lördag 18 juni 2016

RE. การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และความขัดแย้งในสังคมไทย

โดย  เด่นพงษ์   รักประชา

ประชาธิปไตย

คำว่า ประชาธิปไตย เป็นศัพท์ใหม่เพิ่งมีผู้ตั้งศัพท์นี้มาเมื่อประมาณ 100 ปีมานี้เอง  จากรากศัพท์เดิมของคำว่า ประชาธิปไตย แปลมาจากคำในภาษากรีก  “  DEMOKRATIA  “ ซึ่งมาจากมูลศัพท์  “DEMOS”แปลว่า ปวงชน  ผสมกับคำว่า .” KRATOS “  แปล ว่าอำนาจ และ  “ KRATIEN “ แปลว่า การปกครอง  ดังนั้นคำว่า “ DEMOKRATIA “  จึงหมายถึง อำนาจสูงสุดของปวงชน  การปกครองโดยมติของปวงชน

คำ ว่า ประชาธิปไตย จึงหมายถึงรูปแบบการปกครองที่ถือมติปวงชนเป็นใหญ่  เพราะอำนาจสูงสุดเป็นของปวงชน  ซึ่งมีสิทธิ์กับหน้าที่ตามธรรมชาติของมนุษยชน

ถึง แม้จะมีผู้ตั้งศัพท์คำว่าประชาธิปไตยขึ้นมาเมื่อ 100 ปีที่แล้วก็ตาม แต่รูปแบบการปกครองประชาธิปไตยมีมาพร้อมกับการเกิดสังคมของมนุษย์ชาติที่ มนุษย์รู้จักอยู่ร่วมกันเป็นหมู่เป็นกลุ่มในสังคม  ในยุคสมัยของสังคมบุพกาลทุกคนต้องล่าเนื้อหาอาหารกินเองจะอาศัยแรงงานคนอื่น หาให้กินไม่ได้  ซึ่งหมายความว่าในยุคของสังคมบุพกาลมนุษ์ไม่มีการเบียดเบียนเอารัดเอาเปรียบ กัน

ใน ระยะต่อมามนุษย์ได้รู้จักการเลือกตั้งเจ้าโคตรเจ้าตระกูลขึ้นมาเป็นหัวหน้า กลุ่มหรือหัวหน้าของสังคม  เพื่อทำพิธีทางไสยศาสตร์  จึงเกิดมีการรวมกลุ่มเกิดชุมชนขึ้น ต่อมา มีการแย่งชิงเขตแดนที่ทำมาหากิน  จึงมีการรบราฆ่าฟันกันในแต่ละกลุ่ม  หัวหน้ากลุ่มไหนแข็งแรงก็สามารถขยายอาณาเขตของตนให้กว้างขวางออกไป  และจับเอาฝ่ายตรงกันข้ามมาเป็นเชลย  ซึ่งเชลยนี้ครั้งแรกก็ฆ่าทิ้งหรือใช้กินเป็นอาหาร  แต่ต่อมาเชลยที่ถูกจับได้ถูกบังคับให้เป็นทาสเพื่อใช้แรงงานให้แก่เจ้าโคตร เจ้าตระกูลที่เป็นหัวหน้าของสังคม  ระบบทาส ซึ่งเป็นระบบที่โหดร้ายที่สุดของมนุษย์ชาติจึงเกิดขึ้น

เมื่อ ระบบทาสได้เริ่มขึ้นในสังคมของมนุษย์   รูปแบบการปกครองประชาธิปไตยที่มีมาแต่เดิมนั้นก็หมดไป  พวกนายทาสได้กลายมาเป็นหัวหน้าของสังคม  และได้ใช้วิธีปกครองแบบบังคับอย่างโหดร้ายทารุณที่สุดกับพวกทาส  ทาสจึงเปรียบเสมือนสัตว์ที่พูดได้  นายทาสจะซื้อขายหรือเข่นฆ่าและบังคับใช้แรงงานได้ตามใจชอบเหมือนกับสัตว์

ในกฏหมายเก่าของไทยก็ได้บัญญัติไว้ว่า  ทาสเป็นทรัพย์สินชนิดหนึ่งจำพวกเดียวกับสัตว์ที่มีชีวิตทั้งหลายเรียกว่า “ วิญญาณทรัพย์ “ ระบบทาสจึงเป็นระบบเผด็จการที่ทารุณโหดร้ายและเลวทรามที่สุดของมนุษย์ ที่ดำรงคงอยู่มาเป็นเวลาหลายร้อยปี  ความเจริญรุ่งเรืองในยุคต่างๆของมนุษย์ ได้ถูกสร้างขึ้นอย่างมากมายก็โดยน้ำพักน้ำแรงของพวกทาส  เช่นสถานที่โบราณ วัตถุก่อสร้างต่างๆ ที่สร้างขึ้นในสมัยโรมัน  สมัยกรีก  และโบสถ์  วัดวาอารามสมัยเก่าของไทยก็ได้ถูกสร้างขึ้นโดยน้ำพักน้ำแรงของพวกทาสทั้ง นั้น  ระบบทาสได้ดำรงคงอยุ่ในสังคมไทยมาจนถึงรัชสมัยรัชกาลที่ ๕

เมื่อ วิวัฒนาการของสังคมได้เจริญก้าวหน้าขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง  ระบบทาสได้กลายมาเป็นสิ่งที่ขัดขวางความเจริญทางการผลิตทำให้เกิดความขัด แย้งกันภายในของสังคมระบบทาสขึ้น  พวกลูกทาสได้ลุกขึ้นต่อสู้ อาทิ การต่อสู้ของสปาตาคุสในระบบทาสโรมัน เมื่อ ๗๔ ปีก่อนพระเยซูเกิด เป็นต้น  ต่อมาพวกเจ้าทาสจึงได้ผ่อนผันให้ทาสบางส่วนทำการเพาะปลูกในที่ดินของเจ้าทาส และนำผลผลิตที่ได้ส่งเป็นเครื่องบรรณาการให้แก่พวกนายทาสหรือที่เรียกว่า  “ส่งส่วย “

สมัย ก่อนมนุษย์เรายังไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฏเกณฑ์ต่างๆของธรรมชาติ ไม่สามารถอธิบายสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในจักรภพนี้ได้   จึงเชื่อเอาอย่างงมงายว่าธรรมชาติและสรรพสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ล้วนมีสิ่งบรรดาลมาจากเบื้องบนเพื่อให้เป็นไปเช่นนั้น  ซึ่ง อำนาจจากเบื้องบนนั้นเชื่อกันว่าเป็นอำนาจของพระเจ้า  หรืออำนาจของพวกเทวาอารักษ์  พวกเจ้าโคตรเจ้าตระกูลทั้งหลาย  ผู้ที่เป็นหัวหน้าสังคมที่ถูกเลือกขึ้นในยุคของสังคมบุพกาลเพื่อให้เป็นตัว แทนในการทำพิธีทางไสยศาสตร์นั้น ต่อมาก็ได้ตั้งตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์  หรือจักรพรรดิ์ ปกครองอยู่ตามดินแดนหรือในแค้วนต่างๆ  บุคคล เหล่านี้ได้ตั้งตนเองขี้นเป็นตัวแทนของพระเจ้า  อ้างว่าพระเจ้าส่งตนลงมาจุติในโลกมนุษย์ หรือเป็นตัวแทนมาจากเบื้องบน คือสวรรค์เพื่อลงมาโปรดมนุษย์  โดยได้รับอำนาจมาจากสรวงสวรรค์  เพื่อให้มาปกครองมนุษย์  เช่นในสมัยโบราณของจีนเชื่อกันว่ากษัตริย์หรือ จักรพรรดิ์เป็นโอรสมาจากสวรรค์  ในประเทศญี่ปุ่นสมัยเก่าก็เชื่อกันว่าจักรพรรดิเป็นโอรสของพระอาทิตย์มาเกิด เป็นต้น

นี้ คือต้นเหตุหรือแนวความคิดที่กษัตริย์ หรือจักรพรรดิ์ของประเทศต่างๆ คิดไปเองว่า  ที่ดินและสรรพสิ่งทั้งหลายรวมทั้งคนและสัตว์ทั้งหมดภายใต้สวรรค์เป็นสมบัติ ของตน

ใน ประวัติศาสตร์ของกรุงศรีอยุธยายังปรากฏในกฏหมาย  “ ตราสามดวง “ ว่า  “  ที่ดินทั้งหลายในแคว้นศรีอยุธยาเป็นของพระเจ้าอยู่หัวโดยพระบรมเดชานุภาพ “  ระบอบศักดินา จึงเกิดขึ้น  อำนาจการปกครองทุกอย่างอยู่ในมือของผู้เป็นหัวหน้าของสังคมแต่ผู้เดียว  กษัตริย์ หรือจักรพรรดิ์ ก็สามารถใช้อำนาจได้โดยไม่จำกัดขอบเขต  อำนาจเผด็จการโดยสมบูรณ์ของกษัตริย์ก็เกิดขึ้น   ต่อมากษัตริย์ หรือจักรพรรดิ์ ยังได้ตราเป็นกฏหมายขึ้นอีกว่า เมื่อตัวเองตายลงก็ให้ลูกหรือญาติที่สนิทของตนรับช่วงเป็นผู้สืบทอดวงค์ ตระกูลปกครองประเทศสืบต่อไป เป็นการสืบทอดราชสันติวงค์ต่อไปอีกเป็นทอดๆ

รูป แบบการปกครองนี้คือรูปแบบการปกครองเผด็จการศักดินา มิได้แตกต่างไปจากการปกครองในระบอบทาสมากนัก  จะต่างกันก็เพียงแต่ว่าเปลี่ยนจากระบอบทาสมาเป็น ระบบ  “ส่วย “

ใน ระบอบสังคมศักดินาพวกทาสนอกจากจะผลิตเพื่อเลี้ยงตัวเองและครอบครัวแล้วยัง ต้องผลิตให้แก่พวกเจ้าศักดินาอีกด้วยตามระบบ  “ ส่วย “  ซึ่งปัจจัยและเครื่องมือสำหรับทำมาหากินอยู่ในมือของพวกเจ้าศักดินา  เช่นที่ดินและเครื่องมือในการผลิตต่างๆ  การปกครองแบบนี้ในเมืองไทยเรียกว่า  การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์  เป็นรูปแบบการปกครองที่กษัตริย์มีอำนาจสูงสุดแต่ผู้เดียว

สังคม ศักดินาในยุโรบได้ถูกโค่นล้มลงไปในปลายของศตวรรตที่ ๑๘  ระบอบทุนนิยมได้เข้ามาแทนที่  การวิวัฒนาการของสังคมมนุษย์ชาติจากสังคมหนึ่งเข้าสู่อีกสังคมหนึ่งเป็น กฏเกณฑ์ตามธรรมชาติของสังคมที่จะต้องเป็นไปเช่นนั้น  มาร์กช์ได้ค้นพบในวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ถึงสาเหตุการเปลี่ยนของสังคม  จากสังคมหนึ่งไปสู่อีกสังคมหนึ่งโดยเกิดจากการขัดแย้งภายในของสังคมนั้น เอง   ระหว่างความสัมพันธ์การผลิต คือมีผู้ถือปัจจัยการผลิตและกำลังการผลิตอีกด้านหนึ่ง  เมื่อความสัมพันธ์การผลิตในสังคมใดสอดคล้องกันสังคมนั้นก็เจริญพัฒนา  ถ้าสังคมใดที่ผู้ถือปัจจัยการผลิตขัดขวางกำลังการผลิต ความขัดแย้งภายในสังคมนั้นก็จะเกิดขึ้น เมื่อความขัดแย้งเกิดขึ้นถึงขั้นรุณแรงที่สุดก็สามารถเปลี่ยนไปสู่สังคมอีก รูปแบบหนึ่งที่สูงกว่า  เช่นการเปลี่ยนแปลงจากสังคมระบอบทาสไปสู่สังคมระบอบศักดินา และการเปลี่ยนแปลงสังคมศักดินา เข้าสู่ระบอบทุนนิยม  จากทุนนิยม เข้าสู่สังคมนิยม  จากระบอบสังคมนิยมเข้าสู่ระบอบสังคมคอมมิวนิสต์  นี่คือวิวัฒนาการของสังคมของมนุษย์ชาติที่มาร์กช์ได้ค้นพบและพิสูจน์ให้เห็น ในวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ซึ่งถือว่าเป็นผลงานอันยิ่งใหญ่ทางประวัติศาสตร์ อย่างหนึ่งของมาร์กช์

ดัง นั้นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของมนุษย์ จึงเป็นหน้าที่อันชอบธรรมตามธรรมชาติของมนุษยชนพึงกระทำ  อำนาจสูงสุดของปวงชนย่อมหมายถึงอำนาจของผู้ที่เป็นกำลังการผลิตซึ่งเป็นพลัง ส่วนมากของสังคม  การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยก็คือการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์การ ผลิต  โดยเปลี่ยนปัจจัยการผลิตจากบุคคลกลุ่มน้อยในสังคมให้มาอยู่ในมือของผู้ที่ เป็นกำลังการผลิตที่เป็นพลังส่วนมากของสังคม  เมื่อเป็นเช่นนี้ระบอบประชาธิปไตยอันสมบูรณ์จึงจะเกิดขึ้น

เนื่อง จากการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเป็นสิทธิและหน้าที่อันชอบธรรมตามธรรมชาติของ มนุษย์  ที่มนุษย์พึงกระทำ  มนุษย์ชาติทั่วโลกจึงได้ลุกขึ้นต่อสู้  เพื่อสิทธิและเสรีภาพของตนอยู่เรื่อยมาจนกระทั่งทุกวันนี้  ในยุโรป  อเมริกา อาฟริกา อาเชีย  ลาตินอเมรืกา  และตะวันออกกลางเป็นต้น  ซึ่งการต่อสู้ได้ดำเนินไปในรูปแบบที่แตกต่างกัน  ในประเทศยุโรปตะวันตก  ในประเทศแถบสแกนดิเนเวีย  ประชาชนของประเทศเหล่านั้นได้ต่อสู้มาเป็นขั้นๆและยาวนาน  เริ่มจากการจัดตั้งพรรคการเมืองต่างๆขึ้นโดยไม่มีการจำกัดความคิดทางด้าน อุดมการณ์  ไปจนถึงการเรียกร้องสิทธิในการออกเสียงเลือกตั้งเท่าเทียมกันของหญิงชาย  สิทธิในการจัดตั้งสหพันธ์กรรมกรแรงงานในอาชีพต่างๆ  เพื่อรักษาผลประโยชน์ให้แก่สมาชิกผู้ใช้แรงงานในด้านต่างๆที่เป็นธรรม  และระบบสวัสดิการต่างๆ  ประชาชนสามารถเลือกตัวแทนของตนเองได้โดยวิถีทางประชาธิปไตย  และสามารถตั้งรัฐบาลที่เป็นตัวแทนรักษาผลประโยชน์ให้แก่มวลชนที่เป็นเสียง ส่วนมากของสังคม

แต่ ในประเทศที่ชนชั้นปกครองไม่ยอมให้ประชาชนมีประชาธิปไตยตามธรรมชาติโดยสันติ วิธี  ประชาชนในประเทศเหล่านั้นย่อมทำการต่อสู้โดยวิธีรุนแรง ซึ่งก็เป็นหน้าที่และสิทธิอันชอบธรรมโดยธรรมชาติของมนุษย์ในสังคมนั้น อาทิ การปฏิวัติใหญ่ในฝรั่งเศสในปี คศ. ๑๗๘๙  และการปฏิวัติใหญ่ในรัสเซียเมื่อปี คศ. ๑๙๑๗ เป็นต้น

การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของไทย

 คลิกอ่านต่อ-RE.การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และความขัดแย้งในสังคมไทย

 

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar