ยึดทรัพย์ (วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2559)
โดย จักรภพ เพ็ญแข
นี่ถ้าอดีตนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ยอมจ่ายค่าปรับ จำนวน 35,000 ล้านตามข้อกล่าวหาในโครงการการจำนำข้าวเข้าจริงๆ ก็หมายความว่าฝ่ายอำนาจเก่าสามารถยึดทรัพย์คนในครอบครัวชินวัตรก้อนใหญ่ๆ ได้อีกก้อนหนึ่ง ถัดจาก 46,000 ล้านบาทที่ยึดตรงมาจาก ดร. ทักษิณ ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีผู้ปฏิวัติเศรษฐกิจและสังคมไทยอย่างได้ผล จนนั่งกันไม่ติดที่ทั้งนายทั้งบ่าว ส่งผลกระเทือนเลื่อนลั่นครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์และทำให้ระบอบเดิมซึ่งเป็นของปลอมต้องเซซวนรวนเรไป
ผมนั่งดูพฤติกรรมการเตรียมยึดทรัพย์ รีดทรัพย์ ขู่กรรโชกทรัพย์ หรือเรียกกันอย่างดัดจริตว่าค่าปรับ แล้วก็เกิดความคิดขึ้น 2 อย่าง
1. คำว่า ปรับ ซึ่งพูดกันตรงๆ คือยึดทรัพย์ในเมืองไทยขณะนี้ กำลังสร้างมาตรฐานใหม่ขึ้นกลางเมือง นั่นคือ ใครที่เข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองแบบมีเงินทองทรัพย์สินติดตัวมาด้วย และไม่ได้เป็นคนรับใช้จากฝ่ายอำนาจเก่า ขอให้เตรียมตัวเสียทรัพย์นั้นได้ ก็นายกรัฐมนตรีที่มาตัวเปล่า เพราะไม่เคยทำอะไรสำเร็จเลยในชีวิตบ้าง หรือเอาเงินที่ได้มาไปฝากไว้ที่คนนั้นคนนี้แทนบ้าง เขาไม่มีอะไรให้ยึด จึงไม่ตกเป็นเหยื่อของขบวนการมาเฟียเมืองหลวงอย่างคนทำงานหาเงินมาโดยสุจริตอย่างเปิดเผยมาชั่วชีวิต ถ้าใช้มาตรฐานบ้าๆ อย่างนี้เรื่อยไป นายกรัฐมนตรีที่ไร้ทรัพย์สินจะเอาอะไรมาชดใช้สิ่งที่เรียกว่าความผิดทางนโยบายกันในอนาคต?
2. เมื่อสิ่งที่เรียกว่า "เหตุผล" ของรัฐมันผิดเพี้ยนไปถึงขนาดนี้ คุณยิ่งลักษณ์และผู้ถูกรีดทรัพย์ทุกๆ คนก็คงมีหน้าที่และความรับผิดชอบที่จะไม่เพี้ยนตามเขาไปด้วย นั่นคือ ต้องตั้งเป้าหมายที่จะไม่จ่ายเลยแม้แต่บาทเดียวสลึงเดียว เพราะถ้ายอมจ่าย ไม่ว่าจะทั้งหมดหรือในราคา "haircut" ก็เท่ากับว่าฝ่ายเรายอมตามลัทธิบ้าก็บ้าวะ และช่วยสานต่อความทุเรศครั้งนี้อย่างน่าชื่น ซึ่งจะกลายเป็นการสมคบโจรไปโดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะฉะนั้น ถึงงานนี้จะมีจ่ายก็จ่ายไม่ได้ครับ
สิ่งที่ขำก็คือยอด 35,000 ล้านบาทนี้ ว่ากันว่าเป็นยอดเหลือจากการยึดคราวก่อน เมื่อมวลชนยังดันให้คนในครอบครัวชินวัตรสู้ต่อไปจนกว่าจะเกิดมีความเป็นธรรมขึ้นในบ้านเมือง ไม่ยอมให้ยอมแพ้ ฝ่ายอำนาจเดิมก็เลยโต้กลับด้วยการยึดทรัพย์ส่วนที่เหลือ ซึ่งคาดว่าคงกระหายอยากได้มาตั้งแต่แรก เพื่อ "ลงโทษ" ที่ทำให้บ้านเมืองเจริญเร็วเกินไปจนขัดใจเจ้าพ่อ
ความจริงจะมองขันๆ ก็ได้อีกว่า การบดขยี้แนวคิดจำนำข้าวเพื่อมิให้ฝ่ายประชาธิปไตยได้ชาวนาเป็นพวกนั้น ก็คงเป็นการกระทำแก้เกี้ยวเท่านั้น เพราะอีกไม่นานนัก ระบอบสิ้นคิดก็คงเอาไปทำเลียนแบบและขโมยเอามาเปลี่ยนเป็นชื่ออื่น เหมือนอีกหลายนโยบายที่ผ่านมาแล้ว ถ้าการณ์เป็นเช่นนั้นเข้าจริง ก็คงเป็นการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาอีกคดีหนึ่ง
เมืองไทยขณะนี้มีอะไรประหลาดๆ ให้ดูอยู่ทุกวัน ผมเสียดายที่เมืองไทยต้องสาละวนอยู่กับผลของลัทธิบูชาบุคคลจนลืมการแข่งขันทางเศรษฐกิจที่ทวีความรุนแรงและรวดเร็วขึ้นทุกเวลานาที จนแผนที่ประเทศไทยปัจจุบันเริ่มจะกลายเป็นหลุมดำขึ้นมาแล้ว เพราะประเทศอื่นเขาสูงขึ้น
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็แค่เสียดายหรอกนะครับ ไม่รู้สึกไกลถึงขนาดเสียใจ เพราะแค่ได้เห็นกรรมที่สนองกรรมแบบติดจรวด จนรัฐบุรุษสร้างภาพบางคน ต้องเห็นความเสื่อมสลายของตนเองเป็นภาพจำสุดท้ายในชีวิตอันยืดยาวก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลง ผมก็ดีใจแล้วว่าสมดุลธรรมชาตินั้นมีอยู่จริง และการรอคอยของมวลชนครั้งนี้มีความคุ้มค่า
นรกบนดินก็ร้อนหน่อยครับ เพราะบังเอิญเราต้องดูอยู่ใกล้ๆ แต่อย่าลืมว่านรกนี้ไม่ได้มีไว้เผาเรา แต่มีไว้เผาเขา ตามเรื่องราวชีวิตของ "คนมีบุญ" ที่นิยมทำบาป.
จักรภพ เพ็ญแข
นอกราชอาณาจักรไทย
27 กันยายน พ.ศ. 2559
( สำหรับท่านที่สนใจอยากทราบรายละเอียดเกี่ยวกับ "คนบาบในคราบนักบุญ " ที่เป็นเจ้าพ่อของระบอบ ตบทรัพย์ และรีดไถ อยู่ในเวลานี้ อ่านได้ที่ " ความเป็นมาของวงค์จักรี ตอนที่ ๙ " )
โดย จักรภพ เพ็ญแข
นี่ถ้าอดีตนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ยอมจ่ายค่าปรับ จำนวน 35,000 ล้านตามข้อกล่าวหาในโครงการการจำนำข้าวเข้าจริงๆ ก็หมายความว่าฝ่ายอำนาจเก่าสามารถยึดทรัพย์คนในครอบครัวชินวัตรก้อนใหญ่ๆ ได้อีกก้อนหนึ่ง ถัดจาก 46,000 ล้านบาทที่ยึดตรงมาจาก ดร. ทักษิณ ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีผู้ปฏิวัติเศรษฐกิจและสังคมไทยอย่างได้ผล จนนั่งกันไม่ติดที่ทั้งนายทั้งบ่าว ส่งผลกระเทือนเลื่อนลั่นครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์และทำให้ระบอบเดิมซึ่งเป็นของปลอมต้องเซซวนรวนเรไป
ผมนั่งดูพฤติกรรมการเตรียมยึดทรัพย์ รีดทรัพย์ ขู่กรรโชกทรัพย์ หรือเรียกกันอย่างดัดจริตว่าค่าปรับ แล้วก็เกิดความคิดขึ้น 2 อย่าง
1. คำว่า ปรับ ซึ่งพูดกันตรงๆ คือยึดทรัพย์ในเมืองไทยขณะนี้ กำลังสร้างมาตรฐานใหม่ขึ้นกลางเมือง นั่นคือ ใครที่เข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองแบบมีเงินทองทรัพย์สินติดตัวมาด้วย และไม่ได้เป็นคนรับใช้จากฝ่ายอำนาจเก่า ขอให้เตรียมตัวเสียทรัพย์นั้นได้ ก็นายกรัฐมนตรีที่มาตัวเปล่า เพราะไม่เคยทำอะไรสำเร็จเลยในชีวิตบ้าง หรือเอาเงินที่ได้มาไปฝากไว้ที่คนนั้นคนนี้แทนบ้าง เขาไม่มีอะไรให้ยึด จึงไม่ตกเป็นเหยื่อของขบวนการมาเฟียเมืองหลวงอย่างคนทำงานหาเงินมาโดยสุจริตอย่างเปิดเผยมาชั่วชีวิต ถ้าใช้มาตรฐานบ้าๆ อย่างนี้เรื่อยไป นายกรัฐมนตรีที่ไร้ทรัพย์สินจะเอาอะไรมาชดใช้สิ่งที่เรียกว่าความผิดทางนโยบายกันในอนาคต?
2. เมื่อสิ่งที่เรียกว่า "เหตุผล" ของรัฐมันผิดเพี้ยนไปถึงขนาดนี้ คุณยิ่งลักษณ์และผู้ถูกรีดทรัพย์ทุกๆ คนก็คงมีหน้าที่และความรับผิดชอบที่จะไม่เพี้ยนตามเขาไปด้วย นั่นคือ ต้องตั้งเป้าหมายที่จะไม่จ่ายเลยแม้แต่บาทเดียวสลึงเดียว เพราะถ้ายอมจ่าย ไม่ว่าจะทั้งหมดหรือในราคา "haircut" ก็เท่ากับว่าฝ่ายเรายอมตามลัทธิบ้าก็บ้าวะ และช่วยสานต่อความทุเรศครั้งนี้อย่างน่าชื่น ซึ่งจะกลายเป็นการสมคบโจรไปโดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะฉะนั้น ถึงงานนี้จะมีจ่ายก็จ่ายไม่ได้ครับ
สิ่งที่ขำก็คือยอด 35,000 ล้านบาทนี้ ว่ากันว่าเป็นยอดเหลือจากการยึดคราวก่อน เมื่อมวลชนยังดันให้คนในครอบครัวชินวัตรสู้ต่อไปจนกว่าจะเกิดมีความเป็นธรรมขึ้นในบ้านเมือง ไม่ยอมให้ยอมแพ้ ฝ่ายอำนาจเดิมก็เลยโต้กลับด้วยการยึดทรัพย์ส่วนที่เหลือ ซึ่งคาดว่าคงกระหายอยากได้มาตั้งแต่แรก เพื่อ "ลงโทษ" ที่ทำให้บ้านเมืองเจริญเร็วเกินไปจนขัดใจเจ้าพ่อ
ความจริงจะมองขันๆ ก็ได้อีกว่า การบดขยี้แนวคิดจำนำข้าวเพื่อมิให้ฝ่ายประชาธิปไตยได้ชาวนาเป็นพวกนั้น ก็คงเป็นการกระทำแก้เกี้ยวเท่านั้น เพราะอีกไม่นานนัก ระบอบสิ้นคิดก็คงเอาไปทำเลียนแบบและขโมยเอามาเปลี่ยนเป็นชื่ออื่น เหมือนอีกหลายนโยบายที่ผ่านมาแล้ว ถ้าการณ์เป็นเช่นนั้นเข้าจริง ก็คงเป็นการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาอีกคดีหนึ่ง
เมืองไทยขณะนี้มีอะไรประหลาดๆ ให้ดูอยู่ทุกวัน ผมเสียดายที่เมืองไทยต้องสาละวนอยู่กับผลของลัทธิบูชาบุคคลจนลืมการแข่งขันทางเศรษฐกิจที่ทวีความรุนแรงและรวดเร็วขึ้นทุกเวลานาที จนแผนที่ประเทศไทยปัจจุบันเริ่มจะกลายเป็นหลุมดำขึ้นมาแล้ว เพราะประเทศอื่นเขาสูงขึ้น
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็แค่เสียดายหรอกนะครับ ไม่รู้สึกไกลถึงขนาดเสียใจ เพราะแค่ได้เห็นกรรมที่สนองกรรมแบบติดจรวด จนรัฐบุรุษสร้างภาพบางคน ต้องเห็นความเสื่อมสลายของตนเองเป็นภาพจำสุดท้ายในชีวิตอันยืดยาวก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลง ผมก็ดีใจแล้วว่าสมดุลธรรมชาตินั้นมีอยู่จริง และการรอคอยของมวลชนครั้งนี้มีความคุ้มค่า
นรกบนดินก็ร้อนหน่อยครับ เพราะบังเอิญเราต้องดูอยู่ใกล้ๆ แต่อย่าลืมว่านรกนี้ไม่ได้มีไว้เผาเรา แต่มีไว้เผาเขา ตามเรื่องราวชีวิตของ "คนมีบุญ" ที่นิยมทำบาป.
จักรภพ เพ็ญแข
นอกราชอาณาจักรไทย
27 กันยายน พ.ศ. 2559
( สำหรับท่านที่สนใจอยากทราบรายละเอียดเกี่ยวกับ "คนบาบในคราบนักบุญ " ที่เป็นเจ้าพ่อของระบอบ ตบทรัพย์ และรีดไถ อยู่ในเวลานี้ อ่านได้ที่ " ความเป็นมาของวงค์จักรี ตอนที่ ๙ " )
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar