ทางเลือกรัฐสยามหลังเผด็จการ ข้อเสนอเพื่อประชาธิปไตยที่ยั่งยืน
วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
thainewstip.blogspot.com/
thainewstip.blogspot.com/
คลิกอ่านข่าวทั้งหมด -ตาสว่างจากต่านแดน
ศิวา มหายุทธ์
การรัฐประหาร เดือนพฤษภาคม 2557 ที่วางแผนมานานกว่า 2 ปี โดยกลุ่มเผด็จการสมคบคิดนำโดยชนชั้นนำภาครัฐที่เคยผูกขาดอำนาจการปกครองที่ยังคงรักษาพื้นที่ทางอำนาจนำ และความพยายามทวงอำนาจกลับคืนมาอย่างเบ็ดเสร็จ โดยอาศัยพลังสนับสนุนของเงื่อนไขทางสังคมจำเพาะ
การรัฐประหารดังกล่าว ผสานอย่างได้จังหวะกับ การทรยศของกลุ่มทุนใหม่ภายใต้การนำของทักษิณ ชินวัตรและพวก (ที่เติบใหญ่อย่างรวดเร็วในยุคโลกาภิวัตน์และการเติบใหญ่ขยายตัวของระบบทุนนิยมอุตสาหกรรม) ต่อมวลชนที่ตาสว่างแล้วประกอบด้วยชนชั้นกลางใหม่ในต่างจังหวัด และชนชั้นกลางล่างในเมืองใหญ่ ซึ่งเคยเป็น “หุ้นส่วนทางการเมืองที่เหลือเชื่อ” มาก่อน ภายใต้ข้อเสนอประหลาด”แกล้งตายชั่วคราว” หรือ “ความอยู่ในความสงบ ให้ศัตรูทำลายตัวเอง คือ การตอบโต้ที่เจ็บปวด” เพื่ออำพรางพฤติกรรมแบบนักฉวยโอกาสของตนเอง
ผลลัพธ์ของการรัฐประหารอันเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้ระหว่าง ชนชั้นนำที่เป็นทุนผูกขาด 2 กลุ่ม (ซึ่งเสกสรรค์ ประเสริฐกุล ผู้แหลมคมเคยเรียกว่า ผู้ร้ายหลัก และ ผู้ร้ายรอง ของประชาธิปไตย) ซึ่งตั้งบนรากฐานของความเหลื่อมล้ำ และการไม่อาจประนีประนอมได้ มีผลให้ชนชั้นกลางใหม่ในต่างจังหวัด และชนชั้นกลางล่างในเมืองใหญ่ ต้องเริ่มนับ 1 ในการต่อสู้ร่วมกับผู้รักประชาธิปไตยเสรีภาพ ความเสมอภาค การมีส่วนร่วม และ ความเป็นธรรม อีกครั้งอย่างลองผิดลองใต้อุ้งเท้าเผด็จการ
หากเป้าหมายการผูกขาดอำนาจของกลุ่มอำนาจอยู่ที่การออกแบบประเทศในนามของ การปฏิรูปประเทศ เพื่อหมุนเวลากลับย้อนไปสู่สภาพประชาธิปไตยครึ่งใบ ที่การเลือกตั้งก็มีความหมายทางพิธีกรรมทางอำนาจ พวกเขาย่อมมีปลายที่ที่ล้มเหลว เพราะการกระทำดังกล่าว เป็นการทวนกระแสประวัติศาสตร๋ เดินสวนทางกับข้อเท็จจริงของสังคม เศรษฐกิจและพัฒนาการที่ว่า ในปัจจุบันประเทศเราได้ยกระดับเป็นประเทศที่ภาคอุตสาหกรรมและบริการมีบทบาทสูงกว่าภาคเกษตรเด็ดขาด และเข้าสู่วงจรเศรษฐกิจเปิดกว้างเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมโลก พร้อมกับโครงสร้างประชากรก็มีพลวัตไปอย่างมาก เรียกร้องการกระจายอำนาจการตัดสินใจในนโยบายมหภาค และการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกระดับ
แนวทางของกลุ่มเผด็จการสมคบคิดดังกล่าว ไม่ว่าจะพยายามอำพรางด้วยถ้อยคำหรือการโฆษณาชวนเชื่ออย่างไร (เช่น รัฐที่อยู่เหนือทุนดีกว่าประชาธิปไตยใต้ทุนสามานย์) ไม่อาจปิดบังข้อเท็จจริงที่ว่า พวกเขากำลังหาช่องเปิดโอกาสให้ผลประโยชน์ของทุนนิยมผูกขาดได้ยกระดับเป็นผลประโยชน์ของแห่งชาติ
การหมุนเวลาย้อนกลับของกลุ่มเผด็จการสมคบคิด แม้จะเป็นหนึ่งในประเด็นที่สำคัญที่ต้องก้าวข้าม แต่ผู้เขียนต้องการชี้ให้เห็นในที่นี้ว่า นอกเหนือการต่อสู้ระหว่างพลังเผด็จการกับประชาธิปไตยในแต่ละขั้นตอนแล้ว (ซึ่งประวัติศาสตร์สังคมโลกก็มีคนเคยยกมาวิวาทะกันแต่ครั้งดาริอุส กรีกโบราณ โรมันยุคสาธารณรัฐ ยุโรปยุคสัญญาประชาคม และมาร์กซิสม์-เลนินนิสม์ จนถึงปัจจุบัน) พลังประชาธิปไตยของสังคมสยามยามนี้ จะต้องเร่งรัดหาคำตอบเพื่อแหวกวงล้อมทางปัญญาในการออกแบบสังคมที่เปิดทางให้พลังประชาธิปไตยได้ลงรากอย่างยั่งยืนในยุคหลังเผด็จการให้ได้
คลิกอ่านภาษาอังกฤษ- Översätt den här sidan
ผลลัพธ์ของการรัฐประหารอันเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้ระหว่าง ชนชั้นนำที่เป็นทุนผูกขาด 2 กลุ่ม (ซึ่งเสกสรรค์ ประเสริฐกุล ผู้แหลมคมเคยเรียกว่า ผู้ร้ายหลัก และ ผู้ร้ายรอง ของประชาธิปไตย) ซึ่งตั้งบนรากฐานของความเหลื่อมล้ำ และการไม่อาจประนีประนอมได้ มีผลให้ชนชั้นกลางใหม่ในต่างจังหวัด และชนชั้นกลางล่างในเมืองใหญ่ ต้องเริ่มนับ 1 ในการต่อสู้ร่วมกับผู้รักประชาธิปไตยเสรีภาพ ความเสมอภาค การมีส่วนร่วม และ ความเป็นธรรม อีกครั้งอย่างลองผิดลองใต้อุ้งเท้าเผด็จการ
หากเป้าหมายการผูกขาดอำนาจของกลุ่มอำนาจอยู่ที่การออกแบบประเทศในนามของ การปฏิรูปประเทศ เพื่อหมุนเวลากลับย้อนไปสู่สภาพประชาธิปไตยครึ่งใบ ที่การเลือกตั้งก็มีความหมายทางพิธีกรรมทางอำนาจ พวกเขาย่อมมีปลายที่ที่ล้มเหลว เพราะการกระทำดังกล่าว เป็นการทวนกระแสประวัติศาสตร๋ เดินสวนทางกับข้อเท็จจริงของสังคม เศรษฐกิจและพัฒนาการที่ว่า ในปัจจุบันประเทศเราได้ยกระดับเป็นประเทศที่ภาคอุตสาหกรรมและบริการมีบทบาทสูงกว่าภาคเกษตรเด็ดขาด และเข้าสู่วงจรเศรษฐกิจเปิดกว้างเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมโลก พร้อมกับโครงสร้างประชากรก็มีพลวัตไปอย่างมาก เรียกร้องการกระจายอำนาจการตัดสินใจในนโยบายมหภาค และการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกระดับ
แนวทางของกลุ่มเผด็จการสมคบคิดดังกล่าว ไม่ว่าจะพยายามอำพรางด้วยถ้อยคำหรือการโฆษณาชวนเชื่ออย่างไร (เช่น รัฐที่อยู่เหนือทุนดีกว่าประชาธิปไตยใต้ทุนสามานย์) ไม่อาจปิดบังข้อเท็จจริงที่ว่า พวกเขากำลังหาช่องเปิดโอกาสให้ผลประโยชน์ของทุนนิยมผูกขาดได้ยกระดับเป็นผลประโยชน์ของแห่งชาติ
การหมุนเวลาย้อนกลับของกลุ่มเผด็จการสมคบคิด แม้จะเป็นหนึ่งในประเด็นที่สำคัญที่ต้องก้าวข้าม แต่ผู้เขียนต้องการชี้ให้เห็นในที่นี้ว่า นอกเหนือการต่อสู้ระหว่างพลังเผด็จการกับประชาธิปไตยในแต่ละขั้นตอนแล้ว (ซึ่งประวัติศาสตร์สังคมโลกก็มีคนเคยยกมาวิวาทะกันแต่ครั้งดาริอุส กรีกโบราณ โรมันยุคสาธารณรัฐ ยุโรปยุคสัญญาประชาคม และมาร์กซิสม์-เลนินนิสม์ จนถึงปัจจุบัน) พลังประชาธิปไตยของสังคมสยามยามนี้ จะต้องเร่งรัดหาคำตอบเพื่อแหวกวงล้อมทางปัญญาในการออกแบบสังคมที่เปิดทางให้พลังประชาธิปไตยได้ลงรากอย่างยั่งยืนในยุคหลังเผด็จการให้ได้
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar