์กับพระองค์เจ้าภูมิพล (รัชกาลที่ ๙)

Free Talk No 01 Lying Hero Bhumibol..พูดจาประสาคน ภูมิพลไม่ใช่คนวิเศษ ...





Cr. ลุงสมชาย ป้าสมจิต
พูดจาประสาคน # 01 ภูมิพลไม่ใช่คนวิเศษ
Free Talk # 01 Lying Hero Bhumibol
ภูมิพลมีแต่ความดี เก่งทุกเรื่อง เหน็ดเหนื่อยเพื่อประชาชน หรือเป็นเพียงแค่เรื่องตอแหลโฆษณาชวนเชื่อของพวกลวงโลก

คลิกฟัง-http://youtu.be/TDyC3Ig66EA

17ส.ค.ระเบิดลง"ศาลพระพรหมเอราวัณ".?29ส.ค.จับหนุ่มต้องสงสัยไร้สัญชาติ ?.31สค..วันนี้คดีจำนำข้าว.?. 6ก.ย.ร่างรัฐธรรมนูญ"ผ่านไม่ผ่าน" ? ต่างกรรมต่างวาระต่างเวลาแต่เกี่ยวพันเรื่องเดียวกันเพื่อผ่าทางตันร่างรัฐธรรมนูญ??? ปาหี่กลเกมส์การเมืองของพวกเผด็จการ.?.ฝากให้ประชาชนคิดติดตามดูดีๆอย่าหลงทาง...

ThaiE  News
แปะไว้หน่อย ภาพข่าวคั่นเวลา ไม่มีไรมาก แค่ความเคลื่อนไหว ยิ่งลักษณ์ไปศาลวันนี้ คดีจำนำข้าว






แปะไว้หน่อย ภาพข่าวคั่นเวลา ไม่มีไรมากแค่ความเคลื่อนไหว ยิ่งลักษณ์ไปศาลวันนี้ คดีจำนำข้าวมีคนเจอะภาพ จับภาพ และจารภาพไว้ให้รับรู้ ให้ชูชิด และให้คิดลึกๆ.




RE.การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และความขัดแย้งในสังคมไทย

การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และความขัดแย้งในสังคมไทย

                                                            โดย  เด่นพงษ์   รักประชา
ประชาธิปไตย
คำว่า ประชาธิปไตย เป็นศัพท์ใหม่เพิ่งมีผู้ตั้งศัพท์นี้มาเมื่อประมาณ 100 ปีมานี้เอง  จากรากศัพท์เดิมของคำว่า ประชาธิปไตย แปลมาจากคำในภาษากรีก  “  DEMOKRATIA  “ ซึ่งมาจากมูลศัพท์  “DEMOS”แปลว่า ปวงชน  ผสมกับคำว่า .” KRATOS “  แปล ว่าอำนาจ และ  “ KRATIEN “ แปลว่า การปกครอง  ดังนั้นคำว่า “ DEMOKRATIA “  จึงหมายถึง อำนาจสูงสุดของปวงชน  การปกครองโดยมติของปวงชน
คำ ว่า ประชาธิปไตย จึงหมายถึงรูปแบบการปกครองที่ถือมติปวงชนเป็นใหญ่  เพราะอำนาจสูงสุดเป็นของปวงชน  ซึ่งมีสิทธิ์กับหน้าที่ตามธรรมชาติของมนุษยชน
ถึง แม้จะมีผู้ตั้งศัพท์คำว่าประชาธิปไตยขึ้นมาเมื่อ 100 ปีที่แล้วก็ตาม แต่รูปแบบการปกครองประชาธิปไตยมีมาพร้อมกับการเกิดสังคมของมนุษย์ชาติที่ มนุษย์รู้จักอยู่ร่วมกันเป็นหมู่เป็นกลุ่มในสังคม  ในยุคสมัยของสังคมบุพกาลทุกคนต้องล่าเนื้อหาอาหารกินเองจะอาศัยแรงงานคนอื่น หาให้กินไม่ได้  ซึ่งหมายความว่าในยุคของสังคมบุพกาลมนุษ์ไม่มีการเบียดเบียนเอารัดเอาเปรียบ กัน
ใน ระยะต่อมามนุษย์ได้รู้จักการเลือกตั้งเจ้าโคตรเจ้าตระกูลขึ้นมาเป็นหัวหน้า กลุ่มหรือหัวหน้าของสังคม  เพื่อทำพิธีทางไสยศาสตร์  จึงเกิดมีการรวมกลุ่มเกิดชุมชนขึ้น ต่อมา มีการแย่งชิงเขตแดนที่ทำมาหากิน  จึงมีการรบราฆ่าฟันกันในแต่ละกลุ่ม  หัวหน้ากลุ่มไหนแข็งแรงก็สามารถขยายอาณาเขตของตนให้กว้างขวางออกไป  และจับเอาฝ่ายตรงกันข้ามมาเป็นเชลย  ซึ่งเชลยนี้ครั้งแรกก็ฆ่าทิ้งหรือใช้กินเป็นอาหาร  แต่ต่อมาเชลยที่ถูกจับได้ถูกบังคับให้เป็นทาสเพื่อใช้แรงงานให้แก่เจ้าโคตร เจ้าตระกูลที่เป็นหัวหน้าของสังคม  ระบบทาส ซึ่งเป็นระบบที่โหดร้ายที่สุดของมนุษย์ชาติจึงเกิดขึ้น
เมื่อ ระบบทาสได้เริ่มขึ้นในสังคมของมนุษย์   รูปแบบการปกครองประชาธิปไตยที่มีมาแต่เดิมนั้นก็หมดไป  พวกนายทาสได้กลายมาเป็นหัวหน้าของสังคม  และได้ใช้วิธีปกครองแบบบังคับอย่างโหดร้ายทารุณที่สุดกับพวกทาส  ทาสจึงเปรียบเสมือนสัตว์ที่พูดได้  นายทาสจะซื้อขายหรือเข่นฆ่าและบังคับใช้แรงงานได้ตามใจชอบเหมือนกับสัตว์
ในกฏหมายเก่าของไทยก็ได้บัญญัติไว้ว่า  ทาสเป็นทรัพย์สินชนิดหนึ่งจำพวกเดียวกับสัตว์ที่มีชีวิตทั้งหลายเรียกว่า “ วิญญาณทรัพย์ “ ระบบทาสจึงเป็นระบบเผด็จการที่ทารุณโหดร้ายและเลวทรามที่สุดของมนุษย์ ที่ดำรงคงอยู่มาเป็นเวลาหลายร้อยปี  ความเจริญรุ่งเรืองในยุคต่างๆของมนุษย์ ได้ถูกสร้างขึ้นอย่างมากมายก็โดยน้ำพักน้ำแรงของพวกทาส  เช่นสถานที่โบราณ วัตถุก่อสร้างต่างๆ ที่สร้างขึ้นในสมัยโรมัน  สมัยกรีก  และโบสถ์  วัดวาอารามสมัยเก่าของไทยก็ได้ถูกสร้างขึ้นโดยน้ำพักน้ำแรงของพวกทาสทั้ง นั้น  ระบบทาสได้ดำรงคงอยุ่ในสังคมไทยมาจนถึงรัชสมัยรัชกาลที่ ๕
เมื่อ วิวัฒนาการของสังคมได้เจริญก้าวหน้าขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง  ระบบทาสได้กลายมาเป็นสิ่งที่ขัดขวางความเจริญทางการผลิตทำให้เกิดความขัด แย้งกันภายในของสังคมระบบทาสขึ้น  พวกลูกทาสได้ลุกขึ้นต่อสู้ อาทิ การต่อสู้ของสปาตาคุสในระบบทาสโรมัน เมื่อ ๗๔ ปีก่อนพระเยซูเกิด เป็นต้น  ต่อมาพวกเจ้าทาสจึงได้ผ่อนผันให้ทาสบางส่วนทำการเพาะปลูกในที่ดินของเจ้าทาส และนำผลผลิตที่ได้ส่งเป็นเครื่องบรรณาการให้แก่พวกนายทาสหรือที่เรียกว่า  “ส่งส่วย “
สมัย ก่อนมนุษย์เรายังไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฏเกณฑ์ต่างๆของธรรมชาติ ไม่สามารถอธิบายสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในจักรภพนี้ได้   จึงเชื่อเอาอย่างงมงายว่าธรรมชาติและสรรพสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ล้วนมีสิ่งบรรดาลมาจากเบื้องบนเพื่อให้เป็นไปเช่นนั้น  ซึ่ง อำนาจจากเบื้องบนนั้นเชื่อกันว่าเป็นอำนาจของพระเจ้า  หรืออำนาจของพวกเทวาอารักษ์  พวกเจ้าโคตรเจ้าตระกูลทั้งหลาย  ผู้ที่เป็นหัวหน้าสังคมที่ถูกเลือกขึ้นในยุคของสังคมบุพกาลเพื่อให้เป็นตัว แทนในการทำพิธีทางไสยศาสตร์นั้น ต่อมาก็ได้ตั้งตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์  หรือจักรพรรดิ์ ปกครองอยู่ตามดินแดนหรือในแค้วนต่างๆ  บุคคล เหล่านี้ได้ตั้งตนเองขี้นเป็นตัวแทนของพระเจ้า  อ้างว่าพระเจ้าส่งตนลงมาจุติในโลกมนุษย์ หรือเป็นตัวแทนมาจากเบื้องบน คือสวรรค์เพื่อลงมาโปรดมนุษย์  โดยได้รับอำนาจมาจากสรวงสวรรค์  เพื่อให้มาปกครองมนุษย์  เช่นในสมัยโบราณของจีนเชื่อกันว่ากษัตริย์หรือ จักรพรรดิ์เป็นโอรสมาจากสวรรค์  ในประเทศญี่ปุ่นสมัยเก่าก็เชื่อกันว่าจักรพรรดิเป็นโอรสของพระอาทิตย์มาเกิด เป็นต้น
นี้ คือต้นเหตุหรือแนวความคิดที่กษัตริย์ หรือจักรพรรดิ์ของประเทศต่างๆ คิดไปเองว่า  ที่ดินและสรรพสิ่งทั้งหลายรวมทั้งคนและสัตว์ทั้งหมดภายใต้สวรรค์เป็นสมบัติ ของตน
ใน ประวัติศาสตร์ของกรุงศรีอยุธยายังปรากฏในกฏหมาย  “ ตราสามดวง “ ว่า  “  ที่ดินทั้งหลายในแคว้นศรีอยุธยาเป็นของพระเจ้าอยู่หัวโดยพระบรมเดชานุภาพ “  ระบอบศักดินา จึงเกิดขึ้น  อำนาจการปกครองทุกอย่างอยู่ในมือของผู้เป็นหัวหน้าของสังคมแต่ผู้เดียว  กษัตริย์ หรือจักรพรรดิ์ ก็สามารถใช้อำนาจได้โดยไม่จำกัดขอบเขต  อำนาจเผด็จการโดยสมบูรณ์ของกษัตริย์ก็เกิดขึ้น   ต่อมากษัตริย์ หรือจักรพรรดิ์ ยังได้ตราเป็นกฏหมายขึ้นอีกว่า เมื่อตัวเองตายลงก็ให้ลูกหรือญาติที่สนิทของตนรับช่วงเป็นผู้สืบทอดวงค์ ตระกูลปกครองประเทศสืบต่อไป เป็นการสืบทอดราชสันติวงค์ต่อไปอีกเป็นทอดๆ
รูป แบบการปกครองนี้คือรูปแบบการปกครองเผด็จการศักดินา มิได้แตกต่างไปจากการปกครองในระบอบทาสมากนัก  จะต่างกันก็เพียงแต่ว่าเปลี่ยนจากระบอบทาสมาเป็น ระบบ  “ส่วย “
ใน ระบอบสังคมศักดินาพวกทาสนอกจากจะผลิตเพื่อเลี้ยงตัวเองและครอบครัวแล้วยัง ต้องผลิตให้แก่พวกเจ้าศักดินาอีกด้วยตามระบบ  “ ส่วย “  ซึ่งปัจจัยและเครื่องมือสำหรับทำมาหากินอยู่ในมือของพวกเจ้าศักดินา  เช่นที่ดินและเครื่องมือในการผลิตต่างๆ  การปกครองแบบนี้ในเมืองไทยเรียกว่า  การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์  เป็นรูปแบบการปกครองที่กษัตริย์มีอำนาจสูงสุดแต่ผู้เดียว
สังคม ศักดินาในยุโรบได้ถูกโค่นล้มลงไปในปลายของศตวรรตที่ ๑๘  ระบอบทุนนิยมได้เข้ามาแทนที่  การวิวัฒนาการของสังคมมนุษย์ชาติจากสังคมหนึ่งเข้าสู่อีกสังคมหนึ่งเป็น กฏเกณฑ์ตามธรรมชาติของสังคมที่จะต้องเป็นไปเช่นนั้น  มาร์กช์ได้ค้นพบในวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ถึงสาเหตุการเปลี่ยนของสังคม  จากสังคมหนึ่งไปสู่อีกสังคมหนึ่งโดยเกิดจากการขัดแย้งภายในของสังคมนั้น เอง   ระหว่างความสัมพันธ์การผลิต คือมีผู้ถือปัจจัยการผลิตและกำลังการผลิตอีกด้านหนึ่ง  เมื่อความสัมพันธ์การผลิตในสังคมใดสอดคล้องกันสังคมนั้นก็เจริญพัฒนา  ถ้าสังคมใดที่ผู้ถือปัจจัยการผลิตขัดขวางกำลังการผลิต ความขัดแย้งภายในสังคมนั้นก็จะเกิดขึ้น เมื่อความขัดแย้งเกิดขึ้นถึงขั้นรุณแรงที่สุดก็สามารถเปลี่ยนไปสู่สังคมอีก รูปแบบหนึ่งที่สูงกว่า  เช่นการเปลี่ยนแปลงจากสังคมระบอบทาสไปสู่สังคมระบอบศักดินา และการเปลี่ยนแปลงสังคมศักดินา เข้าสู่ระบอบทุนนิยม  จากทุนนิยม เข้าสู่สังคมนิยม  จากระบอบสังคมนิยมเข้าสู่ระบอบสังคมคอมมิวนิสต์  นี่คือวิวัฒนาการของสังคมของมนุษย์ชาติที่มาร์กช์ได้ค้นพบและพิสูจน์ให้เห็น ในวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ซึ่งถือว่าเป็นผลงานอันยิ่งใหญ่ทางประวัติศาสตร์ อย่างหนึ่งของมาร์กช์
ดัง นั้นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของมนุษย์ จึงเป็นหน้าที่อันชอบธรรมตามธรรมชาติของมนุษยชนพึงกระทำ  อำนาจสูงสุดของปวงชนย่อมหมายถึงอำนาจของผู้ที่เป็นกำลังการผลิตซึ่งเป็นพลัง ส่วนมากของสังคม  การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยก็คือการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์การ ผลิต  โดยเปลี่ยนปัจจัยการผลิตจากบุคคลกลุ่มน้อยในสังคมให้มาอยู่ในมือของผู้ที่ เป็นกำลังการผลิตที่เป็นพลังส่วนมากของสังคม  เมื่อเป็นเช่นนี้ระบอบประชาธิปไตยอันสมบูรณ์จึงจะเกิดขึ้น
เนื่อง จากการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเป็นสิทธิและหน้าที่อันชอบธรรมตามธรรมชาติของ มนุษย์  ที่มนุษย์พึงกระทำ  มนุษย์ชาติทั่วโลกจึงได้ลุกขึ้นต่อสู้  เพื่อสิทธิและเสรีภาพของตนอยู่เรื่อยมาจนกระทั่งทุกวันนี้  ในยุโรป  อเมริกา อาฟริกา อาเชีย  ลาตินอเมรืกา  และตะวันออกกลางเป็นต้น  ซึ่งการต่อสู้ได้ดำเนินไปในรูปแบบที่แตกต่างกัน  ในประเทศยุโรปตะวันตก  ในประเทศแถบสแกนดิเนเวีย  ประชาชนของประเทศเหล่านั้นได้ต่อสู้มาเป็นขั้นๆและยาวนาน  เริ่มจากการจัดตั้งพรรคการเมืองต่างๆขึ้นโดยไม่มีการจำกัดความคิดทางด้าน อุดมการณ์  ไปจนถึงการเรียกร้องสิทธิในการออกเสียงเลือกตั้งเท่าเทียมกันของหญิงชาย  สิทธิในการจัดตั้งสหพันธ์กรรมกรแรงงานในอาชีพต่างๆ  เพื่อรักษาผลประโยชน์ให้แก่สมาชิกผู้ใช้แรงงานในด้านต่างๆที่เป็นธรรม  และระบบสวัสดิการต่างๆ  ประชาชนสามารถเลือกตัวแทนของตนเองได้โดยวิถีทางประชาธิปไตย  และสามารถตั้งรัฐบาลที่เป็นตัวแทนรักษาผลประโยชน์ให้แก่มวลชนที่เป็นเสียง ส่วนมากของสังคม
แต่ ในประเทศที่ชนชั้นปกครองไม่ยอมให้ประชาชนมีประชาธิปไตยตามธรรมชาติโดยสันติ วิธี  ประชาชนในประเทศเหล่านั้นย่อมทำการต่อสู้โดยวิธีรุนแรง ซึ่งก็เป็นหน้าที่และสิทธิอันชอบธรรมโดยธรรมชาติของมนุษย์ในสังคมนั้น อาทิ การปฏิวัติใหญ่ในฝรั่งเศสในปี คศ. ๑๗๘๙  และการปฏิวัติใหญ่ในรัสเซียเมื่อปี คศ. ๑๙๑๗ เป็นต้น
การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของไทย
ถึง ปี พศ. ๒๔๗๕  ระบอบศักดินาซึ่งเป็นระบอบเก่าแก่และล้าหลังกำลังเสื่อมสลายได้กลายมาเป็น สิ่งที่ขัดขวางกำลังการผลิต  ทำให้เศรษฐกิจของชาติไม่เจริญก้าวหน้า  ราษฎรที่เป็นผู้ผลิตส่วนมากของสังคม ได้รับความเดือดร้อน จึงได้มีการเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองแบบศักดินาเป็นระบอบ ประชาธิปไตยที่ดีกว่า  ได้เกิดการขัดแย้งกันขึ้นภายในสังคม  ข้าราชการและปัญญาชนที่มีหัวก้าวหน้าภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชไม่พอใจ กับความเป็นอยู่ของสังคมที่หล้าหลังและความไม่ยุติธรรมในระบอบเผด็จการกษัต ริย์ และ ขณะเดียวกันระบอบศักดินาในประเทศยุโรปตะวันตก ได้ถูกโค่นล้มลงมีการวิวัฒนาการอย่างก้าวกระโดดทางด้านอุตสาหกรรม  มีการค้นพบเครื่องมือการผลิตใหม่ๆ  เช่นเครื่องจักรกลและเครื่องจักรไอน้ำแบบใหม่ในปลายศตวรรษที่ ๑๘ ทำให้ประเทศเหล่านั้นกลายมาเป็นประเทศทุนนิยมได้ขยายขอบเขตอิธิพลทาง เศรษฐกิจข้ามทวีปเข้าสู่ประเทศด้อยพัฒนาหรือประเทศในโลกที่สามเพื่อล่า อาณานิคมเมืองขึ้น เพื่อเป็นแหล่งขูดรีดแรงงาน แสวงหาวัตถุดิบตลอดจนใช้เป็นแหล่งสำหรับระบายสินค้า  ประเทศฝรั่งเศสได้เข้ายึดครองในอินโดจีน ฮอลันดาเข้ายึดครองอินโดนิเชีย  อังกฤษเข้ายึดครองอินเดีย พม่า มลายู  ปอร์ตุเกสเข้ายึดครองประเทศในอาฟริกาเป็นต้น
ใน ประเทศไทยพวกชาติตะวันตกได้บังคับให้ชนชั้นปกครองศักดินาไทยทำสัญญาไม่เสมอ ภาคต่างๆกับประเทศอังกฤษ  ประเทศฝรั่งเศส ทำให้ไทยต้องเสียเอกราชทางการเมือง ทางศาล และทางด้านเศรษฐกิจ รวมทั้งต้องเสียดินแดนเป็นจำนวนมากให้แก่ประเทศเหล่านั้น
เมื่อ เดือนกุมภาพันธ์ ปี พศ. ๒๔๗๐ ปัญญาชนผู้รักชาติรักประชาธิปไตยที่เป็นตัวแทนกองหน้าของราษฎรไทยได้ร่วมกัน จัดตั้ง คณะราษฎร  ขึ้นในประเทศฝรั่งเศส มี ดร. ปรีดี พนมยงค์ เป็นหัวหน้า  เพื่อทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบกษัตริย์เผด็จการ มาเป็นระบอบประชาธิปไตยที่กษัตริย์อยู่ภายใต้กฏหมาย  หรือการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบราชา ธิปไตยที่กษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ  โดยอำนาจการปกครองสูงสุดเป็นของปวงชน และปวงชนเป็นผู้ใช้อำนาจนั้นผ่านทางนิติบัญญัติหรือรัฐสภา ทางการบริหาร หรือรัฐบาล และทางตุลาการ  มีหลักนโยบายทางการเมืองดังต่อไปนี้
๑.       รักษาความเป็นเอกราชทั้งหลายเช่นเอกราชทางการเมือง  ทางศาล ทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ของประเทศไว้ให้มั่นคง
๒.     รักษาความปลอดภัยในประเทศให้การประทุษร้ายต่อกันลดลงให้มาก
๓.     บำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฏรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะหางานให้ราษฎรทุกคนทำจะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดหยาก
๔.     ให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคกัน
๕.     ให้ราษฎรมีเสรีภาพที่ไม่ขัดต่อหลักสี่ประการดังกล่าวแล้ว
๖.     ให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร
หลัง จาก คณะราษฎร ได้ก่อตั้งขึ้นในปี พศ ๒๔๗๐ อีกห้าปีต่อมาคือในปี พศ. ๒๔๗๕  ก็ได้ทำการยึดอำนาจเปลี่ยนการปกครองทำให้ระบอบเผด็จการกษัตริย์ต้องสิ้นสุด ลง    และนำเอาระบอบการปกครองประชาธิปไตยมาใช้ในเมืองไทยเป็นประเทศแรกในเอเชีย อาคเนย์.  โดยปวงชนชาวไทยมีสิทธิและเสรีภาพในการเลือกตัวแทนของตนเป็นรัฐบาล  ออกกฎหมายและรัฐธรรมนูญเพื่อปกครองตนเอง
ตาม รัฐธรรมนูญฉบับ ๙ พฤษภาคม พศ. ๒๔๘๙  ได้ให้สิทธิประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ที่สุดแก่ปวงชนชาวไทย  ตามข้อความในมาตรา ๑๓  ให้มีเสรีภาพบริบูรณ์ในการถือศาสนาหรือลัทธินิยมใดๆ  มาตรา ๑๔ ให้เสรีภาพบริบูรณ์ในร่างกาย  เคหสถาน  ทรัพย์สิน  การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา  การศึกษาอบรม  การชุมนุมสาธารณะ  การตั้งสมาคม การตั้งพรรคการเมือง  การอาชีพ
การ เปลี่ยนแปลงการปกครอง พศ. ๒๔๗๕  เป็นการโค่นล้มระบอบศักดินาลงพร้อมกันนั้นก็ได้ลบล้างความสัมพันธ์การผลิต  โดยเปลียนปัจจัยการผลิตในการทำมาหากิน เดิมอยู่ในมือของพวกศักดินาให้มาอยู่ในมือของชาวนาและกสิกรที่เป็นกำลังการ ผลิตส่วนใหญ่ของสังคมในเวลานั้นโดยการออกพระราชบัญญัติต่างๆ  เช่น พรบ.ห้ามยึดทรัพย์กสิกร  พรบ.ประมวลรัชฎากรยกเลิกรัชชูปการและอากรค่านาในปี พศ. ๒๔๘๑ ซึ่งประกาศใช้ในเดือนเมษายน พศ. ๒๔๘๒  การออกกฏหมายจำกัดขนาดการยึดครองที่ดินได้ไม่เกินคนละ ๕๐ ไร่ในปี ๒๔๗๙
การ เปลี่ยนแปลงการปกครองปี พศ. ๒๔๗๕ ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงจากสังคมศักดินาที่หล้าหลังเข้าสู่สังคมใหม่ที่ สูงกว่า คือสังคมระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจรัฐอยู่ในมือของปวงชนที่เป็นเสียงส่วนใหญ่ ของสังคมจึงดีกว่าระบอบเผด็จการกษัตริย์ที่เป็นระบอบเก่าหล้าหลัง  เป็นการปกครองโดยประชาชน เพื่อประชาชนตามวิถีทางของประชาธิปไตยที่สมบูรณ์  พร้อมกันนั้นรัฐก็ได้วางโครงการเศรษฐกิจใหม่  เช่นการจัดตั้งธนาคารชาติ  โอนกิจการต่างๆมาเป็นของรัฐ  ปรับปรุงการศึกษาให้คนไทยทุกคนได้รับการศึกษา  จัดตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมืองขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้การศึกษาแก่ ปัญญาชนทุกคนทุกชนชั้น
การ เปลียนจากสังคมหนึ่งเข้าสู่อีกสังคมหนึ่งที่สูงกว่าเป็นสิ่งที่ยากมากโดย เฉพาะในระยะผ่านการยึดอำนาจแม้จะเป็นเรื่องยากก็ไม่ยากเท่ากับการรักษาไว้  และยิ่งเป็นเรื่องยากลำบากมากที่จะสร้างสังคมของมนุษย์ชาติขึ้นใหม่จากสังคม เก่าที่หล้าหลัง  ดังนั้นในระยะผ่านซึ่งเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้ ระบบให้การศึกษาอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับประชาธิปไตยเพื่อให้ประชาชนในสังคม ยอมรับและมีจิตสำนึกเพื่อให้ระบอบประชาธิปไตยพัฒนาก้าวหน้าต่อไป
เป็น ที่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่การเปลี่ยนการปกครอง พศ. ๒๔๗๕ ที่นำโดยกลุ่มบุคคลของคณะราษฎรยังไม่ทันที่จะเปลี่ยนระบบสังคมไทยให้ไปสู่ เป้าหมายตามนโยบายของคณะราษฎร  ก็ได้ถูกพวกซากเดนศักดินาที่เป็นพลังเก่าและหล้าหลังทำการขัดขวางการเปลี่ยน แปลงมาตลอดและ สนับสนุนให้พวกทหารฝ่ายขวายึดอำนาจกลับคืนในวันที่ ๘ พฤษภาคม พศ.๒๔๙๐
จน กระทั่งบัดนี้มีรัฐบาลที่ปกครองประเทศมาแล้วหลายยุคหลายสมัยแต่ประชาชนชาว ไทยก็หาได้มีประชาธิปไตยไม่ เป็นเวลากว่า ๖๐ ปีแห่งความขัดแย้งในทางสังคมไทยระหว่างพลังเก่าซากเดนศักดินาหล้าหลัง ที่เคยสูญเสียอำนาจไปเมื่อ ๖๐ ปีก่อนได้ฟื้นฟูอำนาจกลับคืนมาอีก ผูกขาดอำนาจทางการเมือง การเศรษฐกิจ  วัฒนธรรม ร่วมกับพวกนายทุนต่างชาติครอบครองปัจจัยการผลิตของสังคมไทยไว้ในมือ  กับอีกฝ่ายหนึ่งที่เป็นกำลังการผลิตส่วนมากของสังคมได้แก่ ชาวไร่  ชาวนา กรรมกร พ่อค้าแม่ค้าผู้ผลิตรายย่อยต่างๆ รวมทั้งข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ชั้นผู้น้อย กำลังได้รับการกดขี่ขูดรีดแรงงานอย่างหนักจากกลุ่มพวกนายทุนผูกขาด
ความขัดแย้งของสังคมไทย
ปัญหา เรื่องความขัดแย้งนี้ผู้เขียนจะขอวิจัยตามหลักของวัตถุนิยมประวัติศาสตร์โดย แยกความขัดแย้งออกเป็นสองประเด็น  ประเด็นแรกคือผู้กุมปัจจัยการผลิตและประเด็นที่สองได้แก่กำลังการผลิต
หลัง จากการรัฐประหาร ๘ พฤษภาคม ๒๔๙๐เป็นต้นมาความขัดแย้งในสังคมไทยได้ดำรงคงอยู่มาจนถึงเวลาปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ ของคณะราษฎร ถึงแม้ว่าจะยึดอำนาจรัฐได้แต่สถาบันอื่นๆที่เป็นโครงสร้างส่วนบนของสังคม เก่ายังเหลืออยู่โดยมิได้เปลี่ยนแปลง  เช่น สถาบันทหาร  ตำรวจ ศาล ศาสนา โดยเฉพาะสถาบันกษัตริย์ ที่เป็นพลังเก่าของสังคมยังมีทัศนะหลงเหลือมาจากสังคมเก่าในระบบทาส  บุคคลที่เป็นตัวแทนของพลังเก่าจากสถาบันเหล่านี้เคยสูญเสียอำนาจ เมื่อมีโอกาสก็สนับสนุนให้พวกทหารฝ่ายขวายึดอำนาจกลับคืนมา  เพื่อให้คุ้มครองสถาบันและรักษาผลประโยชน์ให้แก่กลุ่มของพวกตน  จึงเป็นสาเหตุให้พวกชนชั้นศักดินาเก่าฟื้นฟูอำนาจกลับคืนมาอีก และกลายมาเป็นนายทุนผูกขาดร่วมกับพวกนายทุนต่างชาติผูกขาดอำนาจทาง การเมือง การเศรษฐกิจ  สังคม และ วัฒนธรรมไทย อยู่จนถึงปัจจุบัน
สมัย ที่พวกชนชั้นศักดินาเรืองอำนาจ  พวกเจ้าศักดินาได้ปล่อยให้พวกพ่อค้าที่เป็นคนต่างชาติเชื้อสายจีนเข้ามาทำ การค้าขาย เป็นนายหน้าผูกขาดการขนส่งสินค้าต่างๆ โดยส่งให้พวกศักดินาส่วนหนึ่งและส่งไปขายยังต่างประเทศ ในระยะหลังๆพวกพ่อค้าต่างชาติเหล่านี้ได้กลายมาเป็นนายทุนผูกขาดเศรษฐกิจของ ชาติ  เป็นเจ้าของธุรกิจการค้า การธนาคารและการอุตสาหกรรมในสาขาต่างๆของสังคม  ต่อมากลุ่มนายทุนผูกขาดเหล่านี้ก็ได้เข้าไปมีส่วนบริหารกิจการของรัฐและได้ อาศัยอำนาจรัฐคุ้มครองผลประโยชน์ให้แก่กลุ่มของพวกตน
จาก งานวิจัยของ เกริกเกียรติ  พิพัฒน์เสรีธรรม ในหัวข้อเกี่ยวกับ  “การวิเคราะห์ลักษณะการเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่ในประเทศไทย “ เมื่อปี ๒๕๒๕  หน้า ๓๒๕- ๓๔๖  แสดงให้เห็นถึงกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่และขนาดกลางที่ครอบครองเศรษฐกิจของชาติมี ประมาณ ๑๐๐ กลุ่มซึ่งมียอดทรัพย์สินรวมกันประมาณ ห้าแสนล้านบาท  กลุ่มธุรกิจที่มีทรัพย์สินมากอันดับหนึ่งคือตั้งแต่หนึ่งหมื่นล้านขึ้นไปมี ประมาณ ๗ กลุ่มในจำนวนนั้นเป็นของพวกนายทุนต่างชาติเชื้อสายจีนมาอันดับหนึ่ง รองลงมาได้แก่กลุ่มศักดินานายทุน
การ ที่จะพิจารณาว่าสังคมหนึ่งสังคมใดเป็นสังคมอะไรนั้น  จะต้องดูที่ความสัมพันธ์การผลิตหรือรูปแบบการผลิตของสังคมนั้นว่าปัจจัยการ ผลิตของสังคมนั้นอยุ่ในมือของชนชั้นไหน  ถ้าปัจจัยการผลิตอยู่ในมือของชนชั้นนายทุนที่เป็นชนกลุ่มน้อยของสังคม  สังคมนั้นก็เรียกว่าสังคมทุนนิยม  จากหลักทฤษฎีดังกล่าวตามข้อมูลของเกริกเกียรติจะเห็นได้ว่าประเทศไทยมีกลุ่ม นายทุนผูกขาดประมาณ ๑๐๐ กลุ่มที่กุมปัจจัยการผลิตของสังคม  เป็นเจ้าของธนาคาร  เจ้าของโรงงานอุตสาหกรรมและธุรกิจการค้า  ซึ่งพวกนายทุนเหล่านี้สามารถกำหนดความเป็นอยู่ของคนในสังคม
กลุ่ม นายทุนผูกขาดเหล่านี้นอกจากจะเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตแล้วยังมีกรรมสิทธิ์ ในการจัดสรรและแบ่งปันแรงงาน เช่น  การบริหารจัดการ  การกำหนดค่าจ้างแรงงาน เป็นต้น อีกอย่างคือกรรมสิทธิ์ในการแบ่งปันผลกำไรจากผลิตผลสินค้าต่างๆที่กรรมกร ชาวไร่ ชาวนา ผู้ใช้แรงงานเป็นผู้ผลิต
สำหรับ กรรมกรผู้ใช้แรงงานทั้งหลายที่เป็นผู้ผลิตให้แก่พวกนายทุนต่างๆเหล่านั้น ฝ่ายกรรมกรเองจะได้รับเพียงแต่ค่าจ้างในการขายแรงงานที่พอประทังชีวิตไปวันๆ เท่านั้น  ในระบอบทุนนิยมนายทุนจะจ้างค่าแรงงานต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อจะเอาผล กำไรจากมูลค่าส่วนเกินจากแรงงานของกรรมกรให้มากที่สุด  ดังนั้นผลกำไรที่นายทุนทั้งหลายแบ่งปันกันแต่ละปี คือผลกำไรที่สะสมมาจากมูลค่าแรงงานของกรรมกรที่ผลิตเป็นส่วนเกินให้แก่พวก นายทุนแต่ละปี เพราะลำพังเงินเดือนหรือรายได้ของกรรมกรแต่ละเดือนทีได้รับมาจะใช้เวลาผลิต เพียงหนึ่งหรือสองอาทิตย์ก็จะคุ้มและเหลือเฟือ  ส่วนที่เหลือจึงเป็นการผลิตให้แก่นายทุน ดังนั้นความร่ำรวยต่างๆของนายทุนผูกขาดเหล่านั้นคือความร่ำรวยที่สะสมมาจาก การขูดรีดมูลค่าส่วนเกินของกรรมกร
ฉนั้น ระบอบทุนนิยมจึงเป็นระบอบที่กดขี่ขูดรีดของพวกชนชั้นนายทุนกลุ่มน้อยที่ อาศัยอยู่บนแรงงานของชนส่วนมากของสังคม  นายทุนไม่ได้ทำการผลิตให้แก่สังคม แต่จะคอยสูบกินเลือดจากแรงงานของสังคม  ชนกลุ่มนี้จึงเป็นเสมือนกับพวกกาฝากของสังคม
ตาม หลักทฤษฎีของวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ถือว่ารูปแบบการผลิตคือพื้นฐานชั้นล่าง ของสังคม  ในเมืองไทยรูปแบบการผลิตเป็นรูปแบบทุนนิยมผูกขาด  ฉนั้นพื้นฐานชั้นล่างของสังคมคือทุนนิยมผูกขาด  เมื่อพื้นฐานชั้นล่างเป็นทุนนิยมผูกขาดโครงสร้างส่วนบนของสังคมก็ต้องสร้าง ขึ้นเพื่อให้เหมาะสมกับพื้นฐานชั้นล่างตามหลักปรัชญาที่ว่า “ รูปแบบจะต้องให้เหมาะสมกับเนื้อหา “
โครง สร้างส่วนบนของสังคมได้แก่  รัฐ  กฏหมาย ศาสนา ทหาร ตำรวจ  การ เมือง อุดมการณ์  ศิลปและวัฒนธรรม เป็นต้น  ย่อมสร้างขึ้นให้เหมาะสมกับเนื้อหาที่เป็นพื้นฐานชั้นล่างของสังคมเพื่อปก ป้องพื้นฐานชั้นล่างที่เป็นระบบเศรษฐกิจของพวกนายทุน  ดังนั้นรัฐบาลชุดต่างๆที่ขึ้นมาบริหารประเทศที่เป็นตัวแทนของรัฐก็คือรัฐบาล ของพวกนายทุนผูกขาด เพื่อรักษาผลประโยชน์ให้แก่พวกนายทุน
อำนาจ รัฐก็คือเครื่องมือของพวกนายทุนเพื่อใช้ในการกดขี่  ข่มเหงรังแกชนชั้นผู้ใช้แรงงาน และประชาชนทั่วไป ไม่ว่ารัฐบาลเหล่านั้นจะมาในรูปแบบของทหารหรือรูปแบบของพลเรือนก็คือรัฐบาล ที่รักษาผลประโยชน์ให้แก่พวกนายทุน  ในระบอบทุนนิยมทุกอย่างคือสินค้า  พวกนายทุนจะขายได้ทุกอย่างตั้งแต่คุณธรรม อุดมการณ์ ไปจนกระทั่งถึงชาติและประชาชน  การผลิตสินค้าในระบอบทุนนิยมก็เพื่อหากำไร  เมื่อต้องการกำไรมากก็ต้องขูดรีดแรงงานมาก  ยิ่งขุดรีดมากผู้ขายแรงงานก็เดือดร้อนมาก  เมื่อประชาชนเดือดร้อนก็ต้องดิ้นรนหาทางลุกขึ้นต่อสู้เพราะ ที่ไหนมีการกดขี่ที่นั่นย่อมมีการต่อสู้  เมื่อมีการกดขี่ขูดรีดมากขึ้นการต่อสู้ก็จะทวีความรุนแรงมากขึ้นความขัดแย้ง ภายในสังคมก็จะรุนแรงมากขึ้น
ความ ขัดแย้งนี้จึงเป็นความขัดแย้งหลัก ของชนชั้นสองฝ่ายในสังคม  คือความขัดแย้งระหว่างนายทุนผูกขาด  กับชนชั้นผู้ใช้แรงงานซึ่งเป็นความขัดแย้งของสองสิ่งที่อยุ่ตรงข้ามกัน  ตราบใดที่ระบอบทุนนิยมผูกขาดยังดำรงคงอยู่  ตราบนั้นความขัดแย้งนี้ก็จะดำเนินต่อไป 
ผู้ ที่จะแก้ไขปัญหาความขัดแย้งนี้ได้ ไม่ใช่พวกรัฐบาลที่เป็นตัวแทนของพวกนายทุนผูกขาด  แต่เป็นภาระกิจและหน้าที่โดยตรงของชนชั้นผู้ใช้แรงงานทั้งหลายในสังคม เป็นหน้าที่และสิทธิอันชอบธรรมตามธรรมชาติของมนุษย์  เมื่อใดที่พลังของผู้ใช้แรงงานและพลังของ ปัญญาชน นักศึกษา ข้าราชการ  ทหาร ตำรวจ ที่มีหัวก้าวหน้า และผู้รักชาติรักประชาธิปไตยทั้งหลายซึ่งเป็นพลังส่วนใหญ่ของสังคมรวมกันได้  ก็จะกลายเป็นพลังทางวัตถุที่แข็งแกร่ง  เมื่อนั้นก็จะสามารถโค่นล้มระบอบเผด็จการเก่าทุนนิยมผูกขาดที่หล้าหลังลง ได้  แล้วมวลชนที่เป็นพลังส่วนใหญ่ของสังคมก็จะสามารถมีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์  มีสิทธิเสรีภาพ มีความเสมอภาค ความยุติธรรมในสังคมก็จะเกิดขึ้น ประชาชนจะสามารถเลือกรัฐบาลของตนเองขึ้นมาปกครองประเทศ ตามระบอบประชาธิปไตย สังคมใหม่ที่สูงกว่าก็จะเกิดขึ้นคือสังคมระบอบประชาธิปไตยอันสมบูรณ์ของปวง ชน.
(หมายเหตุ :- บทความนี้ผู้เขียนได้เขียนขึ้นเมื่อประมาณเกือบ๔๐ปี มาแล้ว ซึ่งผู้เขียนคิดว่าบทความนี้ก็ยังเหมาะสมกับสภาพเหตุการณ์ปัจจุบัน  เพื่อให้ท่านผู้รักประชาธิปไตยทั้งหลายได้อ่านเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบจากอดีดจนถึงปัจจุบันสภาพการก็ยังเหมือนเดิม.)

RE. รัฐธรรมนูญที่ไม่ต้องมีรัฐบาล.. ประชาชนไทยทั้งประเทศ OK ยอมรับได้ไหม?(ฝากให้อ่านคิดทบทวนค้นหาคำตอบ.)

ข่าวสดออนไลน์
รัฐธรรมนูญที่ไม่ต้องมีรัฐบาล
คอลัมน์ ใบตองแห้ง





วันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 21:37 น.
จำนวนคนอ่านล่าสุด 587 คน
บวรศักดิ์ อุวรรณโณ บอกให้ใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไปก่อน อย่างน้อย 5 ปีค่อยแก้ไข แต่ช้าแต่ ถ้าอีก 5 ปี บวรศักดิ์เป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญแล้วสั่งห้ามแก้ จะทำไง

อ้าว ก็มาตรา 229(3) บัญญัติไว้ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 9 คนมาจากผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์ 3 คน โดยต้องเป็น ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายมหาชนอย่างน้อย 1 คน ศาสตราจารย์กฎหมายมหาชนประเทศนี้มีไม่กี่คนนะครับ นับหัวได้  ที่ ว่ากรรมาธิการยกร่างฯ ห้ามดำรงตำแหน่งการเมือง 2 ปี ก็ไม่มีใครโง่เล่นการเมืองหรอก เป็นคนดีทั้งที ไปอยู่องค์กรอิสระสบายกว่ากันเยอะ

ข้อสำคัญท่านบอกให้ลองผิด ลองถูก 5 ปี ถ้าเกิดวิบัติฉิบหายใครรับผิดชอบ รัฐธรรมนูญเป็นกติกาสูงสุดผูกชะตากรรมคนทั้งประเทศ จะไม่ฟังคนอื่นวิจารณ์จะบอกว่าท่านถูกดีแต่ผู้เดียวได้ไง

5 ปีค่อยแก้ รัฐธรรมนูญของท่านแก้ง่ายเสียที่ไหน กว่าจะผ่านรัฐสภาต้องใช้เสียง 2 ใน 3 แล้วต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญ ถ้าศาลชี้ว่าแก้ไม่ได้ก็ตกไป ถ้าศาลเห็นว่าแก้ได้แต่เป็นเรื่องสำคัญต้องทำประชามติ ซึ่งดูเหมือนดี มีความชอบธรรม แต่ตัวรัฐธรรมนูญเองยังไม่รู้จะทำประชามติไหม ไหงตอนแก้บังคับให้ทำ

ลองคิดดูสิ สมมติ ส.ส.450 คนจะแก้ไขให้ ส.ว.มาจากเลือกตั้ง หรือยุบวุฒิสภาทิ้ง ส.ว.สรรหาจะทุบหม้อข้าวตัวเองไหม ส.ส.ต้องใช้คะแนนโหวตถึง 417 คน คิดเป็น 92.7% ของ ส.ส.ทั้งหมด ซึ่งแทบเป็นไปไม่ได้

หรือถ้า ส.ส. ส.ว.ร่วมกันแก้ไขอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ ศาลบอกทำไม่ได้ เป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงรูปของรัฐ ใครจะเถียงท่าน เพราะศาลมีอำนาจสูงสุดเหนือ 3 ฝ่าย แถมยังแก้มาตรา 68 เป็นมาตรา 31 ให้ใครก็ได้ร้องศาลทุกวันเวลาตามอัธยาศัย

"รับไปก่อน แก้ทีหลัง" รัฐธรรมนูญ 2550 ทำเข็ดมาครั้งหนึ่งแล้ว ร่างฯ นี้ยิ่งผูกมัดสาหัสกว่า

บวร ศักดิ์บอกว่า 5 ปีค่อยแก้ให้พรรคการเมืองเข้มแข็ง เท่ากับรับว่าเจตนาทำพรรคการเมืองอ่อนแอ ซึ่งคงถูกใจคนชั้นกลางไม่เอาเลือกตั้ง ที่ลืมไปว่าหลักประชาธิปไตยคือต้องทำให้พรรคการเมืองเข้มแข็ง แต่ต้องทำให้พรรคการเมืองเป็นของประชาชนควบคู่กัน

ภาพรวมของ ร่างรัฐธรรมนูญนี้ ให้ "นักการเมืองที่ไม่มาจากการเลือกตั้ง" ซึ่งเชื่อว่าเป็นคนดี มีอำนาจเหนือนักการเมืองจากเลือกตั้ง ที่เชื่อว่าชั่วเลว แต่ทำไงได้ ประชาธิปไตยต้องมีเลือกตั้ง ก็ทำให้เป็นพิธีกรรม เลือกตั้งแล้วไม่ให้มันมีอำนาจ

รัฐสภา เลือกนายกฯ ถ้าโชคดีก็ได้คนนอก ถ้าโชคร้ายก็ได้ "นักการเมือง" ตั้งรัฐบาลผสมตามความประสงค์ของกรรมาธิการ นายกฯ จะตั้งรัฐมนตรี 35 คน ต้องส่งชื่อให้วุฒิสภาสอบประวัติ แล้วประจานให้ชาวบ้านทราบตามมาตรา 130 แม้ไม่มีอำนาจยับยั้งแต่ถือเป็นการดิสเครดิต จุดชนวนขัดแย้งตั้งแต่ต้น ไว้วันหลัง ส.ว. 200 คนก็จับมือฝ่ายค้าน 190 คนถอดถอนนายกฯ ได้

รัฐบาล ท่านประยุทธ์ใช้ ม.44 ย้ายข้าราชการทันใจ รัฐบาลเลือกตั้งแตะใครไม่ได้ เพราะมีกรรมการแต่งตั้งโยกย้ายตามมาตรา 207 รัฐบาลนี้ตั้งงบขาดดุลกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่รัฐบาลหน้ามีมาตรา 201 บังคับให้แสดงทั้งรายรับรายจ่าย แล้วถ้าใช้เงินไปดำเนินนโยบายอะไรที่มี "วิญญูชน" แถว TDRI เห็นว่าจะก่อเกิดความเสียหายต่อรัฐ ก็ถูกฟ้องศาลปกครองแผนกคดีวินัยการคลังตามมาตรา 205

รัฐบาล หน้าไม่ต้องใช้หัวคิดปฏิรูปสร้างสรรค์ เพราะมีสภาขับเคลื่อนปฏิรูปและคณะกรรมการยุทธศาสตร์ ทำหน้าที่เสร็จสรรพ เสนอกฎหมายปฏิรูปผ่านวุฒิสภา ถ้าไอ้พวก ส.ส.ไม่เห็นด้วย ก็ยืนยันด้วยเสียง 2 ใน 3 กฎหมายผ่านทันทีตามมาตรา 280

รัฐธรรมนูญมาตรา 281-296 ยังกำหนดทิศทางปฏิรูป 15 ด้านที่ใครอ่านก็แซ่ซ้อง แต่มาพร้อมคณะกรรมการและองค์กรอิสระ 10 กว่าชุด ที่จะมีผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญ มากำกับดูแลนโยบายเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การศึกษา วิทยาศาสตร์ พลังงาน รัฐวิสาหกิจ ฯลฯ แทนรัฐบาล

แล้วรัฐบาลทำไร ก็กดปุ่มเปิดป้ายเซ็นหนังสือราชการไปวันๆ มองยังไงก็ไม่เห็น "เผด็จการรัฐสภา" แม้มีมาตราประหลาดๆ 181,182 แต่ไม่มีงานทำ เอาไว้ให้ชาวบ้านด่าวันละ 3 เวลาหลังอาหารเท่านั้น

รัฐ ธรรมนูญนี้มอบอำนาจให้รัฐราชการ เทคโนแครต ผู้รู้ ผู้ดี (โดยมีภาคประชาสังคมเป็นไม้ประดับ) เป็นผู้ขับเคลื่อนประเทศ ขณะที่รัฐบาลเลือกตั้งเป็นเจว็ด มีก็ได้ ไม่มีก็ได้ มีไปก็สร้างความขัดแย้ง แต่ต้องเอาไว้โชว์ต่างชาติ

"ความฝันอันสูงสุด" คือทำให้ประชาชนเห็นว่า อำนาจเลือกตั้งของพวกเอ็งไร้ความหมาย เสรีภาพ ประชาธิปไตย กินไม่ได้ บูโรแครต เทคโนแครต ต่างหากที่จะยกเครื่องประเทศครั้งใหญ่ให้วัฒนาสถาพร

ข้อสำคัญจะทำได้ตามความฝันหรือเปล่าภายใต้ปัญหาความชอบธรรม

6 กันยา "สปช." ชี้ชะตาร่างรธน...ร่างโดยเผด็จการเพื่อเผด็จการ.ปิดประเทศเพื่อ.."ฆ่าตัดตอนระบอบประชาธิปไตย".

คลิกดูเพิ่ม-prachachat








จับกระแส 6กันยา"สปช."ชี้ชะตาร่างรธน.ใหม่ "หนุน-ต้าน"สูสี จะผ่านหรือจะคว่ำ?
ติดตามในมติชนออนไลน์ 29 ส.ค. 2558
ในวันที่ 6 กันยายนนี้ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ทั้ง 247 คน จะต้องมาปฏิบัติภารกิจเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อโหวตรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับปฏิรูป จากนั้น สปช.ทั้ง 247 คน จะต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่ตามที่รัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 กำหนดไว้

ขณะที่รายงานข่าวจาก สปช.แจ้งว่า จากการหยั่งเสียงช่วงโค้งสุดท้าย ก่อนวันโหวตร่างรัฐธรรมนูญของ สปช. ในวันที่ 6 กันยายน แม้เสียงโหวตเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญจะมากกว่า แต่ยังไม่มีความแน่นอน เมื่อมีกระแสข่าวอาจมีสมาชิก สปช. บางกลุ่ม ไม่เห็นด้วย





อัพเดทความคืบหน้าจับผู้ต้องสงสัย "คดีบึ้ม" ผู้ก่อการร้าย? หรือ ขบวนการค้ามนุษย์? สื่อนอกชี้ทางการไทยควร"พูดความจริง"

มติชนออนไลน์
สื่อนอกชี้ทางการไทยควร"พูดความจริง"เหตุบึ้ม เพื่อประโยชน์ระยะยาว ปิดช่องโหว่เสี่ยงซ้ำ






คลิกอ่านทั้งหมด-สื่อนอกชี้ทางการไทยควร"พูดความจริง"เหตุบึ้ม เพื่อประโยชน์ระยะยาว ปิดช่องโหว่เสี่ยงซ้ำ

"สเตรท ไทมส์"รายงานว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ ตำรวจไทยสามารถจับกุมตัวชายผู้เกี่ยวข้องกับเหตุวางระเบิดท้าวมหาพรหมของไทยได้ เมื่อวันที่ 17 ส.ค.แต่ผู้ต้องหาดังกล่าวไม่ยอมให้ความร่วมมือในการให้ปากคำ ขณะที่ตำรวจเชื่อว่า หนุ่มผู้ต้องสงสัยวัย 28 ปี นี้ กระทำการเป็นเครือข่ายของขบวนการร้าย และตำรวจกำลังขยายผลการจับกุม ตามรอยจากโทรศัพท์ของหนุ่มรายนี้ และพวกที่คาดว่ามีจำนวน 12 รายที่เป็นชาวต่างชาติ 
ขณะที่รายงานระบุว่า หน่วยงานด้านความมั่นคงของไทยได้พยายามลดกระแสมุมมองของนักวิเคราะห์ว่า เหตุการณ์ร้ายวางระเบิดบริเวณย่านราชประสงค์ของไทยที่ถูกมองว่าเป็นฝีมือก่อการร้ายสากล ระบุว่า แม้ว่าตำรวจจะไม่ได้ตัดประเด็นนี้ออกไป แต่บุคคลที่ถูกจับกุมตัวอาจเป็นส่วนหนึ่งของแก๊งค้มนุษย์ 
ขณะที่ รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง บอกว่า หน่วยงานความมั่นคงมักจะลังเลใจที่ระบุว่าอะไรคือการก่อการร้าย ด้วยเหตุผลทั้งในและนอกประเทศ แต่มันเป็นสิ่งที่ไม่มีเหตุผลเลย ที่จะไม่ให้เรียกสิ่งนี้ว่าการก่อการร้าย