fredag 27 februari 2015

(ตอนที่ 2 ) แนวทางสร้างรัฐประชาธิปไตยไทยใหม่: บทศึกษาจากความเป็นจริง

แนวทางสร้างรัฐประชาธิปไตยไทยใหม่:
บทศึกษาจากความเป็นจริง
โดยดร.จอห์น ลี

1.มูลเชื้อที่ต้องเปลี่ยนไทยเป็นเขตปกครองแนวสาธารณรัฐ
สืบเนื่องจากระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขได้สร้างโครงสร้างอำนาจและความเชื่อที่เลวร้ายโดยให้ศาล, กองทัพ, ระบบราชการ และศาสนาขึ้นตรงต่อพระมหากษัตริย์เป็นเสมือนสมบัติส่วนตัวและผูกมัดอำนาจทั้งประเทศไว้กับกษัตริย์ด้วยระบบคิดที่สามานย์แฝงด้วยผลประโยชน์ส่วนตัวของกษัตริย์เองว่า "ไทยเป็นรัฐเดี่ยว" จะแบ่งแยกมิได้และตลอดระยะเวลากว่า 50 ปีก็ได้ใช้กลไกเหล่านี้ทำรัฐประหารและสร้างไทยให้มีวิกฤติการเมืองไม่หยุดหย่อน จนถึงปลายรัชกาลก็ยิ่งเกิดปัญหาการแย่งชิงราชบัลลังก์ระหว่างทายาทกษัตริย์ ซึ่งแท้จริงก็คือการแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์อันมหาศาลของทายาทกษัตริย์และเครือข่ายองคมนตรีโดยอาศัยระบบรัฐเดี่ยวเป็นกลไกก่อการจราจลปิดประเทศ             
จนแม้วันนี้กษัตริย์ภูมิพลได้ตายแล้วก็ยังปกปิดปลอมลายเซนต์เพื่ออ้างความชอบธรรมซึ่งทำให้ไทยกลายเป็นรัฐล้มเหลวอย่างน่าละอายชาวโลกที่สุด, 
 ถึงเวลาแล้วที่ประชาชนไทยจะต้องหาทางออกจากเวทมนต์ดำของกษัตริย์ไทยด้วยการสร้างประเทศไทยใหม่ที่เดินแนวทางประชาธิปไตยของประชาชนอย่างแท้จริงอย่างนานาอารยะประเทศโดยกระจายอำนาจออกเป็น 6 เขตปกครองตนเองตามพื้นฐานวัฒนธรรมและรากฐานทางประวัติศาสตร์คือ เขตภาคเหนือ, อีสานเหนือ, อีสานใต้, ภาคใต้ตอนบน, ภาคใต้ตอนล่าง และภาคกลาง เมื่อแบ่งเขตเช่นนี้แล้วแม้จะมีกษัตริย์ที่ชอบใช้ทหารทำรัฐประหารก็ไม่อาจจะทำได้อีกต่อไป ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความเสมอภาคและเสรีภาพในการใช้ศักยภาพของประชาชนทุกภาคแข่งขันการพัฒนาประเทศในโครงสร้างประชาธิปไตยอย่างมีประสิทธิภาพที่เป็นจริงและจะทำให้การพัฒนาการผลิตและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วมิใช่ตกอยู่ใต้อิทธพลคำหลอกลวงที่กดหัวประชาชนให้โง่กับคำว่า "เศรษฐกิจพอเพียง"

2.การรวมศูนย์อำนาจอยู่ที่กษัตริย์กลายเป็นวิกฤติที่ยากจะแก้ปัญหาในระบอบเดิม
การรวมศูนย์อำนาจทั้งทางการเมือง, เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมทั้งทางตรงและทางอ้อมทำให้เกิดภาวะวิกฤติที่ซับซ้อนและยากจะแก้ไขเพราะทุกกระบวนการจะถูกชี้นำจากสำนักพระราชวังโดยตรงผ่านเป็นพระราชดำรัสของพระองค์เองและถูกชี้นำโดยอ้อมผ่านองค์มนตรีแต่ก็ห้ามมิให้ใครกล่าวอ้างหรือวิจารณ์แต่ต้องปฏิบัติตามซึ่งเป็นที่มาของคำว่า "การสั่งการโดยมือที่มองไม่เห็น" เริ่มตั้งแต่ใครจะเป็นนายกรัฐมนตรี,ใครจะเป็นผู้บัญชาการทหารบก,ใครจะเป็นรัฐมนตรี,ใครจะเป็นประธานศาลฎีกา,ใครจะเป็นปลัดกระทระทรวง,ใครจะเป็นอธิบดี,ใครจะเป็นผู้บัญชาการตำรวจหรือแม้แต่พระรูปใดจะเป็นสังฆราช  หรือแม้แต่แนวนโยบายการบริหารรัฐที่สำคัญเช่นที่เกียวกับการแก้ปัญหา 4 จังหวัดภาคใต้ก็ต้องได้รับความเห็นชอบจากราชสำนักด้วยกระบวนการจัดการที่เรียกว่า มือมองไม่เห็นและห้ามประชาชนวิจารณ์, ในทางกฎหมายดูเหมือนจะมีหลักเกณฑ์การเลือกเลื่อนตำแหน่งแต่ในทางปฏิบัติใครที่สามารถต่อสายถึงชั้นในสำนักพระราชวังได้ผู้นั้นจะได้มีโอกาสสูงสุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตำแหน่งบริหารระดับสูงล้วนแต่ต้องต่อสายตรงหรือหากตำแหน่งใดไม่มีการต่อสายตรงแต่หากเพียงแค่มีข่าวว่าพระองค์ทรงไม่พอพระทัยต่อผู้ที่ดำรงค์ตำแหน่งนั้นๆ ฝ่ายการเมืองหรือผู้บังคับบัญชาก็จะไม่กล้าแต่งตั้ง หรือที่แต่งตั้งแล้ว ก็จะต้องถูกกำจัดออกไปให้พ้นสายพระเนตรซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นที่รู้กันในแวดวงการเมืองระดับสูง 
รูปธรรมก็มีให้เห็นกันมากมายแต่ห้ามวิพากษ์วิจารณ์ดังนั้นการกระทำที่ไร้เหตุผลในประเทศไทยจึงมีมากมายและทุกคนที่อยากจะเจริญเติบโตในหน้าที่การงานก็ต้องสัดทัดในการอธิบายสิ่งที่ไร้เหตุผลอย่างยิ่งให้มีเหตุผลโดยคนที่เห็นต่างก็ต้องเชื่อเช่น "การเลือกตั้งเป็นสิ่งที่ไม่ดี "หรือ"  ในหลวงทรงพระปรีชาสามารถในทุกเรื่อง"จึงเป็นที่มาของคำว่า"ตอแหลแลนด์" ซึ่งตัวอย่างมีมากมายแต่ในที่นี้ขอยกรูปธรรมเพื่อการศึกษาให้รู้แจ้งเห็นจริงเช่น
-เรื่องการไม่พอใจตัวประธานศาลฎีกา, ปี 2534 เป็นที่รู้กันว่า นายประมาณ ชันซื่อ ได้รับเลือกตั้งจากคณะกรรมการตุลาการให้ขึ้นเป็นประธานศาลฎีกาแต่ไม่เป็นที่โปรดปราณของกษัตริย์ภูมิพล เมื่อเกิดการรัฐประหาร 23กุมภาพันธ์ 2534 โดยพลเอกสุจินดา คราประยูร และเบื้องต้นยอมให้คนของกษัตริย์ คือนายอานันท์ ปันยารชุนเป็นนายกรัฐมนตรีและให้นายประภาส อวยชัยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เพื่อเข้ามาจัดการตามพระราชประสงค์จนกลายเป็นวิกฤติตุลาการที่รุนแรงมากถึงขนาด นายปรีดี เกษมทรัพย์ นักกฎหมายอาวุโสทนไม่ไหวเขียนบทความตีพิมพ์ในวารสาร วันรพีคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ "เมื่อประมุขตุลาการเผชิญหน้ากับกษัตริย์" และจากเหตุการณ์ครั้งนั้นก็เกิดการรวบอำนาจในองค์กรตุลาการโดยราชสำนักและใช้กลุ่มตุลาการขยายตัวเข้ามาควบคุมทางการเมืองจนถึงวันนี้
-เรื่องการไม่พอใจตัวนายกรัฐมนตรี, ปี 2535 หลังจากเลือกตั้งภายหลังการรัฐประหารพลเอกสุจินดา คราประยูร ก็ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยความไม่พอใจของกษัตริย์ภูมิพล ก็เกิดจราจลในเดือนพฤษาคม 2535 และเมื่อ พลเอกสุจินดา ยอมลาออกก็จะต้องตั้งนายกที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนซึ่งขณะนั้น พลอากาศเอกสมบุญ ระหงษ์ ซึ่งเป็นคนใกล้ชิดพลเอกสุจินดาและเป็นผู้กุมเสียงข้างมากกำลังรอการโปรดเกล้า ปรากฎว่าพระบรมราชโองการกลับไปแต่งตั้ง นายอานันท์ ปันยารชุน คนของกษัตริย์ภูมิพลกลับมาเป็นนายกฯอีกครั้งหนึ่งซึ่งใครๆก็รู้ว่าเป็นการกระทำของกษัตริย์แต่ก็แกล้งโง่โดยเบี่ยงเบนไปว่าเป็นความกล้าหาญของนายอาทิตย์ ประธานรัฐสภา
-เรื่องการแทรกแซงการแต่งตั้งผู้บัญชาการเหล่าทัพ, ปี 2548 ขณะที่ ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี (ก่อนจะเกิดรัฐประหาร) ตามกฎหมาย เป็นอำนาจนายกฯ ในการแต่งตั้งผู้บัญชาการเหล่าทัพแต่ต้องทูลเกล้ารายชื่อเพื่อให้กษัตริย์ลงพระปรมาภิไธยแต่ปรากฎว่าเมื่อเสนอทูลเกล้าขึ้นไปแล้วนานกว่า1เดือนก็ไม่ยอมลงนามให้ จนมีการเจรจาต่อรองและทักษิณยอมเปลี่ยนชื่อบุคคลที่จะดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารอากาศให้เป็น พลอากาศเอกชลิต พุกผาสุข จึงมีการโปรดเกล้าลงนามลงมาซึ่งใช้เวลานานถึง 45 วันแล้วสุดท้าย พลอากาศเอกชลิต ก็กลายเป็นแกนนำยึดอำนาจทักษิณ และทุกวันนี้ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นองคมนตรีซึ่งมีประวัติในการจัดซื้อเครื่องบินกริฟฟิน1ฝูงที่มีราคาแพงมากเป็นที่ประจักษ์ซึ่งรู้กันในวงการว่าเป็นไปตามความประสงค์ของราชสำนัก
-การแทรกแซงตำแหน่งสำคัญทางการเมือง, ปี 2554 หลังการเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยได้คะแนนสูงสุดพรรคฯจะให้ พ.อ. อภิวันท์ วิริยะชัย ขึ้นเป็นประธานรัฐสภา แต่มีข่าวว่าในหลวงไม่ทรงโปรดเพราะคำพูดของ พ.อ. อภิวันท์เรื่อง "ให้ระวังจะเป็นเหมือนราชวงศ์โรมานอฟ" และ "คุณลุงสั่งฆ่าคุณป้าสั่งยิง" แล้วก็ไม่ได้เป็นประธานรัฐสภาจริงๆ
-การแทรกแซงการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีและส่งสัญญานความไม่พอใจการเป็นนายกฯ, ปี 2554 พระบรมราชโองการโปรดเกล้า นางสาว ยิ่งลักษณ์ เป็นนายกฯรัฐมนตรีไม่มาตามกำหนดนัดผิดเวลาไป 2 วันซึ่งขณะนั้นตามโผ พ.อ.อภิวันท์ มีรายชื่ออยู่ในคณะรัฐมนตรีแต่เมื่อรายชื่อหลุดออกจาก ครม. แล้วพระบรมราชโองการก็มาตามกำหนดและหลังเป็นนายกฯเพียง 3 เดือนก็เกิดม็อบแช่แข็งปิดประเทศของ เสธ.อ้ายออกมาเพื่อล้มรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์
-การแทรกแซงทางศาสนา, ปี 2545 ถึง 2558 (ขณะนี้) เป็นช่วงวุ่นวายเกี่ยวกับวงการสงฆ์มีเหตุการแปลกประหลาดนับตั้งแต่สมเด็จพระสังฆราชพระญานสังวร (สายธรรมยุทธเป็นคนสนิทกษัตริย์ภูมิพลโดยเป็นพระพี่เลี้ยงเมื่อครั้งกษัตริย์ภูมิพลบวชพระและมีบทบาทช่วยรับเณรถนอมมาบวชเป็นพระจนเกิดเหตุสังหารโหดนักศึกษาในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519) เกิดล้มป่วยปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้เถระสมาคมได้เลือกสมเด็จเกี่ยววัดสระเกศ (สายมหานิกาย) ที่มีอาวุโสสูงสุดขึ้นรักษาการสังฆราชก็เกิดการประท้วงจากพระสายวัง นำโดยหลวงตาบัวเกจิอาจารย์จากอุดรและตราบจนกระทั่งสมเด็จเกี่ยวมรณะภาพก็ไม่มีการแต่งตั้งให้สมเด็จเกียวขึ้นดำรงตำแหน่งพระสังฆราชจนปัจจุบัน ก็มีการเลือกตั้งให้สมเด็จช่วงวัดปากน้ำ (สายมหานิกาย) ขึ้นรักษาการตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชอีกและก็ยังไม่มีการโปรดเกล้าให้เป็นสังฆราชอย่างเป็นทางการอีกเช่นกันโดยไม่มีเหตุผลใดๆ
-ปัญหาวิกฤติความรุนแรงใน 4 จังหวัดภาคใต้ก็เป็นการกุมนโยบายสายตรงจากวังผ่านกองทัพ (ไม่ผ่านรัฐบาล) แม้ในสมัยที่ พลเอกชวลิต  ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรีได้นำเสนอแนวนโยบาย "มหานครปัตตานี" ให้มีการปกครองตนเองแบบการเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานครก็ได้รับการต่อต้านอย่างรุนแรงโดย มือมองไม่เห็นผ่านสายทหารแล้วรัฐบาลพลเอกชวลิตก็ต้องล้มไปด้วยม็อบก่อจราจลที่เริ่มต้นที่ถนนสีลม (ซึ่งก็เป็นคนกลุ่มเดียวกับม็อบพันธมิตร, ม็อบ กปปส. ที่ก่อจราจลล้มรัฐบาลทักษิณและรัฐบาลสมัคร-สมชายและรัฐบาลยิ่งลักษณ์) จนถึงทุกวันนี้ก็ทำไม่ได้และต่อมารัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์จะพยายามหาทางแก้ปัญหาความรุนแรงด้วยการเจรจาโดยย้าย นายถวิล เปลี่ยนสี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติเนื่องจากมีนโยบายต่างจากรัฐบาลและให้ พลโทภราดร  พัฒนถาบุตร มาดำรงตำแหน่งแทนเพื่อปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาล แต่ก็มีการฟ้องศาลปกครองโดยนายถวิล เปลี่ยนสีซึ่งเป็นคนสนิทของ พล.อ.อ.สิทธิ์ เศวตศิลา องคมนตรีและเป็นที่รูกันทั่วไปว่าศาลปกครองที่ใกล้ชิดกับกษัตริย์ภูมิพลก็ตัดสินให้นายถวิลกลับสู่ตำแหน่งเดิมดังนั้นนโยบายภาคใต้ที่จะจบลงด้วยการเจรจาก็ต้องล้มไป และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็ต้องล้มไปพร้อมกันจากการรัฐประหาร

การรวมศูนย์อำนาจทั้งหมดอยู่ที่สำนักพระราชวังดังที่กล่าวข้างต้นโดยใช้เครือข่ายอำนาจผ่าน องคมนตรี, กองทัพ, ตำรวจ, ศาลและศาสนาเช่นนี้ จึงเป็นที่มาแห่งผลประโยชน์ทางทรัพย์สินมหาศาลที่ไหลเข้าสู่วังอย่างไม่ขาดสายประกอบกับทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (แม้โดยกฎหมายจะเป็นของประชาชนแต่โดยอำนาจของกษัตริย์ก็ผนวกไปเป็นของส่วนตัว) และทรัพย์สินส่วนพระองค์ก็เป็นฐานขนาดใหญ่จึงส่งผลให้กษัตริย์ภูมิพลกลายเป็นกษัตริย์ที่รวยที่สุดในโลกและเมื่อพระองค์ใกล้สิ้นพระชนม์และด้วยความเห็นแก่ตัวก็ไม่ยอมถ่ายอำนาจให้แก่ลูกและไม่ยอมลงจากราชบัลลังก์จึงกลายเป็นวิกฤติจากการแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์กองมหาศาลระหว่าง ฟ้าชายและพระเทพ พร้อมบริวารกองเชียร์ที่เห็นเป็นโอกาสที่จะฉกฉวยผลประโยชน์ทั้งทรัพย์สินและอำนาจทั้งในส่วนกองทหาร, พรรคการเมืองและกลุ่มข้าราชการพลเรือนและกลุ่มนายทุนที่ใช้การกล่าวอ้างแสดงความจงรักภักดีเพื่อแสวงหาผลประโยชน์กัน
วันนี้การกล่าวอ้างถึงการปฏิรูปการเมืองและจำเป็นต้องร่างรัฐธรรมนูญใหม่ให้ทันสมัยก็ล้วนแต่เป็นการโกหกคำโตเพราะแท้จริงก็เป็นเพียงกลอุบายที่กล่าวอ้างเพื่อสร้างอำนาจให้อยู่กับวังโดยมีเหล่าขุนนางอำมาตย์เป็นผู้ร่วมใช้อำนาจส่วนประชาชนก็ถูกถีบออกให้ห่างออกจากอำนาจดังนั้นหากจะยังปกครองด้วยคำกล่าวอ้างว่าเป็น "ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข" ก็ไม่มีทางที่จะนำประเทศชาติไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่เป็นจริงได้และหากจะรอให้เกิดการเปลี่ยนระบอบโดยการลุกฮือของประชาชนพร้อมกันทั้งประเทศก็เป็นเพียงความหวังแต่ในภาคปฏิบัติก็ยากจะขับเคลื่อนเป็นรูปธรรมหรือจะประสานกับกองทัพในปีกที่ก้าวหน้าเพื่อจะทำการปฏิวัติในแนวทางคณะราษฎรในปี 2475 ก็ยังมองไม่เห็นทาง หรือหากมีเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งปรากฎขึ้นเพื่อช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบอบโดยไม่มีกษัตริย์ได้ก็ยังไม่มีแนวทางว่าจะจัดรูปแบบการปกครองอย่างไรเพื่อไม่ให้อำนาจตกไปอยู่ในมือกองทัพที่พิสูจน์ตัวเองมานานกว่า 50 ปีแล้วว่าไม่มีจิตสำนึกทางประชาธิปไตยเลย,อนาคตประเทศไทยจึงมืดมนต์มองไม่เห็แสงสว่างและด้วยเหตุนี้การนำเสนอแนวเพื่อสร้างรัฐประชาธิปไตยของประชาชนตามภาวะประวัติศาสตร์โดยกำหนดจังหวะก้าวและทิศทางอนาคตให้ประชาชนเตรียมการโดยการปลดปล่อยลดทอนอำนาจของกษัตริย์และกองทัพที่กดขีประชาชนออกเป็นส่วนๆเพื่อให้การรวมศูนย์อำนาจเผด็จการจากส่วนกลางควบคุมยากขึ้นเพื่อให้ดอกไม้ประชาธิปไตยในภูมิภาคเบ่งบาน//


(ถ้าเห็นด้วยช่วยแชร์และติดตามต่อหัวข้อที่3)
 ขุนเขาบอก :


ไอ้ลูกชายพ่อตายแล้วไม่แคล้วเจ้า…….


ไอ้ลูกชายพ่อตายแล้วไม่แคล้วเจ้า
หมูเต็มเล้าข้าวเต็มนาปลาเต็มหนอง
คณานับทรัพย์สินแผ่นดินทอง
พ่อเก็บกองไว้ให้เจ้าเท่าแผ่นดิน

 
แต่ที่แย่พ่อแม่เจ้าไม่เอาถ่าน
แอบล้างผลาญแรงศรัทธาคร่าทรัพย์สิน
แอบยักยอกปอกลอกคนปล้นแผ่นดิน
แอบโกงกินสินประชาสั่งฆ่าคน

 
ทรัพย์ที่กองทองที่หาขี้ข้าให้
หลอกลวงไพร่ไห้เสาะหาพากันขน
เทินบัลลังก์นั่งทำนาบนหลังคน
อิทธิพลของพ่อนั้นมหันต์เกิน



น้องของเจ้าเหล่าลูกหลานไม่หาญหัก
ศรีและศักดิ์เจ้าหนักกว่าน่าสรรเสริญ
ก่อนปลิดปลงลงลายมือคนถือเทิน
เพี่อเรียนเชิญเจ้าขึ้นนั่งบัลลังก์ปอง



บัลลังก์นี้มีชาวนาเป็นข้าต่าง
ยอมให้วางคานแบกข้าบนบ่าสอง
อีกเหล่าไพร่ไอ้ขี้ข้าพาประคอง
บัลลังก์ทองจึงผ่องเพรารอเจ้ามา



ต้องจำใจไปก่อนหนาชราแล้ว
หายใจแผ่วไม่แคล้วตายกายผวา
ข้างกายพ่อแม่รออยู่คู่ชรา
คงต้องลาเจ้าแลน้องทั้งสองคน



หลังพ่อตายแม่วายชนอย่าหม่นหมอง
รีบปรองดองปกครองไพร่ให้เหตุผล
อย่าหูเบาเจ้าลูกชายอย่าอายคน
พ่อเจ้าปล้นแม่เจ้าฆ่ายังกล้าทำ……..



ขุนเขาจากแดนไกล

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar