torsdag 4 maj 2017

ใบตองแห้ง :.ด่าทหารยิงเป้า !..3 ปีที่ผ่านมา ท่านอยู่แบบ “ขอเวลาอีกไม่นาน” ชาวบ้านก็ยังอดทนอดกลั้น แต่ถึงวันนี้หลายอย่างสั่งสม ถ้ายังคิดแต่ใช้อำนาจปิดกั้นการวิพากษ์วิจารณ์ “ด่าทหารไม่ได้” ก็น่ากังขาว่าแรงเสียดทานในช่วง “นับถอยหลัง” นี้จะหนักหนาเพียงไร


ด่าทหารยิงเป้า!
ใบตองแห้ง

“ทหารเป็นคนซื่อสัตย์ ไม่โกหกท่านแน่นอน” โฆษกไก่อูยืนยัน ขอให้ประชาชนเชื่อทหารทุกเรื่อง ทั้งยุทธศาสตร์ชาติ และซื้อเรือดำน้ำจีน
ใช่เลย ทหารพูดจริงทำจริง ปากกับใจตรงกัน ฉะนั้นที่ “บิ๊กเยิ้ม” ลั่นปากว่า “ไอ้สื่อพวกนี้จริงๆ มันต้องจับไปยิงเป้า” ท่านไม่ได้ล้อเล่น ไม่โกหกประชาชนแน่นอน
แต่ฟังทั้งหมด “บิ๊กเยิ้ม” ก็พูดจากทัศนะทหารแท้ๆ ว่าสื่อเป็นอภิสิทธิ์ชน ขายข่าวให้ประเทศเสียหาย ต้องจำกัดเสรีภาพไว้ อย่างสิงคโปร์ หรือจีน จีนเจริญเพราะเป็นสังคมนิยมกึ่งคอมมิวนิสต์ ถ้าเป็นประชาธิปไตยเจ๊งไปนานแล้ว
แหม่ ฟังแล้วเกือบลืมว่า “บิ๊กเยิ้ม” เคยลงเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย เป็นปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1 พรรคชาติพัฒนา แต่พอเกิดรัฐประหาร ท่านก็มาเป็น สปช. สปท.แต่งตั้ง รวมทั้งเป็นประธานบอร์ดรถไฟฟ้า รฟท.
ฟังบิ๊กเยิ้มแล้วฟัง “ลุงตู่” ก็ไม่รู้บังเอิญไหม แม้บอกยินดีรับฟังสื่อ แต่ท่านก็เตือนให้ระมัดระวังการเสนอข่าว โดยเฉพาะเรื่องซื้อเรือดำน้ำจีน ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อน
ละเอียดอ่อนแน่ เพราะสื่อกำลังขุดคุ้ยเรือดำน้ำ วิพากษ์วิจารณ์จนหูอื้อ เจ็บหู ไม่รู้ดำน้ำลึกเกินไปหรือเปล่า หมอแนะนำให้กลืนน้ำลายบ่อยๆ นะครับ
กฎหมายคุมสื่อ แม้ตัดเรื่องใบอนุญาต ก็ยังถูกองค์กรสื่อ ต่อต้าน แต่ขุนทหาร ข้าราชการ ผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ทั้งหลาย ที่ได้ตำแหน่งแต่งตั้ง ดูจะเห็นพ้องกันว่าต้องคุมสื่อ ไม่เช่นนั้นจะเป็นภัยต่อความมั่นคง และศีลธรรมอันดี ด้วยเหตุนี้ กฎหมายคุมสื่อจึงผ่าน สปท.ท่วมท้น มีคนลงคะแนนมากกว่าตอน ลงมติว่า “ป๋า” เขกหัวเด็กเสิร์ฟฝ่าฝืนจริยธรรมเสียอีก
กระทั่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดินแดนแห่งเสรีภาพทุกตารางนิ้ว ก็ยังสนับสนุนว่าต้องคุมสื่อ เพราะไม่พอใจสื่อเสนอข่าวฝนตกหลังคารั่ว อีหรอบนี้ ถ้ากฎหมาย ไปถึง สนช.ก็ผ่านชัวร์
แหม มันน่าน้อยใจแทนสื่อน้อยสื่อใหญ่ อุตส่าห์เป่านกหวีดไล่นักการเมืองชั่ว จนเกิดรัฐประหาร ทำให้ทหารและข้าราชการ ได้เป็น สนช. สปท. (รับเงินสองทาง) กลับจะออก พ.ร.บ.มาคุมสื่อ ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ
มองด้านกลับบ้าง แปลกใจไหม ทำไมแม่น้ำ 5 สาย จึง ต้องรุกล้ำสร้างความไม่พอใจกับสื่อ ในเมื่ออีกปีครึ่งก็จะ เลือกตั้ง อีกไม่นานท่านก็จะไปแล้ว (?) อยู่สบายๆ จากกันด้วยดีไม่ได้หรือ
มองโลกง่ายๆ ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น แต่มองทั้งกระบวน มองยุทธศาสตร์ เป้าหมาย รัฐประหารครั้งนี้ไม่ต้องการ “เสียของ” อุดมคติของกองทัพ ของรัฐราชการ ต้องการสถาปนารัฐแห่งความมั่นคง ที่กระชับควบคุมทุกอย่าง แบบจีน แบบสิงคโปร์ ควบคุมหมดทั้งนักการเมือง สื่อ ชาวบ้าน ให้มีเสรีภาพตามกรอบ ที่ขีดคั่นไว้ โดยปลูกฝังความเชื่อว่าถ้าประชาชนเชื่อฟัง ไม่ต้องเอาอย่างประชาธิปไตยฝรั่ง รัฐราชการที่มีทหารเป็นแกนนำ ก็จะนำประเทศชาติเจริญได้ เหมือนพรรคคอมมิวนิสต์จีน
แต่นั่นละครับ รัฐแห่งความมั่นคง จึงกลายเป็นรัฐแห่งความขัดแย้ง ขัดแย้งไปทุกเรื่องตั้งแต่รถกระบะถึงเรือดำน้ำ ผลักคนเคยเห็นด้วยไปยืนตรงข้าม ปีครึ่งจากนี้ที่นับถอยหลังสู่เลือกตั้ง แทนที่จะเป็นช่วงแห่งการผ่อนคลาย ก็กลายเป็นช่วงสถาปนารัฐความมั่นคง จัดแถวประชาชนให้อยู่ในโอวาท อยู่ใต้ระเบียบวินัย ซึ่งสร้างความขัดแย้งไปในตัว
รัฐอุดมคตินี้จะเป็นจริงได้ไหม เอาไว้ว่ากันยาวๆ แต่เบื้องต้น เมื่อจะสถาปนารัฐราชการเป็นใหญ่ มีกองทัพเป็นเสาค้ำ 5 ผบ.เหล่าทัพเป็น ส.ว.แต่งตั้ง พร้อมเป็นซูเปอร์บอร์ดยุทธศาสตร์ชาติ พวกท่านก็ย่อมถูกจับตาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน โดยเฉพาะผลประโยชน์ของสถาบันกองทัพ ตั้งแต่การจัดสรรงบประมาณ การจัดซื้ออาวุธ อัตรานายพล นายพัน การเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง ไปถึงจัดซื้อจัดจ้าง เอาลูกหลานเข้ารับราชการ อยู่บ้านหลวง ใช้รถหลวง น้ำมันหลวง
พูดง่ายๆ ว่าเมื่อกองทัพจะกุมอำนาจยาวนาน ทหารก็ต้องเป็นแบบอย่าง ซื่อสัตย์ ไม่โกหก โปร่งใส ตรวจสอบได้ ปลอดระบบอุปถัมภ์วิ่งเต้นเส้นสาย ถึงจะเป็นได้อย่างลีกวนยู หรือ สี จิ้นผิง
อะไรที่ประชาชนไม่อยากเห็น เช่น มีอำนาจแล้วซื้ออาวุธทั้งที่สังคมไม่เห็นความจำเป็น ขึ้นเงินเดือน 2 ขั้น ขาดประชุมไม่ผิดจริยธรรม ไม่เต็มใจยื่นบัญชีทรัพย์สิน ฯลฯ ก็ต้องระมัดระวัง

3 ปีที่ผ่านมา ท่านอยู่แบบ “ขอเวลาอีกไม่นาน” ชาวบ้านก็ยังอดทนอดกลั้น แต่ถึงวันนี้หลายอย่างสั่งสม ถ้ายังคิดแต่ใช้อำนาจปิดกั้นการวิพากษ์วิจารณ์ “ด่าทหารไม่ได้” ก็น่ากังขาว่าแรงเสียดทานในช่วง “นับถอยหลัง” นี้จะหนักหนาเพียงไร

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar